อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย

เรือเดินสมุทรของอังกฤษ (ค.ศ. 1914–1950)

อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย (อังกฤษ: RMS Aquitania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษของสายการเดินเรือคูนาร์ด ให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 ถึง 1950 ออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยบริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมพานี เมืองไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1913[5] ออกเดินทางครั้งแรกในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 จากลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อาควิเทเนียเป็นเรือลำที่สามในโครงการเรือเดินสมุทรเร็วขนาดใหญ่สามลำของคูนาร์ดไลน์ซึ่งนำโดยอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) และอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (RMS Mauretania) อาควิเทเนียเป็นเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟเรือลำสุดท้ายที่ปลดระวาง

อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย ในการเดินทางครั้งแรกที่นิวยอร์กฮาร์เบอร์ วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1914
ประวัติ
สหราชอาณาจักร
ชื่ออาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย (RMS Aquitania)
ตั้งชื่อตามกัลลิอาอากวีตานิอา[3]
เจ้าของ
ผู้ให้บริการคูนาร์ดไลน์
ท่าเรือจดทะเบียนสหราชอาณาจักร ลิเวอร์พูล, สหราชอาณาจักร
เส้นทางเดินเรือ
  • เซาแทมป์ตัน–นิวยอร์ก (1914) (1920–1939) (1945–1948) (1945–1950)
  • เซาแทมป์ตัน–แฮลิแฟกซ์ (1948–1950)
Ordered8 ธันวาคม 1910[1]
อู่เรือจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี, ไคลด์แบงก์, สกอตแลนด์[1]
Yard number409[2]
ปล่อยเรือธันวาคม 1910
Christened21 เมษายน 1913 โดยเคาน์เตสแห่งเดอร์บี
สร้างเสร็จ1914
ส่งมอบเสร็จ24 พฤษภาคม 1914
Maiden voyage30 พฤษภาคม 1914[1]
บริการ1914–1950
หยุดให้บริการ1950
รหัสระบุ
  • หมายเลข IMO: 1135583
  • หมายประจำเรือ: 135583
ความเป็นไปปลดระวางในปี 1949 และแยกชิ้นส่วนในปี 1950[1]
ลักษณะเฉพาะ
ประเภท: เรือเดินสมุทร
ขนาด (ตัน): 45,647 ตันกรอส[4]
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 49,430 ตัน
ความยาว: 901 ฟุต (274.6 เมตร)[4]
ความกว้าง: 97 ฟุต (29.6 เมตร)[4]
ความสูง:
  • 164 ฟุต (50 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ
  • 94 ฟุต (28.6 เมตร) จากกระดูกงูถึงดาดฟ้าเรือบด
กินน้ำลึก: 36 ฟุต (11 เมตร)[1]
ดาดฟ้า: 10 ชั้น
ระบบพลังงาน: กังหันไอน้ำ Parsons ขับใบจักรโดยตรง กำลัง 59,000 แรงม้า (44,000 กิโลวัตต์) [4]
ระบบขับเคลื่อน: 4 × ใบจักร[4]
ความเร็ว:
  • ปกติ: 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง)
  • สูงสุด: 25 นอต (45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง)[4]
ความจุ:
  • 1914: 3,230 คน แบ่งเป็น[1]
  • ชั้นหนึ่ง 618 คน
  • ชั้นสอง 614 คน
  • ชั้นสาม 2,004 คน
  • 1926: 2,200 คน แบ่งเป็น [1]
  • ชั้นหนึ่ง 610 คน
  • ชั้นสอง 950 คน
  • ชั้นสาม 640 คน
  • ลูกเรือ: 972 คน[1]

    ไม่นานหลังจากอาควิเทเนียเริ่มให้บริการ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้ปะทุขึ้น ในช่วงเวลานี้เรือถูกดัดแปลงเป็นเรือลาดตระเวนเสริม ก่อนจะถูกใช้เป็นเรือขนส่งทหารและเรือพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการทัพกัลลิโพลี และกลับมาให้บริการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้งในปี ค.ศ. 1920 ร่วมกับอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย และอาร์เอ็มเอส เบเรนแกเรีย (RMS Berengaria) ในช่วงเวลานี้เรือได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือที่สวยงามที่สุดลำหนึ่ง โดยผู้โดยสารมักเรียกเรือด้วยชื่อเล่นว่า "เรือที่สวยงาม" (The Ship Beautiful)[4] แม้จะมีการควบรวมกิจการระหว่างคูนาร์ดไลน์กับไวต์สตาร์ไลน์ในปี 1934 แต่อาควิเทเนียก็ยังคงให้บริการต่อไป เดิมทีบริษัทวางแผนจะปลดประจำการและแทนที่ด้วยเรืออาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (RMS Queen Elizabeth) ในปี 1940

    ทว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น จึงทำให้เรือลำนี้ยังคงต้องให้บริการต่อไปอีกสิบปี ในช่วงสงครามจนถึงปี ค.ศ. 1947 เรือได้ทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำทหารชาวแคนาดาที่ประจำการอยู่ในยุโรปกลับบ้าน และถูกใช้ในการขนส่งผู้อพยพไปยังแคนาดาหลังสงคราม จนกระทั่งคณะกรรมการการค้าตัดสินว่าเรือไม่เหมาะสมสำหรับการบริการเชิงพาณิชย์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้อาควิเทเนียจึงถูกปลดประจำการในปี ค.ศ. 1949 และถูกขายในปีถัดมา

