อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ
อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (อังกฤษ: RMS Queen Elizabeth) เป็นเรือเดินสมุทรของสายการเดินเรือคูนาร์ดไลน์ ร่วมกับอาร์เอ็มเอส ควีนแมรี ทั้งสองลำให้บริการเดินเรือรายสัปดาห์ระหว่างเซาแทมป์ตัน ในสหราชอาณาจักร แชร์บูร์ ในฝรั่งเศส และนครนิวยอร์ก ในสหรัฐอเมริกา
อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ ในแชร์บูร์ ฝรั่งเศส เมื่อปี 1966
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ชื่อ |
|
ตั้งชื่อตาม | สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี |
เจ้าของ |
|
ท่าเรือจดทะเบียน |
|
เส้นทางเดินเรือ | ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก |
Ordered | 6 ตุลาคม 1936 |
อู่เรือ |
|
Yard number | 552 |
Way number | 4 |
ปล่อยเรือ | 4 ธันวาคม 1936[1] |
เดินเรือแรก | 27 กันยายน 1938 |
Christened | 27 กันยายน 1938 |
สร้างเสร็จ | 2 มีนาคม 1940 |
Maiden voyage | 16 ตุลาคม 1946[2][3] |
บริการ | 1946–1972 |
หยุดให้บริการ | 9 มกราคม 1972 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | เพลิงไหม้และพลิกคว่ำ ซากเรือถูกรื้อออกบางส่วนระหว่างปี 1974–75 ส่วนที่เหลือถูกฝังอยู่ใต้ดินจากการถมทะเล |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ตัน): | 83,673 ตันกรอส |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 83,000+ ลองตัน (84331+ เมตริกตัน) |
ความยาว: | 1,031 ฟุต (314.2 เมตร) |
ความกว้าง: | 118 ฟุต (36.0 เมตร) |
ความสูง: | 233 ฟุต (71.0 เมตร) |
กินน้ำลึก: | 38 ฟุต 9 นิ้ว (11.8 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 13 |
ระบบพลังงาน: | 12 × หม้อไอน้ำ Yarrow |
ระบบขับเคลื่อน: |
|
ความเร็ว: |
|
ความจุ: | 2,283 |
ลูกเรือ: | 1,000+ |
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1930 ขณะที่บริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี (John Brown and Company) กำลังต่อเรือลำนี้ที่ไคลด์แบงก์ สกอตแลนด์ ตัวโครงเรือยังไม่มีชื่อ แต่ใช้รหัสภายในว่า Hull 552[5] Hull 552 ถูกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1938 และได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 โดยเรือควีนเอลิซาเบธมีการออกแบบที่ปรับปรุงจากเรือควีนแมรี มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยมีความยาวเพิ่มขึ้น 12 ฟุต ซึ่งถือเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในเวลานั้น และยังคงครองสถิตินานถึง 56 ปี เรือเริ่มต้นทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่เดือนมีนาคม 1940 และกลับมาทำการเดินเรือเชิงพาณิชย์ในฐานะเรือเดินสมุทรตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1946
ต่อมา ด้วยความนิยมในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเรือลดลง ทั้งเรือควีนเอลิซาเบธและควีนแมรีจึงถูกแทนที่ด้วยเรือควีนเอลิซาเบธ 2 ลำใหม่ที่มีขนาดเล็กและประหยัดกว่า โดยเรือควีนเอลิซาเบธ 2 ทำการเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ในปี 1969 เรือควีนแมรีหยุดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ธันวาคม 1967 และถูกขายให้กับเมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนเรือควีนเอลิซาเบธได้ปลดประจำการหลังจากเดินทางข้ามมหาสมุทรครั้งสุดท้ายไปยังนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1968[6]
