เอกซ์บอกซ์ (เครื่องเล่นวิดีโอเกม)
เอกซ์บอกซ์ (อังกฤษ: Xbox) เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นแรกภายใต้เครื่องเล่นวิดีโอเกมชุดเอกซ์บอกซ์ซึ่งผลิตโดยไมโครซอฟท์ วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ในทวีปอเมริกาเหนือ ตามด้วยประเทศออสเตรเลีย ทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่นในปี 2545[1] โดยนับเป็นครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์เข้าสู่ตลาดเครื่องเล่นวิดีโอเกม เอกซ์บอกซ์เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 ที่เป็นคู่แข่งกับโซนี่เพลย์สเตชัน 2 และนินเท็นโด เกมคิวบ์ ซึ่งเอกซ์บอกซ์นับว่าเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกที่ถูกผลิตโดยบริษัทสัญชาติอเมริกานับตั้งแต่เครื่องอาตาริ จากัวร์ หยุดการผลิตในปี พ.ศ. 2539
ผู้ผลิต | ไมโครซอฟท์ |
---|---|
ตระกูล | เอกซ์บอกซ์ |
ชนิด | เครื่องเล่นวิดีโอเกม |
ยุค | ยุคที่หก |
วางจำหน่าย | 15 พฤศจิกายน 2544 22 กุมภาพันธ์ 2545 14 มีนาคม 2545 |
ยอดจำหน่าย | 24 ล้านเครื่อง |
สื่อ | ดีวีดี, ซีดี |
ซีพียู | 733 MHz Intel Mobile Pentium III |
สื่อบันทึกข้อมูล | ฮาร์ดดิสก์ เมมโมรีการ์ด |
กราฟิกการ์ด | 233 MHz NVIDIA NV2A |
บริการออนไลน์ | เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ |
เกมที่ขายดีที่สุด | เฮโล 2 |
รุ่นถัดไป | เอกซ์บอกซ์ 360 |
เอกซ์บอกซ์เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2543 โดยชูจุดเด่นด้านสมรรถนะทางกราฟิกว่าเหนือกว่าคู่แข่ง โดยเครื่องเอกซ์บอกซ์ประกอบไปด้วยซีพียูที่ใช้กันในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างอินเทลเพนเทียม III ความเร็ว 733 เมกะเฮิร์ตซ์ นอกจากนี้ยังถูกระบุว่ามีน้ำหนักและขนาดเหมือนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกที่ประกอบฮาร์ดดิสก์ไว้ภายใน[2][3] ในเดือนพฤศจิกายน 2545 ไมโครซอฟท์ได้เปิดให้บริการ เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ บริการแบบเสียเงินเพื่อเล่นเกมแบบออนไลน์และอนุญาตให้ผู้สมัครใช้บริการดาวน์โหลดเนื้อหาและเชื่อมต่อกับให้เล่นอื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์ [4] ต่างจากบริการออนไลน์อื่น ๆ จากเซกาและโซนี่ โดยเอกซ์บอกซ์ไลฟ์นั้นรองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ตอีเทอร์เน็ตซึ่งถูกประกอบไว้มาในเครื่อง ทำให้ไมโครซอฟท์สามารถตั้งหลักในบริการการเล่นเกมแบบออนไลน์และยังช่วยให้เอกซ์บอกซ์กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเครื่องเล่นอื่น ๆ ในเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 ได้
นอกจากนี้ความยอดนิยมในวิดีโอเกมฟอร์มยักษ์อย่าง เฮโล 2 ได้ช่วยให้เกิดความนิยมในการเกมเล่นออนไลน์ผ่านเครื่องเล่นวิดีโอเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกมแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง[5] แม้ว่าสิ่งนี้ทำให้เอกซ์บอกซ์ขึ้นมามียอดขายเป็นอันดับ 2 แซงหน้านินเท็นโด เกมคิวบ์และเซกา ดรีมแคสต์ แต่ยังห่างกับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 ของโซนี่อยู่มาก [6][7]
รุ่นถัดมาของเอกซ์บอกซ์คือ เอกซ์บอกซ์ 360 วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2548 ทำให้ เอกซ์บอกซ์ก็ถูกยุติการทำตลาดในเวลาถัดมาไม่นานเริ่มจากในประเทศที่ไมโครซอฟท์ไม่ประสบความสำเร็จมากนักอย่างญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่น ๆ เริ่มหยุดจำหน่ายในปีถัดมา[8]โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปของเอกซ์บอกซ์ คือเกม เส้าหลินโชว์ดาวน์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2550 และเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือคือเกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2551 การให้การสนับสุนสำหรับเอกซ์บอกซ์ที่หมดอายุนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 2 มีนาคม 2551 บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์สิ้นสุดเมื่อ 15 เมษายน 2552
ประวัติ
แก้ในปี 2541 วิศวกร 3 คนจากทีมไดเรกเอกซ์ของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Kevin Bachus, Seamus Blackley, Ted Hase และผู้นำทีมไดเรกเอกซ์ในเวลานั้นอย่าง Otto Berkes ร่วมทีมกันเพื่อทำการแกะแล็ปท็อปยี่ห้อ Dell เพื่อสร้างตัวต้นแบบของเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานซอฟต์แวร์เป็นซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์ โดยทีมนี้หวังว่าจะสามารถสร้างเกมคอนโซลที่สามารถมีอาร์ดแวร์มาตรฐานเทียบเท่ากับเกมคอนโซลตัวถัดไปจากโซนีอย่าง เพลย์สเตชัน 2 ซึ่งพวกเขามองว่าได้ดึงนักพัฒนาบางส่วนไปจากการพัฒนาเกมบนวินโดว์ โดยหลังจากทำการประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทีมนี้ได้เข้าไปพบกับ Ed Fries ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกมของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้น เพื่อนำเสนอ "ไดเรกเอกซ์ บอกซ์" ตัวต้นแบบ ซึ่งเป็นเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีไดเรกเอกซ์ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มของ Berkes โดยหลังจากได้เห็นผลิตภัณฑ์แล้ว Fries จึงได้ตัดสินใจสนับสนุนไอเดียของทีมที่จะสร้างเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากไมโครซอฟท์ ไดเรกเอกซ์ขึ้น[9][10][11]
