อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (ค.ศ. 1906)
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติบริติช ออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยบริษัทสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮมริชาร์ดสัน ณ แม่น้ำไทน์ ประเทศอังกฤษ เพื่อให้บริการแก่สายการเดินเรือคูนาร์ด โดยมีพิธีปล่อยเรือลงน้ำในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 เคยเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งการเปิดตัวเรืออาร์เอ็มเอส โอลิมปิกในปี ค.ศ. 1910 มอริเทเนียได้รับรางวัลบลูริบบันด์สำหรับการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันออกในการเดินทางกลับครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1907 และต่อมาก็สามารถคว้ารางวัลเดิมอีกครั้งสำหรับการข้ามมหาสมุทรไปทางทิศตะวันตกในการเดินทางที่เร็วที่สุดในช่วงฤดูกาลเดินเรือปี ค.ศ. 1909 และสามารถรักษาสถิติความเร็วทั้งสองนี้ไว้ได้นานถึง 20 ปี[1]
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย บนแม่น้ำไทน์ในปี ค.ศ. 1907
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ชื่อ | มอริเทเนีย |
ตั้งชื่อตาม | เมารีตานิอา |
เจ้าของ | 1906–1934: คูนาร์ดไลน์ 1934–1935: คูนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์ |
ผู้ให้บริการ | คูนาร์ดไลน์ |
ท่าเรือจดทะเบียน | ลิเวอร์พูล |
เส้นทางเดินเรือ | ลิเวอร์พูล–ควีนส์ทาวน์–นิวยอร์ก (1907–1919) เซาแทมป์ตัน–แชร์บูร์–นิวยอร์ก (1919–1934) |
Ordered | 1904 |
อู่เรือ | สวอนฮันเตอร์, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, ประเทศอังกฤษ |
Yard number | 735 |
ปล่อยเรือ | 18 สิงหาคม 1904 |
เดินเรือแรก | 20 กันยายน 1906 |
Christened | 20 กันยายน 1906 โดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก |
ส่งมอบเสร็จ | 11 พฤศจิกายน 1907 |
Maiden voyage | 16 พฤศจิกายน 1907 |
บริการ | 1907–1934 |
หยุดให้บริการ | กันยายน 1934 |
รหัสระบุ | สัญญาณเรียกขานไร้สาย: MGA (ถึงปี 1934) |
ความเป็นไป | แยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือเดินสมุมร |
ขนาด (ตัน): |
|
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 44,610 ตัน |
ความยาว: | 790 ฟุต (240.8 เมตร) |
ความกว้าง: | 88 ฟุต (26.8 เมตร) |
กินน้ำลึก: | 33 ฟุต (10.1 เมตร) |
ความลึก: | 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 8 |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: | 4 × ใบจักร จักรละ 4 พวง |
ความเร็ว: | 25 นอต (46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง) – 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) (ความเร็วในการให้บริการตามการออกแบบ) |
ความจุ: |
|
ลูกเรือ: | 802 คน |
หมายเหตุ: |
|
ชื่อเรือได้มาจากมณฑลเมารีตานิอา ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของโรมโบราณที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ไม่ได้มาจากประเทศมอริเตเนียในปัจจุบันที่อยู่ทางตอนใต้อย่างที่เข้าใจกัน[2] การตั้งชื่อในลักษณะเดียวกันนี้ยังถูกนำไปใช้กับเรือคู่วิ่งของมอริเทเนียคือ อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ซึ่งตั้งชื่อตามมณฑลของโรมโบราณที่อยู่ทางเหนือของเมารีตานิอา ตรงข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์ ในประเทศโปรตุเกส[2] มอริเทเนียให้บริการจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 ก่อนสายการเดินเรือคูนาร์ด–ไวต์สตาร์จะทำการปลดระวาง และเริ่มการรื้อถอนแยกชิ้นส่วนเรือที่เมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1935
ภูมิหลัง
แก้ในปี ค.ศ. 1897 เรือโดยสารสัญชาติเยอรมัน เอสเอส ไคเซอร์วิลเฮ็ล์มแดร์โกรเซ (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) ได้กลายเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 25 ไมล์ต่อชั่วโมง) ทำให้เรือลำนี้สามารถคว้ารางวัลบลูริบบัน มาจากเรืออาร์เอ็มเอส คัมปาเนีย (RMS Campania) และอาร์เอ็มเอส ลูเคเนีย (RMS Lucania) ของคูนาร์ดไลน์ได้สำเร็จ เยอรมนีได้ครองความเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก และภายในปี ค.ศ. 1906 พวกเขาก็มีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ (superliner) สี่ปล่องไฟให้บริการถึง 5 ลำ โดย 4 ใน 5 ลำนั้นเป็นของบริษัทนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์
ในช่วงเวลาเดียวกัน เจ. พี. มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกัน กำลังพยายามผูกขาดธุรกิจการเดินเรือผ่านบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเมอร์แคนไทล์มารีน (International Mercantile Marine Co.) และได้เข้าซื้อกิจการสายการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสายสำคัญอีกสายหนึ่งอังกฤษนั่นคือไวต์สตาร์ไลน์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว[3]
อันเนื่องมาจากภัยคุกคามเหล่านี้ คูนาร์ดไลน์จึงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูเกียรติยศและความเป็นผู้นำในวงการการเดินเรือข้ามมหาสมุทร ไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเพื่อเกียรติภูมิของสหราชอาณาจักรด้วย[3][4] ในปี ค.ศ. 1902 คูนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษได้บรรลุข้อตกลงในการสร้างเรือขนาดใหญ่พิเศษสองลำคือ ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย[3] โดยมีการรับประกันความเร็วในการให้บริการขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) รัฐบาลอังกฤษได้ให้เงินกู้จำนวน 2,600,000 ปอนด์ (281 ล้านปอนด์ในปี 2019)[5] เพื่อใช้ในการก่อสร้างเรือ โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 และมีกำหนดชำระคืนภายในระยะเวลา 20 ปี พร้อมเงื่อนไขว่าเรือดังกล่าวต้องสามารถดัดแปลงให้เป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธ (armed merchant cruiser) ได้หากมีความจำเป็น[6] เงินทุนเพิ่มเติมได้รับการจัดหาเมื่อกระทรวงทหารเรืออนุมัติให้คูนาร์ดไลน์ได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเป็นรายปีสำหรับการขนส่งไปรษณีย์[6][7]