    หลังทำหน้าที่เป็นเรือโดยสารนาน 36 ปี อาควิเทเนียปิดฉากอาชีพด้วยการเป็นเรือที่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดของคูนาร์ดไลน์ ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่ถึง 6 ปีก่อนที่จะถูกทำลายโดยเรืออาร์เอ็มเอส ไซเทีย (RMS Scythia) ที่มีอายุการใช้งาน 37 ปี ในปี ค.ศ. 2004 สถิติการให้บริการของอาควิเทเนียตกไปเป็นอันดับ 3 เมื่อเรืออาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ 2 กลายเป็นเรือที่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดของคูนาร์ดไลน์

    ทั้งนี้ผู้โดยสารมักเรียกอาควิเทเนียด้วยชื่อเล่นว่า "เรือที่สวยงาม" เนื่องจากการตกแต่งภายในอันสวยงาม และ "เรือเก่าแก่ของคูนาร์ด" (Cunard's Old Reliable) เนื่องจากบทบาทในช่วงสงคราม

    ภูมิหลัง

    แก้
     
    อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก และไททานิก คู่แข่งสำคัญของอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย

    ต้นกำเนิดของอาร์เอ็มเอส อาควิเทเนียมีที่มาจากการแข่งขันกันระหว่างสองบริษัทเดินเรือชั้นนำของอังกฤษ นั่นคือไวต์สตาร์ไลน์กับคูนาร์ดไลน์ เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิกลำใหม่ของไวต์สตาร์ล้วนมีขนาดใหญ่กว่าเรือรุ่นล่าสุดของคูนาร์ดอย่างลูซิเทเนียและมอริเทเนียประมาณ 15,000 ตันกรอส ถึงแม้เรือแฝดของคูนาร์ดจะมีความเร็วมากกว่าเรือของไวต์สตาร์อย่างเห็นได้ชัด แต่เรือของไวต์สตาร์กลับถูกมองว่าหรูหรากว่า เพื่อรักษาบริการเรือด่วนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกรายสัปดาห์ คูนาร์ดจึงจำเป็นต้องมีเรืออีกลำ บริษัทจึงตัดสินใจสร้างเรือเลียนแบบเรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ แม้จะแลกกับความเร็ว แต่เรือลำใหม่ของคูนาร์ดจะมีขนาดใหญ่และหรูหรากว่า[4][6][7]

    แผนการสร้างเรือลำใหม่นี้เริ่มขึ้นในปี 1910 วิศวกรได้ร่างแบบเบื้องต้นหลายแบบเพื่อกำหนดแนวทางหลักของเรือ โดยตั้งเป้าหมายความเร็วเฉลี่ยไว้ที่ 24 นอต ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน บริษัทได้ยื่นข้อเสนอการสร้างไปยังอู่ต่อเรือหลายแห่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกจอห์นบราวน์แอนด์คอมพานี (John Brown & Company) ซึ่งเคยสร้างลูซิเทเนียมาก่อน คูนาร์ดตั้งชื่อเรือลำใหม่นี้ว่า "อาควิเทเนีย" เพื่อให้มีความต่อเนื่องกับชื่อของเรือแฝดลำก่อนหน้า โดยทั้งสามลำมีชื่อตามชื่อมณฑลของจักรวรรดิโรมันโบราณได้แก่ ลูซีตานิอา (Lusitania), เมารีตานิอา (Mauretania) และกัลลิอาอากวีตานิอา (Gallia Aquitania)[8]

    การออกแบบ การสร้าง และการเปิดตัว

    แก้
     
    อาควิเทเนียระหว่างการสร้างในปี 1913

    อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนียได้รับการออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) นาวาสถาปนิกของคูนาร์ดไลน์[4] เรือลำนี้เป็นเรือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากไม่มีเรือแฝดที่มีขนาดหรือการตกแต่งภายในที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต่างกับลูซิเทเนียกับมอริเทเนีย หรือโอลิมปิกกับไททานิก เพสเกตต์ได้วาดแผนให้เรือลำนี้มีขนาดใหญ่และกว้างกว่าลูซิเทเนียและมอริเทเนีย (ยาวกว่าประมาณ 40 เมตร (130 ฟุต)) แม้จะมีปล่องไฟขนาดใหญ่ 4 ปล่อง แลดูคล้ายกับเรือแฝดความเร็วสูงชื่อดัง แต่เพสเกตต์ยังออกแบบโครงสร้างส่วนบนของเรือ (superstructure) ให้มีลักษณะ "โปร่งโล่งด้วยกระจก" ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรือลำเล็กกว่าอย่างอาร์เอ็มเอส คาร์เมเนีย (RMS Carmania) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานการออกแบบของเขาเอง จุดเด่นอีกอย่างที่ดัดแปลงมาจากเรือคาร์เมเนียคือ การเพิ่มช่องระบายอากาศทรงสูง 2 ตัวที่หัวเรือ แม้ว่าจะมีขนาดภายนอกที่ใหญ่กว่าเรือโอลิมปิก แต่ระวางขับน้ำและระวางบรรทุกกลับมีขนาดน้อยกว่า[9] ปลายปี 1910 ขณะวางกระดูกงูของอาควิเทเนีย เพสเกตต์ได้เดินทางไปกับเรือโอลิมปิกในปี 1911 เพื่อสัมผัสความประสบการณ์บนเรือที่มีขนาดเกือบ 50,000 ตัน รวมทั้งศึกษาและเก็บข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับเรือลำใหม่ของบริษัท[9]

    อาควิเทเนียถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือของบริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี (John Brown & Company) ในเมืองไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สร้างเรือส่วนใหญ่ของคูนาร์ด[5] กระดูกงูถูกวางบนพื้นที่เดียวกันกับที่เคยใช้สร้างเรือลูซิเทเนีย และต่อมาได้ถูกใช้สร้างเรือควีนแมรี ควีนเอลิซาเบธ และควีนเอลิซาเบธ 2 อีกด้วย[10] ในวันพิธีปล่อยเรือ ตัวเรืออาควิเทเนียถูกทาด้วยสีเทาอ่อนเพื่อใช้ในการถ่ายภาพเช่นเดียวกับเรือมอริเทเนีย ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในสมัยนั้นสำหรับเรือลำแรกในชั้นใหม่ เพราะสีนี้จะทำให้เส้นสายของเรือมีความชัดเจนยิ่งขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ หลังพิธีปล่อยตัวเรือก็ถูกทาสีดำอีกครั้งขณะอยู่ในอู่แห้ง[11]

     
    อาควิเทเนียก่อนปล่อยลงน้ำไม่นาน

    หลังจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปาง อาควิเทเนียกลายเป็นหนึ่งในเรือรุ่นใหม่ลำแรก ๆ ที่มีเรือชูชีพเพียงพอสำหรับผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด[4] เรือชูชีพ 80 ลำรวมถึงเรือยนต์ 2 ลำที่ติดตั้งอุปกรณ์วิทยุไร้สายมาร์โคนีถูกบรรจุไว้ในทั้งรอกแบบคอหงส์ (swan-neck) และแบบเวลิน (Welin) ที่ทันสมัยกว่า[12] นอกจากนี้ยังมีการสร้างท้องเรือสองชั้นและห้องกั้นน้ำที่ออกแบบมาเพื่อให้เรือยังคงลอยน้ำได้แม้จะมีน้ำท่วมห้องถึงห้าห้อง[13] ตามข้อกำหนดกระทรวงทหารเรืออังกฤษ อาควิเทเนียได้รับการออกแบบมาให้สามารถแปลงเป็นเรือพาณิชย์ลาดตระเวนติดอาวุธได้ และตัวเรือยังได้รับการเสริมความแข็งแรงเพื่อติดตั้งปืนสำหรับใช้งานในบทบาทดังกล่าว เรือลำนี้มีระวางขับน้ำประมาณ 49,430 ตัน แบ่งเป็นตัวเรือ 29,150 ตัน เครื่องจักร 9,000 ตัน และถ่านหิน 6,000 ตัน[14]

    อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนียถูกปล่อยลงน้ำในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1913 หลังได้รับการทำพิธีโดยอลิซ สแตนลีย์ เคาน์เตสแห่งดาร์บี จากนั้นจึงมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า ตกแต่งภายใน และปรับแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ภายในระยะเวลา 13 เดือน โดยการติดตั้งทั้งหมดนี้ได้รับการควบคุมดูแลโดยอาร์เทอร์ โจเซฟ เดวิส (Arthur Joseph Davis) และชาลส์ มิวส์ (Charles Mewès)[9] วันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 เรือได้รับการทดสอบเดินทะเลและสามารถทำความเร็วได้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1 นอต ต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม เรือเดินทางมาถึงแม่น้ำเมอร์ซีย์และพักอยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลา 15 วันเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่และตกแต่งขั้นสุดท้ายก่อนออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์[15]

    ลักษณะเฉพาะของเรือ

    แก้
     
    ภาพวาดทางเทคนิคฝั่งกราบขวาของอาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย

    อาควิเทเนียเป็นเรือลำแรกของคูนาร์ดไลน์ที่มีความยาวเกิน 900 ฟุต (270 เมตร)[9] และมีความแตกต่างจากเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟบางลำเช่น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์ อาควิเทเนียไม่มีปล่องไฟปลอม แต่ละปล่องถูกใช้งานเพื่อระบายควันจากหม้อไอน้ำของเรือ[16][17]

    ไอน้ำถูกผลิตโดยหม้อไอน้ำสกอตช์แบบสองด้าน (double-ended Scotch boilers) จำนวน 21 ตัว แต่ละตัวมีเตาเผา 8 เตา ยาว 22 ฟุต (6.7 เมตร) และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 ฟุต 8 นิ้ว (5.4 เมตร) โดยถูกจัดเรียงไว้ในห้องหม้อไอน้ำ 4 ห้อง[18] แต่ละห้องมีเครื่องไล่เถ้า 7 ตัวซึ่งมีกำลังสูบประมาณ 4,500 ตันต่อชั่วโมง และสามารถใช้เป็นเครื่องดูดน้ำท้องเรือฉุกเฉินได้อีกด้วย[18]

    ไอน้ำไปขับเคลื่อนกังหันไอน้ำพาร์ซันส์ในห้องเครื่อง 3 ห้องในระบบขยายแรงดันสามช่วง (triple expansion system) สำหรับ 4 เพลาใบจักร[18] ห้องเครื่องยนต์กราบซ้ายติดตั้งกังหันแรงดันสูงเดินหน้า (หนัก 240 ตัน ยาว 40 ฟุต 2 นิ้ว (12.2 เมตร) ขยายแรงดันสี่ช่วง) และกังหันถอยหลัง (หนัก 120 ตัน ยาว 22 ฟุต 11 นิ้ว (7.0 เมตร)) สำหรับเพลาใบจักรซ้าย ห้องเครื่องยนต์กลางติดตั้งกังหันแรงดันต่ำสองตัวที่สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ในตัวเดียวกัน (ยาว 54 ฟุต 3 นิ้ว (16.5 เมตร) ขยายแรงดันเก้าช่วงในกังหันเดินหน้า และสี่ช่วงในกังหันถอยหลัง) สำหรับเพลาใบจักรกลางสองเพลา และห้องเครื่องยนต์กราบขวาติดตั้งกังหันแรงดันปานกลางเดินหน้า (ยาว 41 ฟุต 6.5 นิ้ว (12.7 เมตร)) และกังหันแรงดันสูงถอยหลัง (เหมือนกับกังหันแรงดันสูงกราบซ้าย) สำหรับเพลาใบจักรขวา[18][19]