ระหว่างการพัฒนา ชื่อเดิมของเกมคอนโซลเครื่องนี้อย่าง ไดเรกเอกซ์ บอกซ์ ถูกย่อให้เหลือเพียง "เอกซ์บอกซ์" ทั้งนี้ฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์ไม่ได้ชอบชื่อนี้และพยายามเสนอชื่ออื่นขึ้นมาทดแทน ระหว่างการทดสอบในวงจำกัด ชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นหนึ่งในรายการชื่อที่เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้จะไม่เป็นที่นิยมต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามภายหลังการทดสอบกลับพบว่าชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าชื่ออื่น ๆ ทำให้ชื่อ "เอกซ์บอกซ์"กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์นี้[12]
นี่เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกของไมโครซอฟท์ภายหลังทำการพัฒนาร่วมกับเซก้าเพื่อพอร์ตไมโครซอฟท์ วินโดว์ ซีอี ไปยัง ดรีมแคสต์ โดยไมโครซอฟท์เลื่อนการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ไปหลายครั้ง เอกซ์บอกซ์ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในที่สาธารณะชนในช่วงครึ่งหลังปี 2542 ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของบิล เกตส์ที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้นว่า "พวกเราต้องการให้เอกซ์บอกซ์เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมและมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในโลก"[13]
เอกซ์บอกซ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 ในงาน Game Developers Conference[14] ผู้เข้าชมต่างประทับใจในเทคโนโลยีของมัน โดย ณ ช่วงเวลาที่บิล เกตส์ทำการประกาศเอกซ์บอกซ์ สถานการณ์ยอดขายของเซก้า ดรีมแคสต์กำลังลดลงและโซนี เพลย์สเตชัน 2 กำลังวางขายในประเทศญี่ปุ่น[15] ทั้งนี้เกตส์ได้พูดคุยกับประธานของเซก้า Isao Okawa เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการให้เอกซ์บอกซ์สามารถเข้ากันได้กับเกมของดรีมแคสต์ แต่การเจรจาล้มเหลวหลังการเจรจาถึงความเป็นไปได้ว่าจะใช้บริการเซก้าเน็ตในการออนไลน์หรือไม่[16]
ตัวเครื่องเอกซ์บอกซ์เปิดตัวสู่สาธารณะชนโดยเกตส์และนักมวยปล้ำอาชีพ เดอะ ร็อก ที่งาน CES 2001 ในลาสเวกัสเมื่อ 3 มกราคม 2544[17] ถัดมาในเดือนพฤษภาคม ณ งาน E3 2001 ไมโครซอฟท์เปิดเผยวันวางจำหน่ายและราคา[18] โดยเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องส่วนใหญ่ก็ประกาศภายในงานนี้ ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ และ เดดออร์อะไลฟ์ 3
และเนื่องจากความนิยมอันมหาศาลของเครื่องเล่นวิดีโอเกมในประเทศญี่ปุ่น ไมโครซอฟท์จึงชะลอการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ในทวีปยุโรปก่อน เพื่อมุ่งเน้นการทำตลาดไปยังตลาดเครื่องเล่นเกมในญี่ปุ่นก่อน ซึ่งแม้ว่าการเปิดตัวในยุโรปจะล้าช้า ก็ได้รับการพิสูจน์ทางยอดขายแล้วว่าประสบความสำเร็จมากกว่าการจัดจำหน่ายเครื่องเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่น
กลยุทธ์ของไมโครซอฟท์เพื่อจัดจำหน่ายเอกซ์บอกซ์มีประสิทธิภาพอย่างมาก อย่างเช่นในการเตรียมการสำหรับจัดจำหน่าย ไมโครซอฟท์เข้าซื้อบันจีและใช้เกม เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ เป็นเกมวางจำหน่ายพร้อมเครื่อง เนื่องจากในเวลานั้นวิดีโอเกมชุด โกลเด้นอาย 007 สำหรับ นินเทนโด 64 เป็นหนึ่งในเกมแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในระดับทั่วไปที่ปรากฏในเครื่องเล่นวิดีโอเกมเช่นเดียวกับเกม เพอร์เฟค ดาร์ก และ เมดัลออฟออเนอร์ โดย เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ กลายเป็นวิดีโอเกมที่เป็นปัจจัยสำคัญให้เอกซ์บอกซ์ขายได้ดี[15] และส่งผลให้ในปี 2545 ไมโครซอฟท์ได้ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมอันดับสองในตลาดอเมริกาเหนือ นอกจากนี้บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ยังทำให้ไมโครซอฟท์สามารถตั้งหลักในการเล่นเกมออนไลน์และช่วยให้เอกซ์บอกซ์กลายเป็นคู่แข่งกับเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่หกเครื่องอื่น ๆ ได้
การโปรโมต
แก้ในปี 2545 องค์กร Independent Television Commission (ITC) จากสหราชอาณาจักร ทำการแบนโฆษณาสำหรับเอกซ์บอกซ์ในสหราชอาณาจักร หลังจากได้รับร้องเรียนว่าโฆษณาตัวนี้ทำให้เกิดความน่ารังเกียจ ความตกใจและมีรสนิยมไม่ดี โดยภาพในโฆษณาแสดงให้เห็นถึงมารดาให้กำเนิดเด็กทารกคนหนึ่งซึ่งถูกปล่อยออกจากท้องเหมือนกระสุนปืน พุ่งผ่านหน้าต่างและผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นจบลงที่เด็กคนที่พุ่งออกไปกลายเป็นชายแก่ตกลงบนหลุมฝังศพของเขาพร้อมคำโปรยว่า "ชีวิตมันสั้น เล่นให้มากกว่า"[19]
การยุติและรุ่นถัดไป