การออกแบบและการสร้าง
แก้การสร้าง
แก้เรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียได้รับการออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ นาวาสถาปนิกของคูนาร์ดไลน์ โดยมีบริษัทสวอนฮันเตอร์และบริษัทจอห์นบราวน์ทำงานตามแบบแปลนของเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่มีความเร็วบริการที่กำหนดไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปานกลาง ตามเงื่อนไขของสัญญาเงินอุดหนุนไปรษณีย์ ในปี ค.ศ. 1902 เพสเกตต์ได้ออกแบบเรือโดยกำหนดให้มีปล่องไฟ 3 ต้น ซึ่งในขณะนั้นมีแผนจะติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบเป็นระบบขับเคลื่อน แบบจำลองขนาดใหญ่ของเรือดังกล่าวปรากฏอยู่ในนิตยสาร Shipbuilder คูนาร์ดไลน์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนหลักเป็นกังหันไอน้ำชนิดใหม่ของพาร์สันส์ และการออกแบบของเรือก็ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งเมื่อเพสเกตต์ได้เพิ่มปล่องไฟต้นที่สี่เข้าไปในโครงสร้างของเรือ การก่อสร้างเรือลำนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยพิธีวางกระดูกงูเรือในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1904[8] ตามธรรมเนียม ตัวเรือจะถูกทาสีด้วยสีเทาอ่อนเพื่อวัตถุประสงค์ในการถ่ายภาพในระหว่างการปล่อยเรือ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติทั่วไปในสมัยนั้นสำหรับเรือลำแรกในชั้นเรือใหม่ เพราะจะทำให้เส้นสายของเรือชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ หลังจากการเดินทางครั้งแรก ตัวเรือของเรือก็ถูกทาสีดำ[9]
ปล่อยลงน้ำ
แก้ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 เรือมอริเทเนียได้ถูกปล่อยลงน้ำโดย ดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก[10] ณ ขณะที่ปล่อยตัวลงน้ำ เรือลำนี้ถือเป็นโครงสร้างเคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา[11] และมีระวางบรรทุกรวมมากกว่าเรือลูซิทาเนียเล็กน้อย ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่างเรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียคือ เรือมอริเทเนียมีความยาวมากกว่า 5 ฟุต และมีช่องระบายอากาศที่แตกต่างกัน[12] เรือมอริเทเนียยังมีใบพัดกังหันในส่วนหน้าเพิ่มอีกสองขั้น ทำให้มีความเร็วสูงกว่าเรือลูซิเทเนียเล็กน้อย เรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียเป็นเรือเพียงสองลำที่ใช้กังหันไอน้ำขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง และสามารถครอบครองรางวัลบลูริบบันด์ได้ ในขณะที่เรือลำหลัง ๆ นั้นมักใช้กังหันไอน้ำแบบเฟืองทดรอบ[13] การนำกังหันไอน้ำมาใช้ในเรือมอริเทเนียถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาโดยชาลส์ อัลเจอร์นอน พาร์สันส์ ในวงกว้างที่สุดในขณะนั้น[14] ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ความเร็วสูง ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา เรือมอริเทเนียจึงได้รับการเสริมโครงสร้างส่วนท้ายเรือและปรับปรุงใบจักรใหม่ก่อนเริ่มให้บริการ ซึ่งส่งผลให้การสั่นสะเทือนลดลง[15]
ภายใน
แก้เรือมอริเทเนียได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับรสนิยมสมัยเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก แฮโรลด์ พีโต และห้องสาธารณะของเรือได้รับการตกแต่งโดยบริษัทออกแบบชื่อดังสองแห่งจากลอนดอน ได้แก่ ซีเอช. เมลลิเออร์ แอนด์ซันส์ (Ch. Mellier & Sons) และเทอร์เนอร์แอนด์ลอร์ด (Turner and Lord)[16][17] โดยใช้ไม้ถึง 28 ชนิด รวมถึงหินอ่อน ผ้าทอ และเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมอันน่าทึ่งในห้องสูบบุหรี่[16][18] แผ่นไม้บุผนังสำหรับห้องสาธารณะชั้นหนึ่งของเรือเชื่อกันว่าถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือ 300 คนจากปาเลสไตน์ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้และไม่จำเป็น โดยอาจถูกทำโดยอู่ต่อเรือหรือผู้รับเหมา ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับพื้นที่ชั้นสองและชั้นสามส่วนใหญ่[19] ห้องอาหารชั้นหนึ่งทำจากไม้โอกสีฟาง ได้รับการตกแต่งในแบบฟรานซิสที่ 1 และมีหลังคาโดมสกายไลต์ขนาดใหญ่[18] มีการติดตั้งลิฟต์หลายตัว ซึ่งนับเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ที่หาได้ยากบนเรือโดยสารในสมัยนั้น โดยมีการใช้ตะแกรงอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาซึ่งเป็นวัสดุใหม่ในสมัยนั้น มาติดตั้งอยู่ข้างบันไดใหญ่ที่ทำจากไม้วอลนัตของเรือมอริเทเนีย[18] สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ที่โดดเด่นคือ ระเบียงคาเฟ่ (Verandah Café) บนดาดฟ้าชั้นเรือบด ซึ่งเป็นพื้นที่รับประทานเครื่องดื่มที่ได้รับการป้องกันจากสภาพอากาศ แต่เนื่องจากการออกแบบดังกล่าวไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จึงมีการปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวภายในระยะเวลาหนึ่งปี[16]
-
ห้องรับประทานอาหารชั้นหนึ่ง
-
ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง
-
ห้องสูบบุหรี่ชั้นหนึ่ง
-
ระเบียงคาเฟ่
-
ลิฟต์
เทียบกับเรือชั้นโอลิมปิก
แก้เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคิวนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน
เรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เปิดตัวและให้บริการก่อนที่เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก จะพร้อมให้บริการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่งของมหาสมุทร จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คิวนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่า แอควิเทเนีย (Aquitania) ซึ่งจะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า[ต้องการอ้างอิง]
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคิวนาร์ดทั้งสองลำ[ต้องการอ้างอิง]
แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด แรงสั่นสะเทือนจะรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่อาศัยได้[20] ในทางตรงกันข้าม เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง
ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย มีหัวเรือที่ตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิก ออกแบบมาเพื่อให้เรือสามารถพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ผลที่ตามมาที่คาดไม่ถึงก็คือเรือของคิวนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจ แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่สงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างส่วนบน (superstructure)[21]
เรือชั้นโอลิมปิกยังแตกต่างจากเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ในขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาว ระหว่างหม้อไอน้ำและห้องเครื่องยนต์ และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของเรือไททานิกในปี 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งลดระดับลงไม่ได้[22] นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ําท่วมคลังถ่านหินเพียง 3 แห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ความสูงจุดเปลี่ยนศูนย์เสถียร (Metacentric Height) เป็นลบ[23] ในทางกลับกัน เรือไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความลาดเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก[24]
เรือลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิก 4 ลำ) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม
หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบนดาวิต (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนดาวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับได้ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติโดยตรง และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ จำเป็นต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้[25]
ช่วงต้น
แก้เรือมอริเทเนียออกเดินทางครั้งแรกจากลิเวอร์พูลในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 โดยมีกัปตันจอห์น พริตชาร์ด เป็นผู้บัญชาการ แต่ไม่สามารถทำลายสถิติความเร็วและคว้ารางวัลบลูริบบันด์ได้ เนื่องจากประสบกับพายุรุนแรงในระหว่างการเดินทาง ซึ่งส่งผลให้สมอสำรองหลุดออกจากเรือ เรือยังได้รับความเสียหายเล็กน้อยบริเวณโครงสร้างบนของเรือ ถึงกระนั้น ในการเดินทางกลับครั้งแรก (30 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม ค.ศ. 1907) เรือก็สามารถทำลายสถิติการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันออก[1] ด้วยความเร็วเฉลี่ย 23.69 นอต (43.87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 27.26 ไมล์ต่อชั่วโมง)[1] ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1907 เรือมอริเทเนียได้เดินทางกลับมายังนครนิวยอร์ก และจอดเทียบท่าที่ท่าเรือ 54 ในแม่น้ำนอร์ท ระหว่างนั้นได้เกิดพายุฝนกระหน่ำพร้อมลมกระโชกแรง ทำให้เสาผูกบนท่าเรือ 54 หักโค่นลง เรือมอริเทเนียได้ลอยออกนอกท่าบางส่วน และหัวเรือได้หันไปชนกับเรือท้องแบนหลายลำที่กำลังขนถ่านหินมาเติมและขนเถ้าออกไปจากเรือมอเรเทเนีย เรือท้องแบนโรนและทอมฮิกเคน รวมถึงเรือยูเรกา 32 และยูเรกา 36 ได้รับความเสียหาย และเรือท้องแบนเอลลิส พี. โรเจอส์ได้สูญหายไป[26][27]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1909 เรือมอริเทเนียสามารถคว้ารางวัลบลูริบบันด์สำหรับการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตกได้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นสถิติที่ยืนยงอยู่ยาวนานกว่าสองทศวรรษ[1] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 เรือมอริเทเนียได้หลุดจากทุ่นผูกที่แม่น้ำเมอร์ซีย์ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนครนิวยอร์กในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1910 ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการเดินทางเที่ยวพิเศษในช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปยังนครนิวยอร์ก ด้วยเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน คูนาร์ดไลน์จึงปรับเปลี่ยนกำหนดการเดินทางของเรือมอริเทเนีย เพื่อให้เรือลูซิเทเนียซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากนิวยอร์กภายใต้การบัญชาการของกัปตันเจมส์ ชาลส์ ออกเดินทางแทน เรือลูซิเทเนียได้ปฏิบัติหน้าที่แทนเรือมอริเทเนียในการเดินทางในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเพื่อส่งผู้โดยสารกลับไปยังนิวยอร์ก[28] เรือมอริเทเนียกำลังเดินทางจากลิเวอร์พูลมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก โดยเริ่มต้นการเดินทางในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 และได้เทียบท่าอยู่ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์การอัปปางของเรือไททานิก เรือมอริเทเนียได้ขนส่งบัญชีรายการสินค้าของเรือไททานิก ซึ่งส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ในช่วงเวลานั้น เอ. เอ. บูธ ประธานบริษัทคูนาร์ด กำลังเดินทางอยู่บนเรือมอริเทเนีย และเป็นผู้ริเริ่มจัดพิธีไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือไททานิก[29]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1913 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระราชินีแมรี ทรงได้รับเกียรติให้เสด็จเยี่ยมชมเรือเรือมอริเทเนีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นเรือพาณิชย์ที่เร็วที่สุดของอังกฤษ ทำให้เรือลำนี้มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้น ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1914 ขณะที่เรือมอริเทเนียกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมประจำปี ณ เมืองลิเวอร์พูล เกิดเหตุถังแก๊สระเบิดขึ้นขณะที่ช่างกำลังซ่อมแซมกังหันไอน้ำเครื่องหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย[30] และบาดเจ็บอีก 6 ราย ความเสียหายต่อเรือมีเพียงเล็กน้อย ต่อมาเรือได้เข้ารับการซ่อมแซมในอู่แห้งกลัดสโตนแห่งใหม่ และกลับมาให้บริการอีกครั้งหลังจากนั้น 2 