    ห้องไฟฟ้าตั้งอยู่บนดาดฟ้า G ใต้ระดับน้ำ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของบริติชเวสติงเฮาส์ขนาด 400 กิโลวัตต์ 4 เครื่อง ผลิตไฟกระแสตรง 225 โวลต์พร้อมระบบไฟฟ้าฉุกเฉินจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลขนาด 30 กิโลวัตต์บนดาดฟ้าเดินเล่น[20] จ่ายไฟให้กับหลอดไฟประมาณ 10,000 ดวงและมอเตอร์ไฟฟ้าประมาณ 180 ตัว[20] อาควิเทเนียมีหวีดไอน้ำทำจากทองเหลืองติดตั้งอยู่ที่ปล่องไฟที่ 1 และ 2

    สัดส่วนเรือ

    แก้
    • ความยาว: 274.6 เมตร (901 ฟุต)
    • ความกว้าง: 29.6 เมตร (97 ฟุต)
    • ความสูง:
      • 50 เมตร (164 ฟุต) วัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ
      • 28.6 เมตร (94 ฟุต) วัดจากกระดูกงูถึงดาดฟ้าชั้นเรือบด
    • กินน้ำลึก: 11 เมตร (36 ฟุต)
    • ขนาด: 45,647 ตันกรอส, ระวางขับน้ำ 49,430 ตัน

    ความเร็ว

    แก้
    • ความเร็วบริการ: 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง)
    • ความเร็วสูงสุด: 25 นอต (45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง)

    ลักษณะทั่วไป

    แก้
    • ปล่องไฟ: 4 ตัว สูงตัวละ 70 ฟุต (21 เมตร) ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 10 คู่ รวมทั้งหมด 20 เส้น ติดหวูดไอน้ำบนปล่องที่ 1 และ 2
    • การทาสี: ปลายปล่องไฟทาสีดำ ตัวปล่องทาสีแดง (สีแดงคูนาร์ด) โดยมีแถบสีดำ 3 แถบรอบปล่อง, โครงสร้างส่วนบนทาสีขาวงาช้าง, ตัวเรือทำสีดำ, ท้องเรือใต้แนวน้ำทาสีแดง มีแถบสีขาวคั่นระหว่างตัวเรือกับท้องเรือ, ใบจักรสีทองบรอนซ์
    • หัวเรือ: เสากระโดงเรือ 1 ต้น, สมอเรือ 2 ตัวที่หัวเรือ, ปั้นจั่น 7 ตัว สำหรับสมอเรือ 1 ตัว, ช่องสินค้า 2 ช่อง
    • ท้ายเรือ: เสากระโดงเรือ 1 ต้น, สะพานเดินเรือ, หางเสือ 1 ตัว, สมอเรือ 2 ตัว, ปั้นจั่น 3 ตัว, ช่องสินค้า 1 ช่อง
    • โกดังสินค้า: 10 แห่ง (ห้องมาตรฐาน 5 ห้อง, ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง, ห้องเก็บสัมภาระ 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ 1 ห้อง)
    • ใบจักร: 4 เพลา เพลาละ 4 พวง
    • ดาดฟ้า: 10 ชั้น; ชั้นเรือบด, ชั้น A–H และชั้นห้องเครื่อง
    • เรือบด: 80 ลำ, มีเครื่องยนต์ 2 ลำ พร้อมอุปกรณ์ไร้สาย
    • ความจุผู้โดยสาร:
      • ค.ศ. 1914: 3,230 คน แบ่งเป็นชั้นหนึ่ง 618 คน, ชั้นสอง 614 คน และชั้นสาม 2,004 คน
      • ค.ศ. 1926: 2,200 คนแบ่งเป็น ชั้นหนึ่ง 610 คน, ชั้นสอง 950 คน และชั้นสาม 640 คน
    • ลูกเรือ: 972 คน

    เสบียง

    แก้

    เสบียงสำหรับการเดินทางในหนึ่งเที่ยว ได้แก่:

    เนย 12,561 ปอนด์, ส้ม 625 กล่อง, แอปเปิ้ล 520 กล่อง, น้ำตาล 29,768 ปอนด์, ไข่ 239,584 ฟอง, เนื้อ 80 ตัน, ไก่ 19,112 ตัว, แฮมและเบคอน 15 ตัน, ปลาสด 30 ตัน, หอยกาบ 16,000 qts., หอยนางรม 1.221 qts, นม 1,440 แกลลอน, มันฝรั่ง 4,807 ปอนด์, ชีส 5,139 ปอนด์, ไอศกรีม 9,450 qts., ห่าน 125 ตัว, ไก่งวง 250 ตัว, เป็ด 500 ตัว, ไก่ 3,000 ตัว, หัววัวและลูกวัว 75 ตัว, แกะและลูกแกะ 250 ตัว, สุกร 150 ตัว