แก้รุ่นถัดไปของเอกซ์บอกซ์ เครื่องเอกซ์บอกซ์ 360 เปิดเผยครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 พฤษภาคม 2548 บนช่อง MTV โดยเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคถัดไปเครื่องแรกที่ประกาศออกมา เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2548 Nvidia ยุติการผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิกสำหรับเอกซ์บอกซ์ในเดือนสิงหาคม 2548 ซึ่งถือเป็นการยุติการผลิตเอกซ์บอกซ์เครื่องใหม่[20] โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปของเอกซ์บอกซ์ คือเกม เส้าหลินโชว์ดาวน์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2550 และเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือคือเกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2551 การให้การสนับสนุนสำหรับเอกซ์บอกซ์ที่หมดการประกันนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 2 มีนาคม 2551 [21] และบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์นั้น สิ้นสุดการให้บริการเมื่อ 15 เมษายน 2552[22]
เอกซ์บอกซ์ 360 สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่ง สำหรับผู้เล่นที่มีฮาร์ดไดรฟ์อย่างเป็นทางการของเอกซ์บอกซ์ 360 โดยรายชื่อเกมเอกซ์บอกซ์ที่เล่นได้บน 360 ถูกเพิ่มมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 โดยเซฟบนเครื่องเอกซ์บอกซ์ไม่สามารถย้ายมายังเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ แม้ว่าบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์สิ้นสุดเมื่อ 15 เมษายน 2552 แต่ทว่ายังสามารถใช้บริการออนไลน์ผ่านทั้งเอกซ์บอกซ์และเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ผ่านชุดซอฟต์แวร์ XLink Kai นอกจากนี้ในงาน E3 2017 ได้มีการประกาศว่าเอกซ์บอกซ์วัน สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ฮาร์ดแวร์
แก้เอกซ์บอกซ์เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรกที่มีฮาร์ดดิสก์อยู่ภายในตัว สำหรับใช้เพื่อเก็บเซฟเกมและดาวน์โหลดเนื้อหาจากยริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ซึ่งเป็นการทำลายระบบเมมโมรี่การ์ดที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น (ก่อนหน้านี้ในเครื่องคอนโซลเก่า ๆ เช่นเครื่องอมิก้า ซีดี 32 ใช้การจัดเก็บบนหน่วความจำแฟลชที่ฝังอยู่ภายใน เครื่องอื่น ๆ เช่นเทอร์โบกราฟ-ซีดี เซก้า ซีดีและเซก้า แซทเทิร์น ใช้ระบบเก็บข้อมูลแบบใช้ไฟเลี้ยงจนถึงปี 2544) นอกจากนี้ผู้ใช้เอกซ์บอกซ์ยังสามารถทำการริบเพลงจากซีดีเพลงลงฮาร์ดดิสก์ได้และฮาร์ดดิสก์ยังใช้เป็นที่เก็บเพลงประกอบบางเพลงในบางเกม[23]
เอกซ์บอกซ์ยังเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกมชิ้นแรกที่รองรับเทคโนโลยีการถอดรหัสเนื้อหาอินเตอร์แอคทีฟจากดอลบีโดยตรง ซึ่งอนุญาตให้มีการถอดรหัสแบบเรียลไทม์จากเสียงที่มาจากเครื่องเล่นวิดีโอเกม ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นจะมีการถอดรหัสแบบดอลบี 5.1 เฉพาะในฉากคัตซีนที่เป็นแบบอัดวิดีโอไว้อยู่แล้วเท่านั้น[24]
การที่เอกซ์บอกซ์มีพื้นฐานฮาร์ดแวร์มาจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่และหนักกว่าเครื่องเล่นวิดีโอเกมอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน การที่เครื่องใหญ่อันเนื่องมาจากไดร์ฟซีดีและดีวีดีที่เทอะทะ ขนาดของฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาด 3.5 นิ้ว นอกจากนี้เอกซ์บอกซ์ยังเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเช่นการให้สายแยกของตัวบังคับออกจากเครื่องเมื่อถูกดึงอย่างแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องตกจากที่สูง
ในระหว่างการพัฒนาเอกซ์บอกซ์ ได้มีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์ภายในหลายครั้งเพื่อป้องกันการแก้ไขชิพจากบุคคลภายนอก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและเพื่อทำให้ไดร์ฟดีวีดีมีความไว้วางใจได้ (เนื่องจากในบางเครื่องที่ใช้ในการทดสอบพบว่าเกิดปัญหาอ่านแผ่นผิดพลาดระหว่างที่ใช้ไดร์ฟดีวีดีของ Thomson) แม้ในเครื่องที่ผลิตออกมาช่วงหลัง ๆ จะใช้ไดร์ฟดีวีดียี่ห้อ Thomson รุ่น TGM-600 และไดร์ฟดีวีดียี่ห้อ Philips รุ่น VAD6011 แต่ยังพบถึงปัญหาที่ไดร์ฟไม่สามารถที่จะอ่านแผ่นดีวีดีรุ่นใหม่ ๆ ได้และยังปรากฏรหัสซึ่งแสดงโค้ดโดยใช้ PIO/DMA ในการระบุปัญหา โดยเครื่องที่พบปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถรับสิทธิในการซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องจากการรับประกัน
ในปี 2545 ไมโครซอฟท์และ Nvidia เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับข้อพิพาทเกี่ยวกับการกำหนดราคาชิพของ Nvidia สำหรับเอกซ์บอกซ์[25] ไมโครซอฟท์ยื่นฟ้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าไมโครซอฟท์ต้องการส่วนลด 13 ล้านเหรียญสำหรับการจัดส่งชิพในปีงบประมาณ 2545 ของ Nvidia ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงที่บริษัททั้งสองได้ทำขึ้น นอกจากนี้ยังมีคำร้องว่าต้องการให้มั่นใจอีกว่าชิพที่ผลิตออกมาในอนาคตจะได้รับการลดราคาตามข้อตกลงที่ทำก่อนหน้าและ Nvidia จะผลิตอย่างเต็มที่ตามคำสั่งซื้อจากไมโครซอฟท์โดยไม่มีข้อจำกัดทางปริมาณการผลิต เรื่องนี้ได้รับการตัดสินเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 โดยไมโครซอฟท์โดยทั้งสองฝ่ายต่างทำข้อตกลงกันใหม่[26]