เดือน[31]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แก้หลังจากสหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เรือมอริเทเนียก็รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เพื่อความปลอดภัย และเดินทางถึงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ไม่นานหลังจากนั้น เรือมอริเทเนียและอาควิเทเนียก็ได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลอังกฤษให้ดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธ[32] แต่เนื่องจากขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารและการบริโภคเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาลทำให้เรือทั้งสองลำไม่เหมาะสมสำหรับภารกิจดังกล่าว[33] และได้กลับมาให้บริการพลเรือนอีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม ต่อมาเนื่องด้วยจำนวนผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลงอย่างมาก เรือมอริเทเนียจึงถูกจอดพักไว้ที่ท่าเรือลิเวอร์พูลจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เรือลูซิเทเนียถูกเรือดำน้ำเยอรมันโจมตีจนอับปาง[ต้องการอ้างอิง]
เรือมอริเทเนียถูกวางแผนให้เข้ามาแทนที่เรือลูซิเทเนียในการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกหลังจากที่เรือลูซิเทเนียอับปาง แต่ภายหลังรัฐบาลอังกฤษได้สั่งให้เรือมอริเทเนียมาทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลเพื่อนำทหารอังกฤษไปยังสมรภูมิกัลลิโพลี[33] เรือลำนี้สามารถหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีโดยเรือดำน้ำเยอรมันได้ เนื่องจากความเร็วสูงและฝีมือการเดินเรือของลูกเรือ ในฐานะเรือขนส่งกำลังพล เรือถูกทาสีด้วยสีเทาเข้ม และมีปล่องไฟสีดำเช่นเดียวกับเรือลำอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน[ต้องการอ้างอิง]
เมื่อกองกำลังร่วมของจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มประสบกับการสูญเสียอย่างหนัก เรือมอริเทเนียก็ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเรือพยาบาล ร่วมกับเรืออาควิเทเนียและเรือบริแทนนิกของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อทำการรักษาผู้บาดเจ็บจนถึงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 ขณะปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์ เรือถูกทาสีขาว มีปล่องไฟสีเหลืองอ่อน และมีสัญลักษณ์กาชาดสีแดงขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเรือ[34] นอกจากนี้ ยังอาจมีป้ายสัญญาณส่องสว่างทางด้านกราบขวาและซ้ายของเรือ 7 เดือนต่อมาในปลายปี ค.ศ. 1916 เรือมอริเทเนียได้รับการร้องขอจากรัฐบาลแคนาดาให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลอีกครั้ง เพื่อขนส่งทหารแคนาดาจากเมืองแฮลิแฟกซ์ไปยังลิเวอร์พูล[33] หน้าที่ในสงครามของเรือลำนี้ยังไม่สิ้นสุดลงเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917 และเรือลำนี้ได้ทำการขนส่งทหารอเมริกันหลายพันนาย[ต้องการอ้างอิง]
เรือลำนี้เป็นที่รู้จักในกระทรวงทหารเรือว่าเอชเอ็มเอส ทูเบอโรส (HMS Tuberose)[35] จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง[33] แต่คูนาร์ดไลน์ไม่เคยเปลี่ยนชื่อของเรือลำนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 เรือมอริเทเนียได้รับการนำลวดลายพรางตาแบบใหม่มาประยุกต์ใช้ถึงสองรูปแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบสีนามธรรม ออกแบบโดยนอร์แมน วิลคินสัน ในปี ค.ศ. 1917 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับเรือรบของศัตรู ลายพรางรูปแบบแรกที่นำมาใช้ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 นั้นมีลักษณะโค้งมนตามธรรมชาติ และประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีสีเขียวมะกอกเป็นพื้นหลัก ผสมผสานกับสีดำ สีเทา และสีน้ำเงิน รูปแบบที่สองเป็นการออกแบบเชิงเรขาคณิตที่ได้รับการเรียกขานทั่วไปว่า "แดซเซิล" (dazzle) ซึ่งเริ่มนำมาใช้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสีน้ำเงินเข้มและสีเทาหลายจุด พร้อมด้วยสีดำบางส่วน หลังจากการปฏิบัติหน้าที่ในสงคราม เรือลำนี้ก็ได้รับการทาสีใหม่ด้วยสีเทาหม่น และในที่สุดก็กลับมาใช้สีประจำของคูนาร์ดไลน์อย่างสมบูรณ์ภายในกลางปี ค.ศ. 1919[ต้องการอ้างอิง]
หลังสงคราม
แก้เรือมอริเทเนียกลับเข้ามาให้บริการพลเรือนอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1919 ในเส้นทางระหว่างเซาแทมป์ตันและนิวยอร์ก
ตารางการเดินเรือที่หนาแน่นของเรือลำนี้ทำให้ไม่สามารถทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่ตามกำหนดในปี ค.ศ. 1920 ได้ อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1921 คูนาร์ดไลน์ได้สั่งระงับการให้บริการของเรือลำนี้ เนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณดาดฟ้า E และได้ตัดสินใจทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่ให้กับเรือ[36] เรือได้กลับไปยังอู่ต่อเรือไทน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือถูกสร้างขึ้นเพื่อทำการดัดแปลงหม้อน้ำให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตา[37] และกลับเข้าสู่การให้บริการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 คูนาร์ดไลน์พบว่าเรือมอริเทเนียประสบปัญหาในการรักษาความเร็วในการให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกตามปกติ
แม้ความเร็วในการให้บริการของเรือจะดีขึ้น และปัจจุบันใช้น้ำมันเตาเพียง 680 ตันต่อวัน เมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 910 ตันต่อวันในอดีต แต่เรือลำนี้ก็ยังไม่สามารถทำความเร็วในการให้บริการได้เทียบเท่ากับช่วงก่อนสงคราม ในการเดินทางข้ามมหาสมุทรครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1922 เรือสามารถทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 19 นอต (35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 22 ไมล์ต่อชั่วโมง)[ต้องการอ้างอิง]
ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการปรับปรุงเรือโดยการปิดล้อมบริเวณพื้นที่ทางเดินบนเรือชั่วคราว และดัดแปลงปล่องไฟให้มีรูปร่างเป็นวงรี ทำให้มีลักษณะคล้ายกับเรือลูซิเทเนียอย่างมาก คูนาร์ดไลน์เห็นว่าระบบกังหันไอน้ำของเรือซึ่งเคยเป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่โดยด่วน[36] ในปี ค.ศ. 1923 ได้มีการเริ่มดำเนินการซ่อมแซมเรือครั้งใหญ่ในเมืองเซาแทมป์ตัน โดยมีการถอดกังหันไอน้ำของเรือมอริเทเนียออก เมื่อการซ่อมใหญ่ดำเนินมาถึงครึ่งทาง คนงานอู่ต่อเรือได้ประกาศหยุดงาน ทำให้การทำงานทั้งหมดต้องหยุดชะงัก คูนาร์ดไลน์จึงสั่งให้ลากเรือไปยังเมืองแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อดำเนินการปรับปรุงให้แล้วเสร็จ ณ อู่ต่อเรือแห่งอื่น[38] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1924 เรือก็ได้กลับมาให้บริการในเส้นทางแอตแลนติกอีกครั้ง[36]
ในช่วงหลายปีต่อมา คูนาร์ดไลน์ได้พิสูจน์แล้วว่าการปรับปรุงเรือมอริเทเนียครั้งนั้นได้ส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัด เรือลำนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงและประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1928 เรือมอริเทเนียได้ผ่านการปรับปรุงตกแต่งภายในใหม่เพื่อเพิ่มความหรูหราและทันสมัยยิ่งขึ้น ทว่าในปีถัดมา สถิติความเร็วของเรือก็ถูกทำลายโดยเรือเอสเอส เบรเมิน (SS Bremen) ของเยอรมัน[39] ด้วยความเร็ง 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในวันที่ 27 สิงหาคม คูนาร์ดไลน์ได้อนุญาตให้อดีตเรือเดินสมุทรเร็วมีโอกาสสุดท้ายในการทวงคืนสถิติจากเรือโดยสารลำใหม่ของเยอรมัน แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นรองสถิติของเบรเมินเล็กน้อย เรือได้ถูกนำออกจากการให้บริการ และมีการปรับปรุงเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้ได้ความเร็วในการให้บริการที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับปรุงดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ เรือเบรเมินเป็นตัวแทนของเรือเดินสมุทรรุ่นใหม่ที่มีกำลังขับเคลื่อนและเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเรือของคูนาร์ดไลน์ซึ่งมีอายุการใช้งานมานาน[39] แม้ว่าเรือมอริเทเนียจะไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งชาวเยอรมันได้ แต่เรือลำนี้ก็พ่ายแพ้ไปเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งหลังจากการปรับปรุงการออกแบบมานานหลายทศวรรษ และการทำลายสถิติความเร็วของตนเองทั้งในเส้นทางมุ่งตะวันออกและตะวันตก ในปี ค.ศ. 1929 เรือมอริเทเนียได้ชนกับเรือข้ามฟากขนส่งรถไฟบริเวณใกล้กับประภาคารรอบบินส์รีฟ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และความเสียหายของเรือก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว[ต้องการอ้างอิง]
ในปี ค.ศ. 1930 ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากเรือโดยสารลำใหม่ในเส้นทางแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกเปลี่ยนบทบาทให้เป็นเรือสำราญโดยเฉพาะ[40] โดยให้บริการเดินเรือสำราญ 6 วันจากนิวยอร์กไปยังท่าเรือ 21 เมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย[41] ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 เรือมอริเทเนียได้ทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจำนวน 28 คน และแมวของเรือขนสินค้าชื่อโอวิเดีย (Ovidia) ซึ่งประสบเหตุอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแหลมเรซ นิวฟันด์แลนด์ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 400 ไมล์ทะเล (740 กิโลเมตร; 460 ไมล์)[42][43] ในปี ค.ศ. 1932 เรือได้ถูกทาสีขาวให้เข้ากับการให้บริการเรือสำราญ เมื่อคูนาร์ดไลน์ได้ควบรวมกิจการกับไวต์สตาร์ไลน์ในปี ค.ศ. 1934 เรือมอริเทเนีย พร้อมด้วยเรือโอลิมปิก โฮเมริก และเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ล้าสมัยลำอื่น ๆ ถูกพิจารณาว่าเกินความจำเป็นและได้ถูกนำออกจากการให้บริการ[ต้องการอ้างอิง]
ปลดระวาง
แก้คูนาร์ด-ไวต์สตาร์ไลน์นำเรือมอริเทเนียออกจากการให้บริการหลังจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งสุดท้ายจากนิวยอร์กไปยังเซาแทมป์ตันในเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 การเดินทางนั้นทำได้ด้วยความเร็วเฉลี่ย 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดเดิมตามสัญญาเงินอุดหนุนไปรษณีย์ จากนั้นเรือได้ถูกจอดพักไว้ ณ ท่าเรือเซาแทมป์ตัน เพื่อยุติบทบาทการให้บริการอันยาวนานตลอดระยะเวลา 28 ปี[37]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งภายในของเรือได้ถูกนำออกประมูลโดยบริษัทแฮมป์ตันแอนด์ซันส์ (Hampton and Sons) และในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน เรือก็ได้ออกเดินทางจากเมืองเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้าย มุ่งหน้าไปยังโรงงานแยกชิ้นส่วนเรือของบริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ (Metal Insudtries) ที่เมืองรอสไฟฟ์[37] หนึ่งในอดีตกัปตันของเรือลำนี้คือพลเรือจัตวา เซอร์อาร์เทอร์ รอสตรอน กัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือไททานิก ได้มาส่งเรือลำนี้ในการเดินทางครั้งสุดท้ายจากเมืองเซาแทมป์ตัน รอสตรอนปฏิเสธที่จะขึ้นไปบนเรือมอริเทเนียก่อนการเดินทางครั้งสุดท้าย โดยกล่าวว่าตนต้องการจดจำเรือลำนี้ไว้ในสภาพที่ตนเคยบังคับการ[ต้องการอ้างอิง]
ระหว่างการเดินทางไปยังรอสไฟฟ์ เรือมอริเทเนียได้หยุดพัก ณ สถานที่ที่ตนถือกำเนิดบนแม่น้ำไทน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาชม มีการยิงจรวดจากสะพานเดินเรือ มีการส่งต่อข้อความ และนายกเทศมนตรีเมืองนิวคาสเซิลก็ได้ขึ้นมาบนเรือ[44] นายกเทศมนตรีได้กล่าวอำลาเรือแทนชาวนิวคาสเซิล และกัปตันคนสุดท้าย เอ. ที. บราวน์ ก็ได้ทำการแล่นเรือมุ่งหน้าสู่รอสไฟฟ์ต่อไป ประมาณ 30 ไมล์ทางเหนือของนิวคาสเซิลคือท่าเรือเล็ก ๆ ของเมืองแอมเบิล ในนอร์ทัมเบอร์แลนด์ สภาเทศบาลท้องถิ่นได้ส่งโทรเลขไปยังเรือโดยมีใจความว่า “ยังคงเป็นเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนท้องทะเล" ซึ่งเรือมอริเทเนียได้ตอบกลับไปว่า "ขอส่งความนับถือและขอบพระคุณมายังท่าเรือแห่งสุดท้ายและใจดีที่สุดในอังกฤษ"[45] จนถึงปัจจุบัน เมืองแอมเบิลยังคงเป็นที่รู้จักในนาม "แอมเบิล ท่าเรือที่เป็นมิตรที่สุด" และสัญลักษณ์นี้ยังคงปรากฏให้เห็นบนป้ายบอกทางเมื่อเข้าสู่เมือง หลังจากที่เสากระโดงถูกตัดให้สั้นลงเพื่อให้เรือสามารถแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ทได้ เรือลำนี้จึงถูกส่งไปยังสถานที่แยกชิ้นส่วนเรือ[ต้องการอ้างอิง]