    ภายใน

    แก้
     
    ห้องรับประทานอาหารผู้โดยสารชั้นหนึ่ง

    ในปี ค.ศ. 1914 อาควิเทเนียสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 3,220 คน (ชั้นหนึ่ง 618 คน ชั้นสอง 614 คน และชั้นสาม 2,004 คน) หลังจากการปรับปรุงในปี 1926 ตัวเลขก็ลดลงเหลือ 610 ในชั้นหนึ่ง 950 ในชั้นสอง และ 640 ในชั้นนักท่องเที่ยว แม้ว่าข้อมูลเดิมจะกล่าวถึงความจุของลูกเรือ 972 คน แต่บางครั้งเรือก็สามารถบรรทุกลูกเรือได้ประมาณ 1,100 คน [8]

    แม้ว่าอาควิเทเนียจะขาดรูปลักษณ์ที่เพรียวบางเหมือนเรือเพื่อนร่วมวิ่ง ลูซิทาเนีย และ มอริทาเนีย แต่ความยาวที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้นทำให้ห้องสาธารณะดูโอ่อ่าและกว้างขวางมากขึ้น พื้นที่สาธารณะของเรือได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ อาเธอร์ โจเซฟ เดวิส (Arthur Joseph Davis) จากบริษัทตกแต่งภายใน มิวแยสแอนด์เดวิส (Mewès and Davis) บริษัทนี้ดูแลการก่อสร้างและตกแต่งโรงแรม Ritz ในลอนดอน และเดวิสเองก็เคยออกแบบธนาคารหลายแห่งในเมืองนั้น ชาลส์ มิวแยส (Charles Mewès) หุ้นส่วนของเขาได้ออกแบบการตกแต่งภายในของโรงแรม Paris Ritz และได้รับมอบหมายจาก อัลเบิร์ต บอลลิน (Albert Ballin) จากสายกานเดินเรือฮัมบูร์ก อเมริกา ไลน์ (Hamburg America Line; HAPAG) ของเยอรมนีให้ตกแต่งภายในของเรือ เอสเอส อเมริกา (SS Amerika) ลำใหม่ของบริษัทในปี 1905 [9]

     
    บันไดแกรนด์ของอาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย

    ในช่วงหลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มิวแยสได้รับมอบหมายให้ตกแต่งเรือลำใหม่ขนาดยักษ์ทั้งสามลำของสายการเดินเรือ HAPAG ได้แก่เรือเอสเอส อิมเพอเรเตอร์, เวเตอร์แลนด์ และบิสมาร์ค ในขณะที่เดวิสได้รับมอบหมายให้ตกแต่งเรืออาควิเทเนีย[9] ในข้อตกลงที่น่าสงสัยระหว่างคิวนาร์ดคู่แข่งกับฮัมบูร์ก-อเมริกา ไลน์ มิวแยสและเดวิสได้แยกกันทำงาน ในเยอรมนีและอังกฤษตามลำดับ โดยที่ทั้งคู่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดงานของเขาให้อีกฝ่ายทราบได้ แต่การตกแต่งภายในชั้นหนึ่งของอาควิเทเนียส่วนใหญ่เป็นผลงานของเดวิส ห้องนั่งเล่นสำหรับรับประทานอาหารสไตล์หลุยส์ที่ 16 เป็นผลงานของมิวแยส เป็นไปได้ว่าการทำงานร่วมกันเป็นเวลาหลายปีทำให้งานของนักออกแบบทั้งสองแทบจะใช้แทนกันได้[21]

    ชั้นสองมีห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่นหลายห้อง ห้องสูบบุหรี่ คาเฟ่ และโรงยิม; หลายอย่างเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เหมือนใครสำหรับชั้นนี้บนเรือเดินสมุทรของอังกฤษ ส่วนชั้นที่สามมีพื้นที่ส่วนกลางหลายแห่ง ทางเดิน และห้องน้ำแบบรวมสามห้อง[21] ห้องพักให้ความสะดวกสบายอย่างมาก ชั้นแรกประกอบด้วยห้องสวีทหรูหรา 8 ห้อง ซึ่งตั้งชื่อตามจิตรกรชื่อดัง ห้องพักชั้นหนึ่งจำนวนมากมีห้องน้ำ แม้ว่าจะไม่ได้มีทั้งหมดก็ตาม ห้องโดยสารชั้นสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ส่วนใหญ่สามารถรองรับคนได้ 3 คน เมื่อเทียบกับห้องมาตรฐานสี่ห้อง ส่วนที่พักชั้นสามมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมวิ่งของเธอ ในขณะที่เรือเดินสมุทรของคิวนาร์ดส่วนใหญ่มีพื้นที่ชั้นสามที่จำกัดไว้ที่บริเวณส่วนหน้าของเรือ แต่บนเรืออาควิเทเนียพื้นที่ดังกล่าวจะมีความยาวตลอดความยาวของเรือ รวมถึงพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่หลายห้อง ห้องอาหารขนาดใหญ่ 3 ห้อง และทางเดินทั้งแบบเปิดและปิด[22]

    กว่า 35 ปีในอาชีพการงาน สิ่งอำนวยความสะดวกของเรือได้เปลี่ยนไป ตัวอย่างของสิ่งนี้คือการเพิ่มโรงภาพยนตร์ระหว่างการปรับปรุงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 ถึง 1933[23]

    ช่วงแรกและสงครามโลกครั้งที่ 1

    แก้
     
    เอชเอ็มเอชเอส อาควิเทเนีย (HMHS Aquitania) ในฐานะเรือพยาบาล ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
     
    เอชเอ็มที อาควิเทเนีย (HMT Aquitania) ในฐานะเรือลำเลียงพล ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

    วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนียได้ออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ ภายใต้คำสั่งของกัปตันวิลเลียม ทอมัส เทอร์เนอร์ (William Thomas Turner) และถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 5 มิถุนายน [1][14] การมาถึงนิวยอร์กทำให้เรือลำนี้ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมาก[24] ในการเดินทางครั้งนี้ เรือได้บรรทุกผู้โดยสารประมาณ 1,055 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของความจุทั้งหมด นี่เป็นเพราะความเชื่อโชคลางทำให้บางคนไม่กล้าเดินทางไปกับเรือ[ต้องการอ้างอิง] ความเร็วเฉลี่ยสำหรับการเดินทางระยะทาง 3,181 ไมล์ทะเล (5,891 กม.; 3,661 ไมล์) ซึ่งวัดจากลิเวอร์พูลไปจนถึงเรือทอดสมอที่ช่องแคบแอมโบรส อยู่ที่ 23.1 นอต (42.8 กม./ชม.; 26.6 ไมล์/ชม.) โดยมีการหยุดเรือ 5 ชั่วโมงเนื่องจากมีหมอกและภูเขาน้ำแข็งอยู่ใกล้ ๆ[25] และเรือยังสามารถวิ่งได้เกิน 25 นอตในช่วงสั้น ๆ นอกจากนี้ ปริมาณการใช้ถ่านหินของเรือยังต่ำกว่าเรือลูซิทาเนีย และมอริทาเนีย อย่างมาก ผู้โดยสารหลายคนรู้สึกสนุกกับการเดินทาง ในการเดินทางกลับ เรือได้บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 2,649 คน ซึ่งเป็นสถิติสำหรับเรือเดินสมุทรของอังกฤษที่ออกจากนิวยอร์ก[26]

    เมื่อมาถึงท่าเรือหลักของเธอ เธอได้รับการแก้ไขเล็กน้อย ซึ่งคำนึงถึงการสังเกตที่เกิดขึ้นระหว่างการข้ามมหาสมุทรสองครั้งแรก (เป็นเรื่องปกติสำหรับเรือเดินสมุทรหลังจากการเดินทางรอบแรก) [26] มีการเดินทางอีก 2 รอบในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนและตลอดเดือนกรกฎาคมของปีนั้น สถาปนิกของเรือ ลีโอนาร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) ได้อยู่บนเรือระหว่างการเดินทางเพื่อสังเกตข้อบกพร่องและสิ่งที่ควรปรับปรุง โดยรวมแล้วมีผู้โดยสารทั้งหมด 11,208 คนเดินทางบนเรือระหว่างการข้ามมหาสมุทร 6 ครั้งแรกของเธอ อาชีพของเธอถูกขัดจังหวะกะทันหันจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้เธอต้องออกจากการบริการผู้โดยสารเป็นเวลา 6 ปี[27]

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ แห่งออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ และในไม่ช้าโลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 เรืออาควิเทเนียถูกดัดแปลงให้เป็นเรือพาณิชย์ลาดตระเวนติดอาวุธในวันที่ 5 สิงหาคม 1914 ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการออกแบบ และได้เริ่มถูกส่งไปลาดตระเวนในวันที่ 8 สิงหาคม

    ในวันที่ 22 สิงหาคม เธอได้ชนกับเรือที่ชื่อ แคนาเดียน หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพเรือก็ตระหนักว่าเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่มีราคาที่สูงเกินไปที่จะใช้งานเป็นเรือลาดตระเวน ในวันที่ 30 กันยายน เธอได้รับซ่อมแซม ปลดอาวุธ และกลับไปประจำการกับคิวนาร์ด ไลน์ดังเดิม[28][4]

    หลังจากไม่ได้ใช้งานมาระยะหนึ่ง ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1915 เธอถูกเรียกตัวโดยกองทัพเรือและดัดแปลงเป็นเรือลำเลียงพล และออกเดินทางไปยังดาร์ดะแนลส์ บางครั้งก็วิ่งคู่กับเรือ บริแทนนิก หรือ มอริทาเนีย ทหารประมาณ 30,000 คนถูกส่งขึ้นเรือไปยังสนามรบระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมของปีนั้น[28] ต่อมาอาควิเทเนียถูกดัดแปลงเป็นเรือพยาบาลในระหว่างการทัพดาร์ดะแนลส์ [1][29] ในปี 1916 ซึ่งเป็นปีที่เรือธงของไวต์สตาร์ และหนึ่งในคู่แข่งหลักของอาควิเทเนีย คือ บริแทนนิก ได้อับปางลง อาควิเทเนียถูกส่งกลับไปยังแนวรบ และในปี 1917 ก็ถูกนำไปจอดที่โซเลนท์ [1][30]

    ในปี 1918 ภายใต้การคำสั่งของกัปตันเรือคนใหม่ เจมส์ ชาร์ลส์ (James Charles) เรือลำนี้ได้กลับมาขนส่งทหาร โดยลำเลียงกองทหารอเมริกาเหนือไปยังอังกฤษ และยังมีการทาสีลายพรางให้กับเรือ หรือลายพรางแบบ Dazzle

    ในระหว่างการเดินทาง 9 ครั้ง เรือได้ขนส่งทหารไปทั้งหมดประมาณ 60,000 คน ในช่วงเวลานี้ อาควิเทเนียได้ชนกับเรือยูเอสเอส ชอว์ (USS Shaw) ทำให้หัวเรือขาดออกจากกัน อุบัติเหตุดังกล่าวคร่าชีวิตลูกเรือชาวอเมริกันไปหลายสิบคน [31]

    หลังสิ้นสุดสงคราม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 อาควิเทเนียถูกปลดประจำการจากราชการทหาร เธอชนกับเรือบรรทุกสินค้า ลอร์ดดัฟเฟริน (Lord Dufferin) ของอังกฤษ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 ทำให้เรือลอร์ดดัฟเฟรินอับปาง และอาควิเทเนียก็ได้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือที่อับปาง[32]

