อุกฤษ มงคลนาวิน
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[1] อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานรัฐสภา ผู้ก่อตั้งสำนักงานทนายความอุกฤษ มงคลนาวิน เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอิสระเพื่ออำนวยความยุติธรรม และเสริมสร้างสิทธิเสรีภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.ยส.จชต.) คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ปัจจุบันเป็นกรรมการสภากาชาดไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 - ปัจจุบัน นอกจากนั้นยังดำรงตำแหน่งประธานพีระยานุเคราะห์มูลนิธิ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อีกด้วย
อุกฤษ มงคลนาวิน | |
---|---|
ประธานรัฐสภา โดยตำแหน่งประธานวุฒิสภา | |
ดำรงตำแหน่ง 30 เมษายน พ.ศ. 2527 – 21 เมษายน พ.ศ. 2532 (4 ปี 357 วัน) | |
ก่อนหน้า | จารุบุตร เรืองสุวรรณ |
ถัดไป | วรรณ ชันซื่อ |
ผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา โดยตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | |
ดำรงตำแหน่ง 2 เมษายน พ.ศ. 2534 – 21 มีนาคม พ.ศ. 2535 (0 ปี 353 วัน) | |
ก่อนหน้า | วรรณ ชันซื่อ (ประธานวุฒิสภา) |
ถัดไป | มีชัย ฤชุพันธุ์ (ประธานวุฒิสภา) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 10 มีนาคม พ.ศ. 2476 จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย |
คู่สมรส | ท่านผู้หญิงมณฑินี มงคลนาวิน (บุณยประสพ) |
ศาสนา | พุทธ |
ลายมือชื่อ | ![]() |
ประวัติแก้ไข
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2476 เป็นบุตรชายของ น.ท.พระมงคลนาวาวุธ ร.น. (มงคล มงคลนาวิน) กับนางต่วนทิพย์ มงคลนาวาวุธ (นามสกุลเดิม:อินทรเสน) สมรสกับท่านผู้หญิงมณฑินี มงคลนาวิน (บุณยประสพ) นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีบุตรชาย 2 คน คือ ดร.พืชภพ มงคลนาวิน รองอธิบดี กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และ รองศาสตราจารย์ ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2522 ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[2] - สำเร็จการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตและสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิตจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ และ ๒๕๐๒ ตามลำดับ - พ.ศ. ๒๕๐๙ สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมาย (Docteur en Droit) จาก มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส อุกฤษ มงคลนาวิน เคยดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและประธานรัฐสภาถึง 5 สมัย (2527, 2528, 2530, 2532, 2534 - 2535[3] 22 มีนาคม 2535 – 26 พฤษภาคม 2535 ) ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516[4] และได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539[5] แต่ได้ขอลาออกหลังจากรับการแต่งตั้งในเดือนเดียวกัน
ด้านการศึกษาแก้ไข
เป็นผู้ริเริ่มในการยกฐานะแผนกวิชานิติศาสตร์ ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ขึ้นเป็นคณะนิติศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ และดำรงตำแหน่งคณบดี อยู่ ๖ ปี นอกจากนั้น เป็นผู้บรรยายกฎหมายในสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง
ด้านวิชาชีพแก้ไข
ได้ก่อตั้งสำนักกฎหมาย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ จนถึงปัจจุบัน
ด้านการเมืองแก้ไข
เริ่มเป็นสมาชิกรัฐสภาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๕ และดำรงตำแหน่งรอง ประธานฯ, ประธานวุฒิสภา, ประธานรัฐสภา หลายสมัย
ด้านบริหารราชการแผ่นดินแก้ไข
ได้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เหตุที่เป็นนักนิติศาสตร์ที่ยึดมั่นใน หลักยุติธรรม นิติธรรม สันติธรรม จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการอำนวยความยุติธรรมใน ๓ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ (กอยส) และเป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรม แห่งชาติ (คอ.นธ)
ด้านเกียรติคุณที่ได้รับทางวิชาการแก้ไข
- ในปี ๒๕๒๒ ได้โปรดเกล้าฯให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - พ.ศ. ๒๕๓๐ และ พ.ศ. ๒๕๓๒ รับพระราชทานปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามลำดับ - พ.ศ. ๒๕๓๑ รับพระราชทานปริญญาบัตร (กิตติมศักดิ์) จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
ด้านสังคมสงเคราะห์แก้ไข
- โปรดเกล้าฯให้เป็นกรรมการสภากาชาดไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ จนถึงปัจจุบัน - เป็นประธานกรรมการมูลนิธิตึก สก. ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบัน - เป็นประธานกรรมการพีระยานุเคราะห์ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ จนถึงปัจจุบัน
ด้านเกียรติยศในสังคมแก้ไข
- ได้รับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ประเภทส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ - ได้รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๓๗ - ได้รับพระราชทานเหรียญกาชาดสดุดี ชั้นที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔ - เป็นนักศึกษาดีเด่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ในโอกาสมหาวิทยาลัยมีอายุครบ ๕๐ ปี - ได้เป็น “ปูชนียบุคคล” หนึ่งในร้อยคนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐
เครื่องราชอิสริยาภรณ์แก้ไข
- พ.ศ. 2527 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[6]
- พ.ศ. 2528 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[7]
- พ.ศ. 2540 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)[8]
- พ.ศ. 2532 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) (ฝ่ายหน้า)[9]
- พ.ศ. 2534 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 (ภ.ป.ร.3)[10]
- พ.ศ. 2527 – เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1 (เหรียญทอง)
- พ.ศ. 2554 – เหรียญกาชาดสดุดี ชั้นที่ 1 (เหรียญทอง)
ต่างประเทศ
พ.ศ. 2528- อิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดจากสาธารณรัฐเกาหลี
พ.ศ. 2529- อิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ชั้นกอม็องเดอร์จากสาธารณรัฐฝรั่งเศส
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งประธานและรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายอาษา เมฆสวรรค์ รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ ๑ พลเอก วิชิต บุณยะวัฒน์ รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ ๒)
- ↑ ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา
- ↑ "พระบรมราชโองการ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 2014-07-08.
- ↑ ประกาศรัฐสภา เรื่อง ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอน 2ง วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2540
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2019-11-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๐๒ ตอนที่ ๑๗ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๔๒, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๑๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๒, ๒๗ มกราคม ๒๕๒๙
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๑๔ ตอนที่ ๒๙ ข หน้า ๒, ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๗๓ ก ฉบับพิเศษ หน้า ๑, ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๑๐๘ ตอนที่ ๑๖๖ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๒, ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