เรือควีนเอลิซาเบธถูกย้ายไปยังท่าเรือเอเวอร์เกลดส์ รัฐฟลอริดา และดัดแปลงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเปิดให้เข้าชมในเดือนกุมภาพันธ์ 1969 แต่กิจการไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องปิดตัวลงในเดือนสิงหาคม 1970 สุดท้าย เรือควีนเอลิซาเบธถูกขายให้กับ ต่ง เจ้าหรง นักธุรกิจชาวฮ่องกง ผู้มีแผนจะดัดแปลงเป็นเรือสำราญมหาวิทยาลัยลอยน้ำ ชื่อว่า "ซีไวส์ยูนิเวอร์ซิตี" (Seawise University) แต่ในปี 1972 ขณะที่เรือเข้ารับการปรับปรุงในท่าเรือฮ่องกง ก็ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นบนเรืออย่างไม่ทราบสาเหตุ และตัวเรือก็เอียงไปด้านข้างเนื่องจากน้ำที่ใช้ดับเพลิง ต่อมาในปี 1973 ซากเรือถูกมองว่าเป็นสิ่งกีดขวางการเดินเรือในบริเวณนั้น จึงมีการรื้อถอนซากเรือบางส่วนในปี 1974–1975[7]
การออกแบบและการสร้าง
แก้ในวันที่เรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี ออกเดินทางในเที่ยวปฐมฤกษ์ เซอร์เพอร์ซี เบตส์ ประธานบริษัทคูนาร์ดไลน์ ได้แจ้งให้ทีมผู้ออกแบบเรือซึ่งนำโดย จอร์จ พาเทอร์สัน เริ่มวางแผนออกแบบเรือลำที่สองตามที่วางแผนไว้[8] ต่อมาในวันที่ 6 ตุลาคม 1936 ได้มีการลงนามสัญญาระหว่างคูนาร์ดไลน์กับผู้สนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ[9]
เรือลำใหม่มีการปรับปรุงการออกแบบจากเรือควีนแมรีหลายอย่าง[10] เช่น ลดจำนวนหม้อไอน้ำลงเหลือ 12 ตัว จากเดิมที่มี 24 ตัวบนควีนแมรี การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สามารถลดจำนวนปล่องไฟลง 1 ปล่อง เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับดาดฟ้าบรรทุกสินค้าและผู้โดยสาร ปล่องไฟทั้งสองได้รับการออกแบบให้ยึดตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้สายยึดด้านนอก และมีการตรึงภายในเพื่อให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ ยังมีการยกเลิกการใช้เวลล์เด็ก (well deck - ช่องว่างที่ต่ำกว่าระดับดาดฟ้าหลัก มักใช้สำหรับขนถ่ายสินค้าที่หัวเรือ) ทำให้ได้รูปทรงของตัวเรือที่เพรียวลมยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการออกแบบหัวเรือให้แหลมและเฉียงขึ้น เพื่อเพิ่มจุดยึดสมออีก 1 จุด [10] เรือลำใหม่นี้มีความยาวกว่าเรือควีนแมรี 12 ฟุต และมีระวางขับน้ำมากกว่า 4,000 ตัน[11][9]
อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ สร้างโดยบริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมพานี ในไคลด์แบงก์ สกอตแลนด์ บริเตนใหญ่ ระหว่างการสร้าง ตัวเรือมักถูกเรียกด้วยหมายเลขประจำอู่ว่า Hull 552[12] การออกแบบภายในเป็นผลงานของทีมศิลปินที่นำโดยสถาปนิก จอร์จ เกรย์ วอร์นัม[13] บันได โถง และทางเข้า สร้างขึ้นโดย บริษัท เอช.เอช. มาร์ติน แอนด์ โค (H.H. Martyn & Co.)