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

    แก้

    ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1919 อาควิเทเนียได้เทียบท่าที่อู่เรืออาร์มสตรอง วิทเวิร์ธ (Armstrong Whitworth yards) ในนิวคาสเซิล เพื่อเตรียมเข้าประจำการหลังสงคราม เรือถูกเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงจากการใช้ถ่านหินมาเป็นการใช้น้ำมัน ซึ่งช่วยลดจำนวนลูกเรือในห้องเครื่องลงได้มาก[1][33] อุปกรณ์ส่วนควบและชิ้นงานศิลปะดั้งเดิมที่ถูกถอดออกเพื่อใช้ในกองทัพ ถูกนำออกจากที่เก็บและติดตั้งใหม่ ในช่วงเวลานี้ ห้องควบคุมเรือแห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นเหนือของเดิม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้บ่นเกี่ยวกับทัศนวิสัยเหนือหัวเรือ ห้องควบคุมเรือหลังที่สองสามารถเห็นได้ในภาพต่อๆ มาของยุคนั้น และหน้าต่างของห้องควบคุมเดิมด้านล่างถูกปิดไว้ [34]

    ทศวรรษที่ 1920

    แก้
     
    อาควิเทเนียหลังจากการปรับปรุงในปี 1920

    อาควิเทเนียกลับมาให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้งในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1920 โดยออกเดินทางจากลิเวอร์พูลพร้อมผู้โดยสาร 2,433 คน การข้ามมหาสมุทรประสบความสำเร็จ เรือรักษาความเร็วได้ดี และแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้นถูกกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินมาก[35] การมาถึงท่าเรือนิวยอร์กของเรือถูกถ่ายทำโดยเป็นส่วนหนึ่งของสารคดีเรื่องแมนฮัตต้า (Manhatta) ในปี 1921 ซึ่งเห็นตอนที่เรือถูกลากไปยังท่าเรือด้วยเรือลากจูง[36] ในช่วงต้นทศวรรษ อาควิเทเนียเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เพียงลำเดียวที่ให้บริการของคิวนาร์ด ไลน์ เนื่องจากเรือมอริทาเนีย อยู่ระหว่างการซ่อมแซมหลังจากเกิดไฟไหม้ ปี ค.ศ. 1922 จึงเป็นปีพิเศษสำหรับเธอ และได้ทำลายสถิติด้วยการขนส่งผู้โดยสารประมาณ 60,000 คนในปีนั้น[37] ในปีต่อมา มอริทาเนีย กลับมาวิ่งร่วมกับเธออีกครั้ง

    อาควิเทเนียวิ่งให้บริการร่วมกับ มอริทาเนีย และ เบเรนกาเรีย (เดิมคือเรือเอสเอส อิมเพอเรเตอร์ ของเยอรมัน) เป็นที่รู้จักกันในนาม "เดอะบิ๊กทรี" ("The Big Three")[4][38]

    ในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองในสหรัฐอเมริกา ทำให้จำนวนผู้โดยสารชั้นสามลดลงอย่างมาก จากประมาณ 26,000 คนที่ถูกขนส่งโดยอาควิเทเนียในปี 1921 ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือประมาณ 8,200 คน ในปี 1925 จำนวนลูกเรือจึงลดลงเหลือประมาณ 850 คนจากเดิม 1,200 คน[38] ชั้นสามไม่ได้เป็นกุญแจสำคัญในการทำกำไรของบริษัทอีกต่อไป ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับจากชั้นสามให้กลายเป็นชั้นท่องเที่ยวซึ่งให้บริการที่ดีในราคาต่ำ ในปีค.ศ. 1926 เรือได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่ ซึ่งลดความจุผู้โดยสารจากประมาณ 3,300 คนเป็นประมาณ 2,200 คน[39]

    ถึงกระนั้น คิวนาร์ด ไลน์ ก็ได้รับประโยชน์จากข้อห้ามในสหรัฐอเมริกาซึ่งเริ่มต้นในปี 1919 คือเรือเดินสมุทรที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนเรือได้ ดังนั้นผู้โดยสารที่ต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรของอังกฤษเพื่อทำเช่นนั้น[40]

    อาควิเทเนียประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้สร้างผลกำไรให้กับคิวนาร์ดมหาศาล ในปี ค.ศ. 1929 เรือก็ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ มีการเพิ่มห้องน้ำในห้องพักชั้นหนึ่งหลายห้อง และชั้นนักท่องเที่ยวได้รับการปรับปรุงใหม่[41]

    วิกฤตการณ์ปี 1929 และผลที่ตามมา

    แก้

    หลังจากสภาวะตลาดหุ้นล้มในปี 1929 เรือหลายลำได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถจ่ายค่าเดินทางแพงๆ ได้ ดังนั้นคิวนาร์ดจึงส่งอาควิเทเนียไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อให้บริการล่องเรือราคาถูก สิ่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวอเมริกันที่ไป "ล่องเรือดื่มเหล้า" ซึ่งเบื่อหน่ายกับข้อห้ามของประเทศตน [42] ปัญหาอีกอย่างก็เกิดขึ้นคือ เรือเดินสมุทร เอสเอส เบรเมน (SS Bremen) และ เอสเอส ยูโรป้า (SS Europa) ของสายการเดินเรือนอร์ทดอยท์เชอร์ล็อยท์ ได้แย่งรางวัลบลูริบบันด์และลูกค้าจำนวนมากได้สำเร็จ[43] ในปี 1934 จำนวนผู้โดยสารของอาควิเทเนียลดลงเหลือประมาณ 13,000 คน จาก 30,000 คนในปี 1929 [44] อย่างไรก็ตาม เรือลำนี้ยังคงได้รับความนิยม และยังเป็นเรือที่มีผู้โดยสารมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 รองจากเรือเดินสมุทรของเยอรมันสองลำนี้[42]