ในการเชื่อต่อกับทีวีนั้นเอกซ์บอกซ์มีการให้ AV มาภายในกล่องเพื่อเชื่อมต่อ สัญญาณวีดิทัศน์คอมโพสิตและระบบเสียงทั้งแบบโมโนและสเตริโอสู่ทีวีที่ใช้ขั้วต่อแบบ RCA ในการรับข้อมูล เครื่องที่จัดจำหน่ายในทีวปยุโรปนั้นมีการแถมตัวแปลงจาก RCA สู่พอร์ต SCART เช่นเดียวกับสาย AV มาตรฐาน
การ์ดหน่วยความจำแบบถอดได้ขนาด 8 MB สามารถใช้เสียบเข้ากับตัวบังคับ เพื่อใช้สำหรับการนำเซฟเกมไปใช้กับเครื่องเล่นอื่น ซึ่งสามารถคัดลอกจากฮาร์ดดิสก์ของเอกซ์บอกซ์ได้ผ่านหน้าต่างตัวจัดการเซฟของเอกซ์บอกหรือทำการเซฟระหว่างเล่นเกม โดยเซฟส่วนมากของเกมบนเอกซ์บอกซ์สามารถโอนถ่ายลงสู่การ์ดและเล่นบนเครื่องเอกซ์บอกซ์อื่นได้ แต่ทว่าเซฟเอกซ์บอกซ์บางเซฟติดลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกข้อมูลบัญชีของเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เพื่อนำไปใช้กับเครื่องอื่นได้อีกด้วย
รายละเอียดทางเทคนิค
แก้เอกซ์บอกซ์ใช้หน่วยประมวลผลกลางคือ ซีพียู เพนเทียม III แบบปรับแต่ง ความเร็ว 733 เมกะเฮิร์ตซ์ แบบ 32 บิต โดยความเร็วฟรอนต์ไซด์บัสแบบ GTL+อยู่ที่ 133 เมกะเฮิร์ตซ์แบบ 64 บิตมีแบนด์วิดท์ที่ 1.06 จิกะไบต์ต่อวินาที แรมของเครื่องเป็นดีดีอาร์ เอสดีแรม มีขนาด 64 เมกะไบต์ โดยเป็นแบบใช่ร่วมกันทั้งระบบ มีแบนด์วิดท์รวมกัน 6.4 จิกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งแบ่งใช้เป็น 1.06 จิกะไบต์ต่อวินาทีสำหรับซีพียู ส่วนที่เหลือ 5.34 จิกะไบต์ต่อวินาทีแบ่งใช้ทั้งระบบ[27]
สำหรับหน่วยประมวลผลทางกราฟิกนั้นได้แก่ Nvidia NV2A ความเร็ว 233 เมกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลจำนวนจุดลอยตัวที่ 7.3 กิกะฟล็อป มีความสามารถในการคำนวณทางเรขาคณิตได้สูงสุด 115 ล้านจุดต่อวินาที มีอัตราการแสดงภาพสูงสุดที่ 932 ล้านพิกเซลต่อวินาที มีความสามารถในการแสดงผลในทางทฤษฎีที่ 29 ล้านพิกเซล 32-pixel triangles ต่อวินาที แต่ด้วยข้อจำกัดของแบนด์วิธ ทำให้จะมีอัตราการแสดงผลจริงอยู่ที่ระหว่าง 250-700 ล้านพิกเซลต่อวินาทีพร้อมทั้งคุณสมบัติในการ กำหนดตำแหน่งในแกนที่ 3 การเพิ่มการรับรู้ของระยะทางโดยการแรเงาวัตถุที่ห่างไกลแตกต่างกัน การเพิ่มผลจากสิ่งพิเศษหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปลงในรูป และวางรูปพื้นผิวแบบต่าง ๆ ลงบนโครงที่ได้ออกแบบมาก่อนหน้า[28]
ตัวควบคุม
แก้ตัวควบคุมของเอกซ์บอกซ์ประกอบไปด้วยอนาล็อก 2 ชิ้น แผ่นควบคุมทิศทางแบบกดแรงดัน อะนาล็อกทริกเกอร์สองปุ่ม ปุ่มย้อนกลับ ปุ่มเริ่ม ช่องเสียบอุปกรณ์เสริมสองปุ่มและปุ่มแอ็คชันแบบ 8 บิต (ได้แก่ปุ่ม A/สีเขียว ปุ่ม B/สีแดง ปุ่ม X/สีน้ำเงิน ปุ่ม Y/สีเหลือง ปุ่มสีขาวและดำ)[29] โดยตัวควบคุมแบบมาตรฐาน (มีชื่อเล่นจากขนาดว่า "Fatty"[30] อีกชื่อคือ "Duke"[31]) เป็นตัวควบคุมที่มีมาภายในกล่องมาสำหรับเอกซ์บอกซ์ทุกเครื่อง ยกเว้นที่จัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ตัวควบคุมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับตัวควบคุมเกมวิดีโอเกมอื่น ๆ ในตลาด ทำให้ตัวควบคุมนี้ได้รับรางวัล "ความผิดพลาดแห่งปี" จากนิตยสาร Game Informerในปี 2544[32] นอกจากนี้หนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ยังบันทึกว่าเป็นตัวควบคุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ฉบับเกมเมอร์เมื่อปี 2551 และถูกจัดให้เป็นตัวควบคุมที่แย่ที่สุดจากการจัดอันดับของ IGN[33]
ตัว "Controller S" (มีชื่อเรียกระหว่างการพัฒนาว่า "Akebono") เป็นตัวควบคุมที่เล็กและเบากว่านั้น แต่เดิมเป็นตัวบังคับแบบมาตรฐานที่แถมไปในชุดจัดจำหน่ายของเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่น[34] ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่มีมือขนาดเล็ก[35][36] โดยตัวควบคุม "Controller S" นั้นวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ หลังจากความต้องการที่มีอย่างมากและในปี 2545 ก็ได้กลายเป็นตัวบังคับแบบมาตรฐานที่แถมไปในชุดจัดจำหน่ายของเอกซ์บอกซ์ทั่วโลก โดยที่ตัวบังคับเดิมที่มีขนาดใหญ่ยังมีวางจำหน่ายในรูปแบบอุปกรณ์เสริม
ซอฟต์แวร์
แก้ระบบปฏิบัติการ
แก้เอกซ์บอกซ์ใช้ระบบปฏิบัติการเฉพาะที่ปรับปรุงมาจากเคอร์เนลของวินโดวส์ โดยส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์มีลักษณะคล้ายกับที่พบ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์เช่นไดเรกเอกซ์ 8.1 โดยซอฟต์แวร์นั้นมีพื้นฐานมาจากเคอร์เนลของวินโดวส์ เอ็นที แต่ปรับแต่งล็อกไฟล์[37]
ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ของเอกซ์บอกซ์นั้นเรียกว่าเอกซ์บอกซ์ แดชบอร์ดซึ่งประกอบไปด้วย ซอฟต์แวร์เล่นสื่อที่สามารถเล่นซีดีเพลง ริบซีดีสู่ฮาร์ดดิสก์ในเอกซ์บอกซ์และเล่นเพลงในฮาร์ดดิสก์ที่ริบจากซีดี นอกจากนี้ยังให้ผู้ใช้จัดการเซฟเกม เพลงและเนื้อหาดาวน์โหลดจากบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ให้ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้และจัดการบัญชีของพวกเขา แดชบอร์ดนั้นสามารถใช้ได้เฉพาะระหว่างที่ผู้ใช้ไม่ได้เล่นเกมหรือภาพยนตร์เท่านั้น โดยสีของแดชบอร์ดมีสีเขียวและดำซึ่งเป็นสีเดียวกับบนตัวเครื่องเอกซ์บอกซ์ ตอนที่เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายในปี 2544 เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้คุณสใบัติในส่วนออนไลน์ยังไม่สามารถใช้ได้
เอกซ์บอกซ์ไลฟ์เปิดให้บริการในปี 2545 แต่ในการที่จะเข้าถึงบริการได้นั้น ผู้ใช้ต้องทำการซื้อชุดเริ่มต้นสำหรับเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ซึ่งประกอบไปด้วยชุดหูฟัง และบัตรสมัครสมาชิกเพิ่มเติม. ระหว่างที่เอกซ์บอกซ์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ เอกซ์บอกซ์ แดชบอร์ดได้รับการอัปเดตผ่านเอกซ์บอกซ์ไลฟ์หลายครั้งเพื่อลดการโกงและเพิ่มคุณสมบัติ
เกม
แก้เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 เกมวางจำหน่ายที่ได้รับความนิยมพร้อมเครื่องอย่าง เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์, โปรเจกต์ก็อตแธมเรซิ่ง และ เดดออร์อะไลฟ์ 3 โดยทั้ง 3 เกมนั้นมียอดขายเกิน 1 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา[38]
แม้ว่าเอกซ์บอกซ์จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทภายนอกที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แต่เกมเอกซ์บอกซ์ในช่วงต้นจำนวนมากไม่ได้ใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพจนเต็มที่แม้ว่าจะวางจำหน่ายไปเป็นปี โดยเกมเวอร์ชันเอกซ์บอกซ์ของเกมที่ลงให้กับเครื่องเล่นวิดีโอเกมหลายเครื่องนั้นมักจะมาพร้อมกับการเพิ่มคุณสมบัติเล็กน้อยหรือการปรับปรุงด้านกราฟิกเพื่อแยกความแตกต่างจากเครื่องเพลย์สเตช้น 2 และเกมคิวบ์ ซึ่งทำให้จุดขายหลักของเอกซ์บอกซ์ไม่ได้รับการใส่ใจมาก ในช่วงเวลาสั้น ๆ โซนีโต้กลับเอกซ์บอกซ์ด้วยการรักษาเกมที่เป็นที่รอคอยอย่างมากให้เป็นเกมที่ลงเฉพาะเพลย์สเตชัน 2 ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างเกมชุด แกรนด์เธฟต์ออโต และเกมชุด เมทัลเกียร์ เช่นเดียวกับนินเทนโดที่รักษาเกมชุด เรซิเดนต์อีวิล ให้เป็นเกมเฉพาะเครื่องเกมคิวบ์ โดยบริษัทภายนอกเด่น ๆ ที่สนับสนุนเอกซ์บอกซ์คือเซก้า ซึ่งประกาศว่ามีเกมจำนวน 11 เกมลงเฉพาะบนเอกซ์บอกซ์ในงานโตเกียวเกมโชว์[39] เซก้าได้วางจำหน่ายเกมเฉพาะบนเอกซ์บอกซ์อย่าง เพนเซอร์ดรากูลออต้า และ เจ็ตเซ็ตเรดิโอฟิวเจอร์ ซึ่งได้รับคำชมจากนักวิจารณ์[40][41]
ในปี 2545 และ 2546 การวางขายเกมที่มีชื่อเสียงสูงช่วยให้โมเมนตัมของเอกซ์บอกซ์ดีขึ้นและแยกตัวออกจากออกจากเพลย์สเตชัน 2 ไมโครซอฟท์ยังเข้าซื้อกิจการของแรร์ที่ทำเกมฮิตจำนวนมากบนเครื่องนินเทนโด 64 เพื่อที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทเกมภายใน[42] บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เริ่มให้บริการช่วงหลังปี 2545 พร้อมกับเกมอย่าง โมโตจีพี เมชแอสซอล และทอม แคลนซี่ส์ โกสต์ รีคอน โดยเกมขายดีและได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกหลายเกมก็ออกตามมาเช่น ทอม แคลนซี สปลินเตอร์เซลล์ และ สตาร์ วอร์ส: ไนทส์ออฟดิโอลด์รีพับลิค เมื่อข้อตกลงของ Take-Two Interactive ที่จะทำเกมลงเฉพาะกับโซนีมีการแก้ไขเพื่อให้ แกรนด์เธฟต์ออโต III และภาคต่อวางจำหน่ายบนเอกซ์บอกซ์ บริษัทจัดจำหน่ายอื่นก็เริ่มที่จะนำเกมลงเอกซ์บอกซ์ โดยออกวางจำหน่ายห่างจากเวอร์ชันเพลย์สเตชัน 2 หลายเดือน
ปี 2547 เป็นปีที่เกมเฉพาะเครื่อง ฟาเบิล[43] และ นินจาไกเด็น[44] ซึ่งทั้งคู่กลายเป็นเกมที่ได้รับความนิยมบนเอกซ์บอกซ์[45] ในช่วงครึ่งหลังปี เฮโล 2 ออกวางจำหน่ายและกลายเป็นสื่อบันเทิงซึ่งทำรายได้สูงสุดภายในวันแรก ณ เวลานั้นที่ 125 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ[46] และกลายเป็นเกมที่ขายดีที่สุดบนเครื่องเอกซ์บอกซ์[47] เฮโล 2 กลายเป็นเกมที่เป็นจุดขายของระบบเกมที่สามต่อภายในปีนั้นจาก เมชแอสซอล & ทอม แคลนซี เรนโบว์ซิกส์ 3 นอกจากนี้ในปีนั้นไมโครซอฟท์ยังได้ตกลงกับอีเอที่จะนำเกมที่ยอดนิยมมาลงบนเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เพื่อสร้างความนิยมในบริการของพวกเขา
ปี 2548 มีเกมเฉพาะเครื่องที่ได้รับความนิยมอย่าง Conker: Live & Reloaded และ ฟอร์ซ่ามอเตอร์สปอร์ต นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังได้เริ่มวางจำหน่ายเอกซ์บอกซ์ 360 ซึ่งเป็นรุ่นถัดมา เกมอย่าง Kameo: Elements of Power และ เพอร์เฟคดาร์ก ซีโร่ ซึ่งเดิมทีนั้นถูกพัฒนาเพื่อลงเอกซ์บอกซ์[42] กลายเป็นเกมวางจำหน่ายพร้อมเครื่องเอกซ์บอกซ์ 360 แทน โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายสำหรับเอกซ์บอกซ์ได้แก่เกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2551
บริการ
