จักรพรรดิหย่งเล่อ

สมเด็จพระจักรพรรดิหย่งเล่อ (จีนตัวย่อ: 永乐; จีนตัวเต็ม: 永樂; พินอิน: Yǒnglè; เวด-ไจลส์: Yung-lo, 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1360 - 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424) เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1402 ถึง ค.ศ. 1424

จักรพรรดิหย่งเล่อ
จักรพรรดิจีน
จักรพรรดิแห่ง ราชวงศ์หมิง พระองค์ที่ 3
ครองราชย์17 กรกฎาคม ค.ศ. 1402 - 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424
ก่อนหน้าจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน
ถัดไปจักรพรรดิหงซี
จักรพรรดิเวียดนาม
ครองราชย์12 พฤษภาคม ค.ศ. 1407 - 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424
ก่อนหน้าHồ Hán Thương
ถัดไปจักรพรรดิหงซี
ประสูติ2 พฤษภาคม ค.ศ. 1360(1360-05-02)
สวรรคต12 สิงหาคม ค.ศ. 1424(1424-08-12) (64 ปี)
ฝังพระศพMing Dynasty Tombs, Beijing
จักรพรรดินีจักรพรรดินีรันเซี่ยวเหวิน
พระราชบุตรZhu Gaochi
Zhu Gaoxu, Prince of Han
Zhu Gaosui, Prince Jian of Zhao
Zhu Gaoxi
พระนามเต็ม
Family name: Zhu (朱)
Given name: Di (棣)
รัชศก
หย่งเล่อ (永樂) 23 January 1403 – 19 January 1425
พระสมัญญานาม
จักรพรรดิ Qitian Hongdao Gaoming Zhaoyun Shengwu Shengong Chunren Zhixiao Wen
啓天弘道高明肇運聖武神功純仁至孝文皇帝
พระอารามนาม
หมิง Chéngzǔ
明成祖
ราชวงศ์ราชวงศ์หมิง
พระราชบิดาจักรพรรดิหงอู่
พระราชมารดาจักรพรรดินีเสี่ยวฉีเกา
ช่วงเวลา
เหตุการณ์สำคัญ
สมเด็จพระจักรพรรดิหย่งเล่อ
ภาพวาดขณะหย่งเล่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเหล่าขันทีขณะกำลังเล่นคูจู่หรือตะกร้อ โบราณของจีน

เจ้าชายจูตี้เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิหงอู่ จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง เดิมทีพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นเหยียนหวังในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1370[1] โดยมีเมืองหลวงของดินแดนอยู่ที่เป่ยผิง (ปักกิ่งในปัจจุบัน) เจ้าชายจูตี้เป็นผู้บัญชาการที่มีพระปรีชาสามารถในการต่อสู้กับพวกมองโกล

ประวัติ แก้

เจ้าชายจูตี้เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ของจูหยวนจาง ก่อนจูตี้ประสูติ 8 ปี (ใน ค.ศ. 1352) เกิดน้ำท่วมหลายแห่งในจีน ทำให้ทั่วอาณาจักรได้รับความเดือดร้อน เกิดกลุ่มกบฏขึ้นมากมาย จูหยวนจางเข้าร่วมกับกบฏเพราะได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน จูหยวนจางได้ขึ้นเป็นผู้นำอย่างรวดเร็ว ปี ค.ศ. 1356 กองทัพของจูหยวนจางเข้ายึด นานกิง อันเป็นการตัดเสบียงเมืองต้าตู (ปักกิ่ง) เมื่อจูตี้มีพระชนมายุได้ 8 ชันษากองทัพของพระบิดาก็เข้าสู่เมืองต้าตู โตกัน เตมูร์ จักรพรรดิมองโกลองค์สุดท้ายเสด็จหนีออกจากจีน ไปยังทุ่งหญ้าทางเหนือ จูหยวนจางสถาปนาราชวงศ์หมิง ต่อมาจูตี้ได้เข้าร่วมกองทัพปราบยูนนาน ในปี ค.ศ. 1382 พระองค์ได้รับคำสั่งให้ทำลายเมืองคุนหมิงที่มั่นที่ยังเหลือของมองโกล เด็กชายมองโกลนับพันถูกตอนเป็นขันทีในราชสำนัก