    เพื่อให้เรือทันสมัย จึงได้ทำการเพิ่มโรงภาพยนตร์เข้าไประหว่างปี 1932 และ 1933 ในขณะเดียวกัน เพื่อปรับปรุงกองเรือให้ทันสมัย ​​คิวนาร์ดได้สั่งต่อเรือควีนแมรี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทไม่สามารถจัดหาเงินทุนในการก่อสร้างได้อย่างเต็มที่ และบริษัทได้ควบรวมกิจการกับบริษัทคู่แข่งอย่างไวต์สตาร์ไลน์ ในปี 1934 เพื่อดำเนินการดังกล่าว [45] หลังจากการควบรวมกิจการ ส่งผลให้มีเรือส่วนเกินจำนวนมากที่เป็นเจ้าของโดยบริษัทเดียวมาก่อน ดังนั้นเรือที่มีอายุมาก เช่น มอริทาเนีย และ โอลิมปิก ได้ถูกปลดระวางทันทีและถูกส่งไปขายเพื่อแยกชิ้นส่วน อย่างไรก็ตามอาควิเทเนียไม่ได้ถูกปลดระวางแม้ว่าจะเรือจะมีอายุมากก็ตาม [46] ต่อมาเมื่อเรือเดินสมุทรลำใหม่ อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (RMS Queen Elizabeth) มีกำหนดเข้าประจำการในปี 1940 หนังสือพิมพ์คาดการณ์ว่าอาควิเทเนียจะถูกปลดระวางในปีนั้น อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้น การให้บริการของเธอยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับบริษัท และในปี ค.ศ. 1935 มีจำนวนผู้โดยสารที่ร่ำรวยเพิ่มขึ้นบนเรือ ในขณะที่เรือลำนี้มีอายุ 26 ปีแล้ว[47]

    สงครามโลกครั้งที่สอง

    แก้

    หลังสงครามและการปลดระวาง

    แก้

    อ้างอิง

    แก้
    1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 Pocock, Michael. "MaritimeQuest – Aquitania (1914) Builder's Data". www.maritimequest.com. สืบค้นเมื่อ 6 April 2018.
    2. "HMS Aquitania". Scottish Built Ships: the history of shipbuilding in Scotland. Caledonian Maritime Research Trust. สืบค้นเมื่อ 27 July 2017.
    3. Chirnside 2008, p. 8.
    4. 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 "TGOL – Aquitania". thegreatoceanliners.com. สืบค้นเมื่อ 12 June 2021.
    5. 5.0 5.1 "'Aquitania (1914 – 1950 ; 45,674 tons ; Served in two World Wars)". chriscunard.com. 2009. สืบค้นเมื่อ 11 January 2009.
    6. Le Goff 1998, p. 37
    7. Le Goff 1998, p. 33
    8. 8.0 8.1 Chirnside 2008, p. 8
    9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Chirnside 2008, p. 13
    10. "About QE2". สืบค้นเมื่อ 2009-05-02. Queen Elizabeth 2 : About QE2 : General Information. Retrieved 2 May 2009
    11. Piouffre 2009, p. 52.
    12. International Marine Engineering & (July 1914), pp. 281–282.
    13. Chirnside 2008, p. 14
    14. 14.0 14.1 International Marine Engineering & (July 1914), p. 277.
    15. Chirnside 2008, p. 19
    16. Chirnside 2008, pp. 58–59
    17. Chirnside 2008, p. 40
    18. 18.0 18.1 18.2 18.3 International Marine Engineering & (July 1914), p. 282.
    19. Chirnside 2008, pp. 14–15
    20. 20.0 20.1 International Marine Engineering & (July 1914), p. 283.
    21. 21.0 21.1 Chirnside 2008, p. 10
    22. Chirnside 2008, p. 88
    23. Aquitania, Down the Years, Mark Chirnside's Reception Room. Accesses 24 February 2013
    24. Newspaper articles heralding the new ship on her maiden trip to New York
    25. THE DETROIT TIMES 'Aquitania' Sets New Record For Ocean Passage' June 5 1914
    26. 26.0 26.1 Chirnside 2008, p. 23
    27. THE PINE BLUFF DAILY GRAPHIC; "Government Assumes Control of Aquitania For Transport Purposes" July 31, 1914
    28. 28.0 28.1 Chirnside 2008, p. 27
    29. Le Goff 1998, p. 55
    30. Chirnside 2008, p. 33
    31. Chirnside 2008, p. 34
    32. "Lord Reading's ship in collision". The Times. No. 42038. London. 3 March 1919. col E, p. 10.
    33. Le Goff 1998, p. 54
    34. Chirnside 2008, p. 35
    35. Chirnside 2008, p. 36
    36. Chirnside 2008, p. 42
    37. Chirnside 2008, p. 44
    38. 38.0 38.1 Chirnside 2008, p. 43
    39. Chirnside 2008, p. 49
    40. Chirnside 2008, p. 51
    41. Chirnside 2008, p. 52
    42. 42.0 42.1 Chirnside 2008, p. 62
    43. Le Goff 1998, p. 73
    44. Chirnside 2008, p. 91
    45. Chirnside 2008, p. 64
    46. Chirnside 2008, p. 66
    47. Chirnside 2008, p. 67