เรือมอริเทเนียเดินทางมาถึงเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในช่วงเช้ามืดประมาณ 06:00 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 ขณะเกิดพายุลมระดับปานกลาง โดยแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ท ภายในเวลา 06.30 น. เรือได้ผ่านประตูทางเข้าอู่เรือของบริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ภายใต้การบังคับบัญชาของรองกัปตันวินซ์ มีนักเป่าปี่สก็อตคนหนึ่งที่ท่าเรือบรรเลงเพลงโศกเศร้าเพื่อไว้อาลัยให้แก่เรือลำดังกล่าว มีรายงานถึงนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ จอห์น แมกซ์โทน-เกรแฮม ว่าเมื่อการทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่ของเรือได้หยุดลงเป็นครั้งสุดท้าย เรือได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเป็นครั้งสุดท้ายราวกับจะร่ำลา เรือมอริเทเนียเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 8 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ โดยมีผู้เข้าชมกว่า 20,000 คน รายทั้งหมดได้ถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลในท้องถิ่น การแยกชิ้นส่วนเริ่มต้นขึ้นในเวลาไม่นานหลังจากนั้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้ว การแยกชิ้นส่วนเรือจะกระทำบนอู่แห้ง แต่ในกรณีพิเศษ เรือลำนี้ถูกแยกชิ้นส่วนขณะลอยอยู่ในอู่แห้ง โดยมีการใช้ระบบไม้ระแนงและเครื่องหมายดินสอที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบสมดุลของเรืออย่างต่อเนื่อง ภายในหนึ่งเดือน ปล่องไฟของเรือก็ถูกถอดออก ภายในปี ค.ศ. 1936 เรือลำนี้ได้กลายสภาพเป็นเพียงซากเรือที่ไร้ค่า และถูกนำไปเกยตื้นที่แอ่งน้ำขึ้นน้ำลงของเมทัลอินดัสตรีส์ ก่อนจะถูกนำไปรื้อถอนโครงสร้างที่เหลือทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 1937[46][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทคู่แข่งนำชื่อไปใช้และเพื่อสงวนชื่อไว้สำหรับเรือของคูนาร์ดไวต์สตาร์ไลน์ลำใหม่ในอนาคต จึงได้มีการดำเนินการเปลี่ยนชื่อเรือกลไฟพายโดยสารลำหนึ่งของบริษัทเรดฟันเนิล (Red Funnel) เป็นมอริเทเนียชั่วคราวก่อนจะมีการเปิดตัวเรืออาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ลำใหม่ในปี ค.ศ. 1938[47][ต้องการเลขหน้า]
การปลดระวางเรือมอริเทเนียถูกคัดค้านจากผู้โดยสารที่ภักดีต่อเรือลำนี้อย่างมากมาย รวมถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ที่เขียนจดหมายส่วนตัวเพื่อคัดค้านการแยกชิ้นส่วนเรือลำนี้[4]
หลังปลดระวาง
แก้ระฆังของเรือจัดแสดงอยู่ในห้องรับรองของบริษัท ลอยด์ส เรจิสเตอร์ กรุป จำกัด ถนนเฟนเชิร์ช กรุงลอนดอน ในวันรำลึกประจำปี ลอยด์สเรจิสเตอร์จะร่วมยืนไว้อาลัยเป็นเวลาสองนาที และวางพวงมาลาบนฐานระฆังเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารผ่านศึกทั้งชายและหญิง
เฟอร์นิเจอร์บางส่วนจากเรือมอริเทเนียได้ถูกนำไปติดตั้งในบริเวณบาร์และร้านอาหารในเมืองบริสตอลที่มีชื่อว่า บาร์มอริเทเนีย (ปัจจุบันคือจาวา บริสตอล) ตั้งอยู่บนถนนพาร์ก บาร์แห่งนี้ตกแต่งด้วยแผงไม้มะฮอกกานีแอฟริกาเก่าแก่ที่แกะสลักและปิดทองอย่างวิจิตรบรรจง ซึ่งนำมาจากห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของเรือ[48] ป้ายนีออนที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองการเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1937 บนผนังด้านทิศใต้ยังคงโฆษณาเรือมอริเทเนียอยู่ และตัวอักษรที่ใช้ติดหัวเรือก็ถูกนำมาประดับไว้เหนือทางเข้า
นอกจากนี้ ห้องอ่านเขียนหนังสือชั้นหนึ่งเกือบทั้งหมด พร้อมด้วยโคมระย้าดั้งเดิมและชั้นหนังสือปิดทองที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ได้ถูกนำมาใช้เป็นห้องประชุมที่สตูดิโอไพน์วูด ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน สีเดิมที่ส่องประกายราวกับต้นซิคามอร์เงินเงาได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาจนกลายเป็นสีเหลืองอำพัน[4] ตามรายการโทรทัศน์ของแชนแนลโฟร์ที่กล่าวถึงอสังหาริมทรัพย์ริมทะเลได้มีการนำห้องนั่งเล่นชั้นสองทั้งหมดจากเรือถูกนำมาใช้ตกแต่งภายในของบ้านสีขาวและน้ำเงินที่หันหน้าออกสู่ท่าเรือพูล ห้องรับรองนี้มีระเบียงวงกลมที่ประกอบด้วยเสาราวระเบียงโดยรอบ ซึ่งเป็นของดั้งเดิมจากเรือ แผงผนังตกแต่งและอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งโถงทางเข้าและโรงละครของโรงภาพยนตร์วินด์เซอร์ในเมืองคาร์ลุก ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงแล้ว[49] ส่วนหนึ่งของแผงไม้ตกแต่งนั้นได้ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างส่วนต่อเติมของโบสถ์คาทอลิกเซนต์จอห์นเดอะแบปติสต์ ในเมืองแพดิแฮม แลงคาเชอร์ ซึ่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1937[50]
ในปี ค.ศ. 2010 ได้มีการค้นพบและบูรณะเสาอิงไม้มะฮอกกานีแอฟริกันจากห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของเรือ ซึ่งมีการแกะสลักลวดลายดอกอะแคนทัสปิดทองและหัวเสารูปแกะที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา เสานี้ได้ถูกจัดแสดงอย่างถาวรในห้องผนวกเซเกดูนัมของพิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี ในเมืองวอลเซนด์ ห่างจากจุดที่แกะสลักและติดตั้งในอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์เพียงไม่กี่ร้อยหลาเมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษก่อน มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งของเรือลำนี้จำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาไว้ในคอลเลกชันส่วนบุคคล รวมถึงส่วนประกอบขนาดใหญ่ เช่น บัวผนัง แผงผนัง ฝ้าเพดาน และตัวอย่างใบพัดของกังหันไอน้ำ[51] เครื่องสั่งจักรบนห้องถือท้ายสำหรับกังหันไอน้ำแรงดันสูงด้านกราบซ้ายจากเรือมอริเทเนียจัดแสดงอยู่ในล็อบบีของเรืออาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ 2 (RMS Queen Elizabeth 2) ซึ่งปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เมืองดูไบ
แบบจำลองต้นฉบับของเรือมอริเทเนียถูกจัดแสดงที่สถาบันสมิธโซเนียน กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากอยู่บนเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี (RMS Queen Mary) ซึ่งปลดระวางมาเป็นเวลานานแล้วในเมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เดิมทีตัวเรือมีสีดำ แต่ได้มีการทาสีใหม่เป็นสีขาวตามแบบฉบับเรือสำราญในช่วงทศวรรษที่ 1930 หลังจากที่ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ได้มอบเป็นของขวัญให้แก่เรือควีนแมรี[52] แบบจำลองเรือมอริเทเนียอีกหนึ่งลำจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี ในเมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ โดยยังคงรักษาสีดั้งเดิมเอาไว้
แบบจำลองขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยผู้สร้างเรือแสดงให้เห็นถึงเรือมอริเทเนียในตัวเรือสีขาวสำหรับการล่องเรือสำราญ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ทางทะเลแอตแลนติก ในส่วนจัดแสดงของบริษัทคูนาร์ด ณ เมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เดิมทีเป็นแบบจำลองของเรือลูซิเทเนีย ต่อมาได้มีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นตัวแทนของเรือมอริเทเนียหลังจากที่เรือลูซิเทเนียถูกตอร์ปิโด[53]
แบบจำลองขนาดใหญ่ของผู้สร้างอีกลำหนึ่งจัดแสดงอยู่บนเรือควีนเอลิซาเบธ 2 ซึ่งปัจจุบันจอดอยู่ในดูไบ แบบจำลองนี้เดิมทีเคยเป็นเรือลูซิเทเนีย และเช่นเดียวกับแบบจำลองที่พิพิธภัณฑ์ทางทะเลแอตแลนติก ได้มีการดัดแปลงให้เป็นเรือมอริเทเนียหลังจากที่เรือลูซิเทเนียได้อับปางไป[54] เมื่อตรวจสอบแบบจำลอง สามารถระบุได้ว่าเป็นเรือลูซิเทเนียจากการพิจารณาโครงสร้างรองรับเรือชูชีพที่แตกต่างกัน และส่วนหน้าของสะพานเดินเรือที่อยู่บนดาดฟ้าเรือบด[ต้องการอ้างอิง] แบบจำลองของเรือซึ่งคูนาร์ดไลน์ได้ว่าจ้างให้สร้างขึ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งชาติ เมืองกรีนิช[55]
รายชื่อกัปตัน
แก้รายการนี้อิงตามข้อมูลที่มีอยู่และอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ วันที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:
- จอห์น พริทชาร์ด (John Pritchard) (16 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 1907) บัญชาการในการเดินทางเที่ยวแรก
- ธีโอดอร์ วิลเลียม แชลเมอส์ (Theodore William Chalmers) (7 ธันวาคม 1907 – 11 กุมภาพันธ์ 1911) บัญชาการเรือเป็นเวลานานหลายปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเรือในฐานะเรือที่เชื่อถือได้และรวดเร็ว
- เจมส์ ชาลส์ (James Charles) (12 กุมภาพันธ์ 1911 – 16 เมษายน 1912) บัญชาการเรือในช่วงที่เรือทำลายสถิติความเร็ว และในช่วงที่เรือไททานิกอับปาง
- เฮอร์เบิร์ต ออกัสตัส วอเตอร์ (Herbert Augustus Water) (17 เมษายน – 13 พฤศจิกายน 1912) เข้ารับตำแหน่งต่อจากเหตุภัยพิบัติเรือไททานิก และยังคงให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือมอริเทเนียต่อไป
- วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner) (14 พฤศจิกายน 1912 – 12 กรกฎาคม 1913) ได้นำเรือมอริเทเนียผ่านปีแห่งการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง และได้เห็นการเยือนของกษัตริย์จอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี
- แฮโรลด์ อาร์เทอร์ ไบรท์ (Harold Arthur Bright) (13 กรกฎาคม 1913 – 30 เมษายน 1914) บัญชาการเรือมอริเทเนียระหว่างการเสด็จประพาสอันทรงเกียรติ และดูแลการปรับปรุงประจำปีของเรือที่ลิเวอร์พูล ซึ่งน่าเศร้าที่ประสบเหตุถังแก๊สระเบิดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต
- อาร์เทอร์ เฮนรี รอสตรอน (Arthur Henry Rostron) (1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 1914) ผู้โด่งดังจากวีรกรรมในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก เคยเป็นผู้บัญชาการเรือมอริเทเนียในช่วงสั้น ๆ ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น
- วิลเลียม ไมลส์ (William Miles) (5 สิงหาคม 1914 – 1920) บัญชาการเรือผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเรือทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ
- เบนจามิน เจมส์ วิลเลียมส์ (Benjamin James Williams) (1920 – 1924) บัญชาการเรือในระหว่างการฟื้นฟูเรือหลังสงคราม และดูแลการกลับคืนสู่การให้บริการพลเรือนของเรือ
- จอร์จ ชาลส์ เอ็ดการ์ เทอร์เนอร์ (George Charles Edgar Turner) (1924 –1929) นำพาเรือผ่านฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จหลายฤดูกาล และดูแลการปรับปรุงครั้งสุดท้ายของเรือ ก่อนสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือจะถูกทำลาย
- อาร์เทอร์ โรแลนด์ บราวน์ (Arthur Roland Brown) (1929 – 1934) บัญชาการเรือในช่วงปีสุดท้ายของการเป็นเรือเดินสมุทร ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นเรือสำราญ
ในวัฒนธรรมประชานิยม
แก้เรือมอริเทเนียยังคงเป็นที่จดจำในบทเพลงชื่อ "The fireman's lament" หรือ "Firing the Mauretania" ซึ่งรวบรวมโดยเรด ซัลลิแวน[56] เพลงเริ่มต้นด้วยท่อนที่ว่า "ในปี 1924 ฉัน ... ได้งานบนมอริเทเนีย" แต่ทว่าในท่อนต่อมากลับกล่าวถึงการ "ตักถ่านหินตั้งแต่เช้ายันค่ำ" ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในปี ค.ศ. 1924 เนื่องจากเรือลำนี้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเตาแล้ว และยังกล่าวถึง "เตาไฟ" จำนวน 64 เตา ฮิวอี โจนส์ ได้บันทึกเสียงเพลงนี้ด้วยเช่นกัน แต่ในท่อนสุดท้ายของเวอร์ชันของเขาได้มีการกล่าวถึง "เหล่าคนเล็มถ่านทั้งหมด" ในขณะที่เวอร์ชันของเรด ซัลลิแวน ได้กล่าวถึง "เหล่าคนตักถ่าน"[i]
นวนิยายเรื่อง The Thief ของไคลฟ์ คัสเลอร์ ซึ่งมีไอแซก เบลล์เป็นตัวละครหลัก มีฉากหลังอยู่บนเรือมอริเทเนีย เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงบริเวณห้องเก็บสัมภาระด้านหน้า แต่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้สงบลงได้
เรือมอริเทเนียยังถูกกล่าวถึงในบทกวีชื่อ "The Secret of the Machines" ของรัดยาร์ด คิปลิง อีกด้วย:
เรือด่วนกำลังรอคำสั่งของท่านอยู่!