หลังจากที่เจ้าชายจูตี้ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงแล้ว พระองค์ก็ได้เฉลิมพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ (成 祖) ใช้ศักราชว่า หย่งเล่อ (永 乐) พระองค์ทรงมีราชโองการให้ประหารขุนนาง เนื่องจากทรงระแวงว่าขุนนางเหล่านั้นจงรักภักดีต่อพระนัดดาของพระองค์ซึ่งมีจำนวนกว่า 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจเจ้าองค์อื่น ๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่ง ห้ามเจ้าแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับพระราชานุญาต ภารกิจแรกที่พระองค์ทำคือดำริย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยผิงอันเป็นฐานที่มั่นของพระองค์ด้วยเหตุผลว่าป้องการรุกรานของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ พ.ศ. 1947 (ค.ศ. 1404) มีราชโองการให้อพยพคนมากมายหลายแสนคนจาก เมืองนานกิง มณฑลซานซี และมณฑลเจ้อเจียง แบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังปักกิ่ง พร้อมกับเป็นการหาแรงงานเพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิในเมืองหลวง ซึ่งก็คือ "พระราชวังต้องห้าม"

ในการนี้ต้องเกณฑ์คนหนึ่งแสนพร้อมกับช่างฝีมืออีกหลายพันคน การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้กินระยะเวลานานถึง 15 ปี พระองค์ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างมากโดยในปี พ.ศ. 1949 (ค.ศ. 1406) ได้เสด็จมาตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ในปี พ.ศ. 1956 (ค.ศ. 1413) พระองค์จึงทรงย้ายจากกรุงนานกิงมาประทับที่กรุงปักกิ่ง เป็นการถาวร แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ยินดีกับพระราชวังแห่งนี้เท่าใดนัก เพราะเพียงไม่กี่เดือนหลังเฉลิมพระมณเฑียรก็มีฟ้าผ่าลงพระที่นั่งและเกิดเพลิงไหม้อาคารต่างๆ หลายหลัง ซ้ำยังเกิดแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 1959 (ค.ศ. 1416) จนต้องซ่อมแซมกว่าจะสำเร็จก็นานถึง 4 ปี แต่พระองค์กลับมีโอกาสได้ประทับอยู่ในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไม่เกิน 4 ปี เพราะต้องนำทัพออกไปรบกับพวกมองโกลถึง 4 ครั้ง คือ ในปี พ.ศ. 1953 1965 1966 และ 1967

ในปี พ.ศ. 1946 (ค.ศ. 1403) พระองค์มีราชโองการโปรดให้ราชบัณฑิตกว่าสองพันคน พร้อมด้วยผู้อำนวยการใหญ่ 5 คน รองผู้อำนวยการอีก 20 คน จัดทำ “หย่งเล่อต้าเตี่ยน” สารานุกรมรวบรวมความรู้ทางวิชาการสาขาต่าง ๆ ทั้งหมด ใช้เวลาจัดทำ 4 ปี เป็นหนังสือกว่า 22,937 บรรพ มหาสารานุกรมชุดนี้มีต้นฉบับ 1 ชุดและสำเนาอีก 2 ชุดเก็บรักษาไว้แต่หายสาบสูญไปจนปัจจุบันเหลือเพียง 370 บรรพ

พระราชภารกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือโปรดให้จัดสร้างกองเรือ “เป่าฉวน” ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้นมีทั้งสิ้น 62 ลำ ลำที่ยาวที่สุดวัดได้ 140 เมตร กว้าง 60 เมตร แต่ละลำประกอบด้วย ทหาร นายแพทย์ ล่าม นายกองเรือคือ เจิ้งเหอ (郑 和) ขันทีคนสนิทของพระองค์ที่เดินทางออกทะเลล่องไปทั่วโลก 7 ครั้งในรอบ 28 ปี ไปไกลถึง อินเดีย แอฟริกา นำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับชาติต่าง ๆ รวมทั้งเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาตรงกับรัชกาลของสมเด็จเจ้านครอินทร์ และนำของหายากกลับมาถวายองค์จักรพรรดิ เจิ้งเหอนำกองทัพเรือจีนออกทะเลครั้งแรกเมื่อศักราชหหย่งเล่อปีที่ 3 เดือน 7 ตรงกับ พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) โดยออกเดินทางจากท่าเรือหลิวเจียก่าง มณฑลซูโจว หมิงเฉิงจู่สวรรคตขณะยกทัพกลับจากไปรบพวกมงโกลเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 1967 (ค.ศ. 1424) พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน ฉานหลิง

อ้างอิง แก้

  1. Chan Hok-lam. "Legitimating Usurpation: Historical Revisions under the Ming Yongle Emperor (r. 1402–1424)". The Legitimation of New Orders: Case Studies in World History. Chinese University Press, 2007. ISBN 9789629962395. Accessed 12 October 2012.
ก่อนหน้า จักรพรรดิหย่งเล่อ ถัดไป
จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน   จักรพรรดิจีน
(พ.ศ. 1948 - พ.ศ. 1967)
  จักรพรรดิหงซี|}