แก้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 ไมโครซอฟท์เปิดให้บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สมัครเพื่อที่เล่นเกมของเอกซ์บอกซ์แบบออนไลน์กับผู้ใช้คนอื่น ๆ ที่สมัครบริการเดียวกันทั่วโลกได้ รวมถึงดาวน์โหลดเนื้อหาใหม่ ๆ สู่งฮาร์ดดิสก์ของเครื่องได้โดยตรง บริการออนไลน์นี้ทำงานผ่านเฉพาะการเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบรนด์เท่านั้น โดยมีสมัครใช้บริการจำนวน 250,000 คนภายใน 2 เดือนแรก[48] ในเดือนกรกฎาคม 2547 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเอกซ์บอกซ์ไลฟ์มีผู้ใช้บริการครบ 1 ล้านคน ในเดือนเดียวกันของปีถัดมายอดสมาชิกเพิ่มเป็น 2 ล้านคน ในเดือนกรกฎาคม 2550 มีผู้ใช้จำนวน 3 ล้านราย โดยในเดือนพฤษภาคม ปี 2552 มีจำนวนผู้สมัครใช้บริการ 20 ล้านราย[49] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 มีการประกาศว่าเอกซ์บอกซ ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์จะหยุดให้บริการในวันที่ 14 เมษายน 2553[4] บริการนี้หยุดตามที่วางแผนไว้ แต่กลุ่มผู้เล่นจำนวน 20 คนยังสามารถใช้บริการได้อยู่นานนับเดือน โดยการเปิดเครื่องเล่นวิดีโอเกมให้เชื่อมต่อกับเกมเฮโล 2 ค้างไว้[50]
ยอดขาย
แก้ภูมิภาค | จำนวนที่ขายได้ (จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2549) |
วันจำหน่ายครั้งแรก |
---|---|---|
อเมริกาเหนือ | 16 ล้าน | 15 พฤศจิกายน 2544 |
ยุโรป | 6 ล้าน | 14 มีนาคม 2545 |
เอเชียแปซิฟิก | 2 ล้าน | 22 กุมภาพันธ์ 2545 |
ทั่วโลก | 24 ล้าน | N/A |
ในเดือนพฤศจิกายน 2544 เอกซ์บอกซ์ได้วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือและขายหมดอย่างรวดเร็ว โดยการวางจำหน่ายในภูมิภาคนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยใน 3 เดือนแรกสามารถขายได้ 1.53 ล้านเครื่องซึ่งมากกว่ารุ่นถัดมาอย่างเอกซ์บอกซ์ 360 เช่นเดียวกับ เกมคิวบ์ เพลย์สเตชัน 3 วียูและแม้แต่ เพลย์สเตชัน 2 และวี[51]
เอกซ์บอกซ์ขายได้ทั้งหมด 24 ล้านเครื่องทั่วโลก ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2549 จากข้อมูลของไมโครซอฟท์[52] โดยแบ่งเป็น 16 ล้านเครื่องในทวีปอเมริกาเหนือ 6 ล้านเครื่องในทวีปยุโรป 2 ล้านเครื่องในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์
ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ในแต่ละเดือนนั้นทั้งหมดแทบจะตามหลังยอดขายของเพลย์สเตชัน 2 ยกเว้นในเดือนเมษายน 2547 ที่เอกซ์บอกซ์ขายดีกว่าเพลย์สเตชัน 2 ในสหรัฐอเมริกา[53] แม้จะมียอดขายห่างจากเพลย์สเตชัน 2 เป็นอย่างมาก เอกซ์บอกซ์ถือว่าประสบความสำเร็จ (อย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือ) มียอดขายในอันดับสองของเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 อย่างมั่นคง
ญี่ปุ่น
แก้แม้จะมีการประชาสัมพันธ์อย่างหนักในประเทศญี่ปุ่น[54][55] แต่ทว่ายอดขายของเครื่องเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่นกลับได้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก (460,000 เครื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2554)[56] นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าที่เอกซ์บอกซ์จะมีปัญหาในการต่อกรกับโซนีและนินเทนโดก่อนที่จะวางจำหน่ายในญี่ปุ่น โดยจะต้องแข่งกับของเล่นที่คล้ายกันและบางอย่างของเอกซ์บอกซ์ไม่เหมาะสำหรับสังคมในญี่ปุ่น (เช่นขนาดของเครื่อง) ทั้งยังขาดเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องที่น่าสนใจสำหรับญี่ปุ่นเช่นเกมแนวสวมบทบาท[57] โดยในสุดสัปดาห์ของ 14 เมษายน 2545 ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ห่างจากคู่แข่งอย่างโซนีและนินเทนโดเป็นอย่างมากรวมทั้งยอดขายของ WonderSwan และ เพลย์สเตชัน[58] ในเดือนพฤศจิกายน 2545 หัวหน้าเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่นได้ลาออก นำไปสู่การหารือกันถึงอนาคตของเอกซ์บอกซ์ ที่มียอดขายเพียง 278,860 เครื่องนับตั้งแต่วางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2545[59][60] ในสุดสัปดาห์ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2547 เอกซ์บอกซ์ขายได้เพียง 272 เครื่อง ซึ่งแย่กว่าเพลย์สเตชันที่ขายได้มากกว่า 4 เท่า[61] ที่เอกซ์บอกซ์ทำได้ แต่ทว่า ขายได้มากกว่าเกมคิวบ์ในสุดสัปดาห์ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2545[62] แม้จะมีความพยายามของไมโครซอฟท์ แต่เกมที่น่าสนใจแนวญี่ปุ่นบางเกมที่เป็นเกมเฉพาะสำหรับเอกซ์บอกซ์ เช่น เดดออร์อะไลฟ์ 3 หรือ นินจาไกเด็น ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อยอดขายเอกซ์บอกซ์ในญี่ปุ่น
โดยรุ่นถัดมาอย่างเอกซ์บอกซ์ 360 สามารถขายได้ 1.6 ล้านเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2014[63]
ดูเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Official Xbox website
- เอกซ์บอกซ์ (เครื่องเล่นวิดีโอเกม) ที่เว็บไซต์ Curlie
อ้างอิง
แก้- ↑ "Xbox Arrives in New York Tonight at Toys "R" Us Times Square - News Center". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ https://www.nytimes.com/2001/11/08/technology/08GAME.html?pagewanted=all