[14] คูนาร์ดไลน์วางแผนให้ปล่อยเรือลงน้ำในเดือนกันยายน 1938 และการตกแต่งภายในจะแล้วเสร็จเพื่อให้เรือเริ่มให้บริการในฤดูใบไม้ผลิปี 1940[9] สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธทรงเป็นผู้ประกอบพิธีลงน้ำเรือด้วยพระองค์เองเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1938[10] เล่ากันว่า ตัวเรือเริ่มเคลื่อนลงน้ำก่อนที่พระราชินีจะทรงทำพิธีอย่างเป็นทางการ และด้วยความว่องไว พระราชินีทรงสามารถทุบขวดไวน์แดงออสเตรเลียลงที่หัวเรือได้ทันก่อนที่มันจะไหลพ้นระยะ[15] จากนั้นตัวเรือได้ถูกนำไปเทียบท่าเพื่อทำการตกแต่งภายใน[9][10] มีการประกาศว่า ในวันที่ 23 สิงหาคม 1939 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธจะทรงเสด็จมาเยี่ยมชมเรือและห้องเครื่อง โดยกำหนดวันเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ไว้เบื้องต้นคือวันที่ 24 เมษายน 1940 แต่เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ทั้งสองเหตุการณ์นี้ถูกเลื่อนออกไป และแผนการของคูนาร์ดไลน์ก็ถูกยกเลิก[9]
เรือควีนเอลิซาเบธจอดเทียบท่าเพื่อทำการตกแต่งภายในจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 1939 เมื่อกระทรวงการเดินเรือออกใบอนุญาตพิเศษเพื่อรับรองว่าเรือพร้อมใช้งาน วันที่ 29 ธันวาคม เครื่องยนต์ของเรือได้รับการทดสอบเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เวลา 09:00–16:00 น. โดยปลดใบจักรออกเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ แรงดันน้ำมันและไอน้ำ สองเดือนต่อมา คูนาร์ดไลน์ได้รับจดหมายจากวินสตัน เชอร์ชิล[16] ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งลอร์ดเอกแห่งกระทรวงทหารเรือ สั่งให้เรือออกจากไคลด์แบงก์โดยเร็วที่สุดและ "อยู่ให้ห่างจากเกาะอังกฤษตราบที่คำสั่งยังคงมีผล"[ต้องการอ้างอิง]
สงครามโลกครั้งที่สอง
แก้ในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง มีการตัดสินใจอย่างรอบคอบว่า เรือควีนเอลิซาเบธมีความสำคัญอย่างมากต่อความพยายามในการทำสงคราม ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของเรือจึงต้องถูกปกปิดมิให้สายลับเยอรมันที่ปฏิบัติการในบริเวณไคลด์แบงก์สามารถติดตามได้ แผนอำพรางเรือจึงถูกริเริ่มขึ้น โดยการสื่อสารข้อมูลเท็จว่าเรือจะเดินทางไปเซาแทมป์ตันเพื่อเสร็จสิ้นการตกแต่งภายใน[16] อีกปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้เรือออกจากไคลด์แบงก์คือ ต้องเคลียร์พื้นที่ท่าเทียบเรือสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสุดท้ายของเรือหลวงดยุกออฟยอร์ก (HMS Duke of York)[16] สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสุดท้าย เฉพาะท่าเทียบเรือของจอห์นบราวน์เท่านั้นที่มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับเรือประจัญบานชั้นคิงจอร์จที่ 5 ได้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จำกัดวันออกเดินทางของเรือคือ ระดับน้ำในแม่น้ำไคลด์ ในปีนั้นมีน้ำขึ้นสูงเพียงสองครั้งเท่านั้น ที่ระดับน้ำจะสูงพอให้เรือขนาดใหญ่เช่นควีนเอลิซาเบธออกจากอู่ต่อเรือไคลด์แบงก์ได้[16] แย่ไปกว่านั้น ฝ่ายข่าวกรองเยอรมันก็ทราบข้อเท็จจริงนี้อยู่ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ มีการจัดสรรพกำลังพลเพียง 400 นายเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ถูกย้ายมาจากเรืออาร์เอ็มเอส แอควิเทเนีย (RMS Aquitania) โดยได้รับคำสั่งปลอมว่าเป็นเพียงการเดินทางชายฝั่งระยะสั้นไปยังเซาแทมป์ตัน[16] มีการส่งชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปยังเซาแทมป์ตันล่วงหน้า และเตรียมความพร้อมสำหรับการนำเรือควีนเอลิซาเบธ เข้าสู่อู่แห้งคิงจอร์จที่ 5 เพื่อตกแต่งภายในขั้นสุดท้าย[16] เพื่อสร้างหลักฐานปลอม ชื่อของพนักงานอู่ต่อเรือของจอห์นบราวน์จึงถูกจองไว้ที่โรงแรมต่าง ๆ ในเซาแทมป์ตัน นอกจากนี้ กัปตันจอห์น ทาวน์ลีย์ (John Townley) ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันคนแรกของเรือควีนเอลิซาเบธ ทาวน์ลีย์เคยมีประสบการณ์เป็นกัปตันเรือแอควิเทเนียมาแล้วหนึ่งเที่ยว และเคยเป็นกัปตันเรือขนาดเล็กหลายลำของคูนาร์ดมาก่อน ทั้งทาวน์ลีย์และลูกเรือ 400 คนได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทก่อนออกเดินทาง ให้เตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางไกล โดยแจ้งว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้กลับบ้านนานถึง 6 เดือน[17]
เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นเดือนมีนาคม 1940 เรือควีนเอลิซาเบธ ก็พร้อมสำหรับการเดินทางลับ สีประจำบริษัทคูนาร์ดเดิมถูกทาทับด้วยสีเทาเข้มแบบเรือรบ และในเช้าวันที่ 3 มีนาคม เรือได้ออกจากท่าจอดเรือในแม่น้ำไคลด์อย่างเงียบเชียบ แล่นออกจากแม่น้ำเพื่อแล่นต่อไปตามชายฝั่ง ระหว่างทางได้พบกับทูตของกษัตริย์[16] ซึ่งนำเอาคำสั่งปิดผนึกมามอบให้กับกัปตันโดยตรง ขณะรอคอยทูตของกษัตริย์ เรือควีนเอลิซาเบธได้ทำการเติมเชื้อเพลิง ปรับเข็มทิศ และทดสอบอุปกรณ์บางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางอันเป็นความลับ
กัปตันทาวน์ลีย์เพิ่งทราบภายหลังว่า เขาต้องนำเรือมุ่งตรงไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นยังเป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลาง โดยไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดแวะพักหรือแม้แต่ชะลอความเร็วเพื่อส่งพนักงานนำร่องท่าเรือเซาแทมป์ตันที่ขึ้นมาประจำเรือตั้งแต่ไคลด์แบงก์ลงจากเรือ และต้องรักษาความเงียบทางวิทยุอย่างเคร่งครัด ในวันนั้นเอง ช่วงเวลาที่เรือควีนเอลิซาเบธควรจะเดินทางถึงเซาแทมป์ตัน กลับกลายเป็นว่าเมืองดังกล่าวถูกกองทัพอากาศเยอรมันทิ้งระเบิดอย่างหนัก[16] เรือควีนเอลิซาเบธแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นรูปซิกแซก เพื่อหลบหนีเรือดำเยอรมัน (U-boat) ใช้เวลาเดินทาง 6 วัน ด้วยความเร็วเฉลี่ย 26 นอต เมื่อมาถึงนครนิวยอร์ก เรือได้เทียบท่าข้างเรือควีนแมรี และเรือนอร์มังดีของฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 3 ลำมาจอดเทียบท่าข้างกัน[16] เมื่อเดินทางถึงนครนิวยอร์กแล้ว กัปตันทาวน์ลีย์ได้รับโทรเลขสองฉบับ ฉบับแรกจากภรรยาแสดงความยินดีกับภารกิจสำเร็จ อีกฉบับจากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ ทรงขอบคุณสำหรับการนำเรือมาส่งอย่างปลอดภัย หลังจากนั้นเรือควีนเอลิซาเบธก็ถูกจัดการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ผู้ใดขึ้นเรือโดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า แม้แต่เจ้าหน้าที่ท่าเรือเองก็ตาม[16]
เรือควีนเอลิซาเบธออกเดินทางจากท่าเรือนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1940 มุ่งหน้าสู่สิงคโปร์ เพื่อเข้ารับการปรับเปลี่ยนเป็นเรือขนส่งทหาร[9] ระหว่างทางได้แวะพักเติมเชื้อเพลิงและเสบียงที่ตรินิแดดและเคปทาวน์ สุดท้ายก็เดินทางถึงอู่ทหารเรือที่สิงคโปร์ ที่นี่เรือได้รับการติดตั้งปืนกลต่อสู้อากาศยาน และตัวเรือก็ถูกทาสีเทาใหม่[ต้องการอ้างอิง]