ท่านจะพบมอริเทเนียจอดอยู่ที่ท่าเรือ,
กระทั่งกัปตันหมุนคันบังคับใต้ฝ่ามือ,
แล้วนครเก้าชั้นอันมหึมาก็ออกสู่ทะเล
ในฉากเปิดของภาพยนตร์เรื่องไททานิคที่กำกับโดยเจมส์ แคเมอรอน ตัวละครโรส เดวิต บูเคเตอร์ ซึ่งรับบทโดยเคต วินสเล็ต ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรือไททานิกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ประทับใจว่า "ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นกันอะไรนักหนา" ขณะเดียวกันก็มีการเปรียบเทียบโดยนัยกับเรือมอริเทเนียซึ่งเป็นเรือที่มีชื่อเสียงในยุคเดียวกันว่า "ใหญ่พอ ๆ กับเรือมอริเทเนียนั่นแหละ" คาลีดอน ฮ็อกลีย์ แฟนหนุ่มผู้หยิ่งยโสของเธอ ซึ่งรับบทโดยบิลลี เซน อธิบายให้เธอฟังอย่างไม่ถูกต้องว่าไททานิก "ยาวกว่าตั้งร้อยฟุต" และ "หรูหรากว่า" เรือลำเก่าอย่างมอริเทเนียมาก
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Maiden Voyage ผลงานของโรเจอร์ ฮาร์วีย์ นักเขียนชาวอังกฤษ มีฉากหลังอยู่ที่นิวคาสเซิลในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นได้นำเสนอภาพพจน์ที่ถูกต้องและแม่นยำเกี่ยวกับกระบวนการก่อสร้างเรือมอริเทเนีย รวมถึงตัวละครที่เกี่ยวข้องกับระบบเครื่องยนต์กังหันไอน้ำของเรือลำนี้ จุดสูงสุดของเรื่องราวความรักสองคู่และเรื่องระทึกใจเกิดขึ้นเมื่อเรือลำนี้เข้าใกล้เมืองนิวยอร์กในระหว่างการเดินทางครั้งแรก
เป็นเรือที่สเปนเซอร์ ดัตตัน ใช้ในการนำส่งสารจากป้าของเขาเพื่อให้เขากลับไปยังฟาร์มเยลโลว์สโตนในปี ค.ศ. 1923[57]
ในแอนิเมชั่นเรื่อง Candy Candy ซึ่งออกอากาศในปี ค.ศ. 1976 มีตอนหนึ่งที่ดำเนินเรื่องบนเรือมอริเทเนีย ตามเนื้อเรื่อง ตัวละครหลักชื่อ แคนดี ไวต์ เดินทางไปศึกษาต่อที่ลอนดอนจากนิวยอร์กโดยเรือมอริเทเนีย และหลังจากนั้นไม่นาน เทอรัส แกรนเชสเตอร์ คนรักของแคนดีก็เดินทางกลับนิวยอร์กโดยเรือลำเดียวกัน
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Maxtone-Graham 1972, pp. 41–43.
- ↑ 2.0 2.1 Maxtone-Graham 1972, p. 24.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Maxtone-Graham 1972, p. 11.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Floating Palaces. (1996) A&E. TV documentary. Narrated by Fritz Weaver.
- ↑ United Kingdom Gross Domestic Product deflator figures follow the Measuring Worth "consistent series" supplied in Thomas, Ryland; Williamson, Samuel H. (2018). "What Was the U.K. GDP Then?". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ 2 February 2020.
- ↑ 6.0 6.1 Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
- ↑ Vale, Vivian, The American Peril: Challenge to Britain on the North Atlantic, 1901–04, pp. 143–183.
- ↑ "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-24. สืบค้นเมื่อ 2023-07-24.
- ↑ Piouffre 2009, p. 52 .
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 25.
- ↑ "RMS Mauretania Construction". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ Layton 2007, p. 44.
- ↑ Williams, Trevor. (1982) A short history of twentieth-century technology. Oxford University Press, p. 174.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 15.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, pp. 38–39.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 "RMS Mauretania Fitting Out". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-23. สืบค้นเมื่อ 25 November 2008.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 31.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 33–36.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 33.
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert.The Lost Ships of Robert Ballard, Thunder Bay Press: 2005; p. 46.
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; pp. 51–52.
- ↑ "British Wreck Commissioner's Inquiry, Day 19, Testimony of Edward Wilding, recalled (20227)". Titanic Inquiry Project.
- ↑ Layton 2010, p. 55.
- ↑ Hackett & Bedford 1996, p. 171.
- ↑ Simpson 1972, p. 159.
- ↑ Anonymous, The Federal Reporter, Volume 174, St. Paul, Minnesota: West Publishing Company, 1910, pp. 166–175.
- ↑ Department of Commerce and Labor Bureau of Navigation Fortieth Annual List of Merchant Vessels of the United States for the Year Ending June 30, 1908, Washington, D.C.: Government Printing Office, 1908, p. 383.
- ↑ Layton 2007, p. 120.
- ↑ "TIP – Titanic Related Ships – Mauretania – Cunard Line".
- ↑ [1][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ Tansley, Janet (13 January 2016). "Nostalgia: Cunard's super ship RMS Mauretania".
- ↑ Layton 2007, pp. 170–171.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 "RMS Mauretania War Service". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ "Luxury liner played vital war role". BBC News. 13 November 2014.
- ↑ Ocean liners of the past: the Cunard express liners Lusitania and Mauretania. Published by Patrick Stephens, 1970 (p. 207).
- ↑ 36.0 36.1 36.2 "RMS Mauretania Final (Service)". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ 37.0 37.1 37.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 342–345.
- ↑ "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-06. สืบค้นเมื่อ 2023-12-16.
- ↑ 39.0 39.1 Maxtone-Graham 1972, p. 255.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 340.
- ↑ "Website Update | Nova Scotia Archives". novascotia.ca. 20 April 2020.
- ↑ "Swedish steamer abandoned". The Times. No. 45675. London. 20 November 1930. col E, p. 16.
- ↑ "Rescued Swedish crew". The Times. No. 45676. London. 21 November 1930. col F, p. 13.
- ↑ "Welcome to North Atlantic Run". www.northatlanticrun.com.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ "Why we are known as "The Friendliest Port" – The Ambler". 11 December 2012.
- ↑ Longo, Eric K. (8 July 2010). "Mauretania 75th Anniversary". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ Adams, R. B. [1986] Red Funnel and Before. Kingfisher Publications.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ "Mauretania back on the market – News – Bristol 24/7". 10 November 2016.
- ↑ Graham, Hugh (30 April 2017). "Step aboard Dorset's most unusual holiday home". The Sunday Times (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
- ↑ "Padiham – St John the Baptist". Catholic Trust for England and Wales and English Heritage. 2011. สืบค้นเมื่อ 19 August 2019.
- ↑ Longo, Eric K. "The Mauretania Pilaster". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ "Ship model, RMS Mauretania". National Museum of American History (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
- ↑ Paul Moloney, "Toronto's Lusitania model bound for Halifax", Toronto Star, 30 January 2010.
- ↑ "The Mauretania model on board QE2" The QE2 Story[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ "Ship models – magnificent Mauretania". 28 May 2015.
- ↑ Hugill, Stan in Spin, The Folksong Magazine, Volume 1, # 9, 1962.
- ↑ Maiden Voyage by Roger Harvey, New Generation (2017), ISBN 978-1-78719-357-4
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-roman" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-roman"/>
ที่สอดคล้องกัน