- ↑ Dyer, Mitch (November 23, 2011). "The Life and Death of the Original Xbox". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ 4.0 4.1 "Xbox Live's Major Nelson » Xbox LIVE being discontinued for Original Xbox consoles and games :". Majornelson.com. April 15, 2010. สืบค้นเมื่อ April 22, 2013.
- ↑ "History Of First Person Shooters". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-24. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ https://www.nytimes.com/2004/12/13/science/playstation-2-shortage-frustrates-more-than-buyers.html
- ↑ "BBC NEWS - Technology - Slimmer PlayStation triple sales". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ Garratt, Patrick (August 5, 2011). "The Xbox Story, Part 1: The Birth of a Console". vg247.com. สืบค้นเมื่อ June 26, 2013.
- ↑ Dudley, Brier (May 25, 2011). "Last of Xbox Dream Team, Otto Berkes Is Moving On". The Seattle Time. Seattle Times Co. p. A12.
Berkes and Hase were among a group of four who first pushed Microsoft to develop a Windows-based gaming system to compete with Sony's PlayStation 2, which was luring game companies from the Windows platform in the late 1990s. The other two were Seamus Blackley, who left in 2002, and Kevin Bachus, who left in 2001.
- ↑ Dudley, Brier (May 24, 2011). "Exclusive: Microsoft loses last Xbox founder, mobile PC visionary". The Seattle Times. Seattle Times Co. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 25, 2011. สืบค้นเมื่อ May 25, 2011.
In 1998, Berkes and his team ordered a few Dell laptops, took them apart and built the first prototypes of a Windows gaming console. In order to appeal to young people, the name zBar (pronounced zed-BAH) ; laterm Ed Fries was leading Microsoft's games publishing business when the four Xbox founders pitched a "Direct X Box" based on the Windows DirectX graphics technology that was developed by Berkes' team.
- ↑ Knoop, Joseph (May 16, 2018). "How The Xbox Was Born At 35,000 Feet". IGN. สืบค้นเมื่อ May 16, 2018.
- ↑ Alexander, Leigh (สิงหาคม 14, 2009). "Interview: Former Microsoft Exec Fries Talks Xbox's Genesis". Gamasutra. UBM TechWeb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤษภาคม 25, 2011. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 25, 2011.
Direct X-Box, of course, was truncated to 'Xbox,' -- and "marketing hated the name," says Fries. "They went off and created this whole, long list of better names for the machine." In focus testing, the marketing team left the name 'Xbox' on that long list simply as a control, to demonstrate to everyone why it was a horrible name for a console. "Of course, 'Xbox' outscored, in focus testing, everything they came up with. They had to admit it was going to be the Xbox."
- ↑ "Xbox Brings "Future-Generation" Games to Life" (Press release). Microsoft. March 10, 2000. สืบค้นเมื่อ May 3, 2009.
- ↑ "Xbox Brings "Future-Generation" Games to Life". Microsoft. March 10, 2000. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ 15.0 15.1 Kent, Steven L. (February 16, 2004). "Xbox Timeline". GameSpy.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 25, 2009. สืบค้นเมื่อ May 3, 2009.
- ↑ Ashcraft, Brian. "How Xbox Could Have Helped The Dreamcast Survive". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-25. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ Becker, David (January 6, 2001). "Microsoft got game: Xbox unveiled". CNET News. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ Lauren Fielder, Shane Satterfield (May 16, 2001). "E3 2001: Microsoft delivers Xbox launch details". GameSpot.com. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 28, 2013. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ "'Shocking' Xbox advert banned". BBC News Online. June 6, 2002. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
- ↑ "Nvidia ends shipments of chips for Xbox". Financial Times. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ de Matos, Xav (February 27, 2009). "PSA: Microsoft ends original Xbox support on March 2". สืบค้นเมื่อ December 10, 2015.
- ↑ Pereira, Chris (กุมภาพันธ์ 5, 2015). "Xbox Live to Cut Off Original Xbox Support on April 15". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 22, 2015. สืบค้นเมื่อ ธันวาคม 10, 2015.
- ↑ "Xbox: Description of custom soundtracks". Microsoft Knowledge Base. April 25, 2007. สืบค้นเมื่อ January 13, 2008.
- ↑ "The Xbox Video Game System from Microsoft to Feature Groundbreaking Dolby Interactive Content-Encoding Technology" (PDF) (Press release). Dolby Laboratories. April 18, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 19, 2006. สืบค้นเมื่อ July 3, 2008.
- ↑ "Microsoft takes Nvidia to arbitration over pricing of Xbox processors". EE Times. April 29, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-23. สืบค้นเมื่อ June 29, 2006.
- ↑ "Microsoft and Nvidia settle Xbox chip pricing dispute". EE Times. February 6, 2003. สืบค้นเมื่อ June 29, 2006.
- ↑ "Anandtech Microsoft's Xbox". Anandtech.com. สืบค้นเมื่อ November 11, 2010.
- ↑ Graphics Processor Specifications, IGN, 2001
- ↑ "Inside Xbox 360 Controller". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-25. สืบค้นเมื่อ 2018-08-07.
- ↑ "Xbox 360 Wireless Controller Tour". IGN. May 13, 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-11. สืบค้นเมื่อ July 2, 2011.
the original "Fatty" Xbox controller didn't have a specific public name
- ↑ "Xbox's original beast of a controller making a comeback?". CNET. June 15, 2005. สืบค้นเมื่อ October 16, 2011.
Anyone who purchased the original Xbox during its launch window quickly came to know its behemoth of a controller, now nicknamed "Duke."
- ↑ Games of 2001. Game Informer (January 2002, pg. 48).
- ↑ "Top 10 Tuesday: Worst Game Controllers". IGN. February 21, 2006. สืบค้นเมื่อ August 7, 2009.
- ↑ Ninja Beach Party. Official Xbox Magazine (October 2002, issue 11, pg. 44).
- ↑ Christopher Buecheler chrisb@gamespy.com (June 24, 2008). "GameSpy.com - Hardware: Xbox Controller S". Web.archive.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2008. สืบค้นเมื่อ November 11, 2010.
- ↑ "Xbox Retrospective: All-Time Top Xbox News". Gamer 2.0. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 3, 2010. สืบค้นเมื่อ November 11, 2010.
- ↑ "The Xbox Operating System". Xbox Team Blog. สืบค้นเมื่อ July 3, 2008.
- ↑ "The Magic Box - US Platinum Chart Games". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-06. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ "Sega and Microsoft Team Up for Strategic Xbox Alliance - News Center". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ "Panzer Dragoon Orta for Xbox - GameRankings". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-11. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ "JSRF: Jet Set Radio Future for Xbox - GameRankings". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-03. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ 42.0 42.1 Bouldling, Aaron (September 24, 2002). "Microsoft Buys Rare". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ "Fable for Xbox - GameRankings". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-06. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ "Ninja Gaiden for Xbox - GameRankings". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-16. สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ Adams, David (September 23, 2004). "Fable Sells Big". สืบค้นเมื่อ December 30, 2016.
- ↑ Becker, David (November 10, 2004). "'Halo 2' clears record $125 million in first day". News.com. สืบค้นเมื่อ September 30, 2007.
- ↑ Asher Moses (August 30, 2007). "Prepare for all-out war". The Sydney Morning Herald. สืบค้นเมื่อ July 16, 2008.
Combined, the first two Halo games have notched up sales of more than 14.5 million copies so far, about 8 million of which can be attributed to Halo 2, which is the best-selling first-generation Xbox game worldwide.
- ↑ Coleman, Stephen (January 7, 2003). "Xbox Live Subscriptions Double Expectations". IGN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 14, 2007. สืบค้นเมื่อ September 30, 2007.
- ↑ "Microsoft touts 30 million Xbox 360s sold, 20 million Xbox LIVE members". Engadget. สืบค้นเมื่อ November 11, 2010.
- ↑ "People still playing Halo 2 somehow". Eurogamer. April 26, 2010. สืบค้นเมื่อ June 4, 2010.
- ↑ Orland, Kyle (February 15, 2013). "Wii U has historically bad January, sells about 50,000 units in U.S". Arstechnica.com. สืบค้นเมื่อ April 25, 2014.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อgamers_catch
- ↑ Thorsen, Tor (May 26, 2004). "Xbox officially outsells PS2 in US". GameSpot.com. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 28, 2013. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ "Xbox launches in Japan". The Gaming Intelligence Agency. กุมภาพันธ์ 22, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 12, 2013. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 12, 2013.
- ↑ "Xbox unleashed in Japan". The Age Company Ltd. February 22, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-04. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ "The Life and Death of the Original Xbox". IGN UK. สืบค้นเมื่อ April 25, 2014.
- ↑ "Game-over for Xbox in Japan?". Taipei Times. February 21, 2002. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ "Japan GCN sales". IGN Entertainment. April 18, 2002. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ "Xbox dead in Japan?", GamesTM, Imagine Publishing, no. 1, p. 11, December 2002, ISSN 1478-5889, สืบค้นเมื่อ April 25, 2014,
Xbox is failing in Japan, there's no denying it. Despite the country's fascination with America, it seems uneasy investing in a non- Japanese product; so far just 278,860 Xbox consoles have been sold, compared to almost 700,000 GameCubes during the same period. These embarrassing figures have resulted in Hirohisa Ohura, Director of Xbox Japan, being moved to a different department within Microsoft, hinting that a certain amount of re-structuring is about to take place.
- ↑ "Japan Xbox chief steps down". PinoyExchange Forums. November 10, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-24. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ Funky Zealot (July 23, 2004). "Xbox Outsold by PS one in Japan". GamePro.com. IDG Entertainment. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 17, 2004. สืบค้นเมื่อ August 12, 2013.
- ↑ Xbox overtakes GameCube in Japan
- ↑ Phillips, Tom (February 26, 2014). "Wii U has finally overtaken Xbox 360 in Japan •". Eurogamer.net. สืบค้นเมื่อ April 25, 2014.