เรือควีนเอลิซาเบธเดินทางออกจากสิงคโปร์ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1942 และเดินทางมาถึงเอสกิมัลต์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา อย่างลับ ๆ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1942 ระหว่างนั้น เรือได้เข้ารับการปรับปรุงภายในอู่แห้ง เพื่อเพิ่มห้องพักและติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ และเหล่าช่างเรือกว่า 300 คนก็รีบเร่งทาสีตัวเรือใหม่[18] ในช่วงกลางเดือนมีนาคม เรือควีนเอลิซาเบธได้บรรทุกทหารอเมริกัน 8,000 นาย ออกเดินทางไกล 7,700 ไมล์ จากซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ไปยังซิดนีย์ ออสเตรเลีย[19] ก่อนหน้านั้น เรือเคยทำหน้าที่ขนส่งทหารออสเตรเลียไปยังสมรภูมิต่าง ๆ ในเอเชียและแอฟริกา[20] ต่อมาหลังปี 1942 เรือควีนเอลิซาเบธพร้อมด้วยเรือควีนแมรี ก็ถูกย้ายไปประจำการที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงทหารอเมริกันไปยังยุโรป[20]
เรือควีนเอลิซาเบธและควีนแมรี ต่างทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหารตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[21] ความเร็วสูงของเรือทั้งสองลำช่วยให้พวกมันหลบหนีอันตราย โดยเฉพาะเรือดำน้ำเยอรมัน ทำให้เรือทั้งสองลำมักจะได้รับอนุญาตให้แล่นนอกกองเรือเสมอ[17] อย่างไรก็ตาม เรือควีนเอลิซาเบธก็เคยเกือบถูกโจมตีโดยเรือดำน้ำ U-704 ซึ่งยิงตอร์ปิโดใส่ 4 ลูกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1942[22] ผู้บังคับการเรือดำน้ำ นายพลเรือ ฮอสท์ วิลเฮล์ม เคสส์เลอร์ (Horst Wilhelm Kessler) รายงานว่าได้ยินเสียงระเบิด[22] และทางฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมันก็ประกาศข่าวปลอมว่าเรือควีนเอลิซาเบธถูกจมลง[23] แต่ความจริงแล้ว ตอร์ปิโดลูกหนึ่งเกิดระเบิดก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เรือควีนเอลิซาเบธไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ[24]
ในฐานะเรือขนส่งทหารตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรือควีนเอลิซาเบธ บรรทุกทหารไปแล้วมากกว่า 750,000 นาย และแล่นไปไกลกว่า 800,000 กิโลเมตร (500,000 ไมล์)[9]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ปีสุดท้าย
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในนิยาย
แก้ในปี พ.ศ. 2502 เรือควีนอลิซาเบธได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ตลกเสียดสีของอังกฤษเรื่อง The Mouse That Roared นำแสดงโดย ปีเตอร์ เซลเลอร์ส และ ฌอง ซีเบิร์ก ขณะที่คณะผู้รุกรานจาก "แกรนด์ เฟนวิค" ซึ่งเป็นชาติย่อยของยุโรปในจินตนาการ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อทำสงครามกับสหรัฐฯ พวกเขาพบและได้ผ่านเรือควีนเอลิซาเบธที่ใหญ่กว่ามาก และได้รู้ว่าท่าเรือนิวยอร์กถูกปิดเนื่องจากการฝึกซ้อมการโจมตีทางอากาศ[25]
ซากเรือควีนอลิซาเบธปรากฏในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง 007 เพชฌฆาตปืนทอง ในปี พ.ศ. 2517 โดยเป็นสำนักงานใหญ่ลับของ MI6[26][27]
ซากเรือนี้ยังปรากฏในฉากย้อนอดีตในตอนของ มังกรอเมริกัน: เจค ลอง
อ้างอิง
แก้- ↑ Pride of the North Atlantic, A Maritime Trilogy, David F. Hutchings. Waterfront 2003
- ↑ John Shephard, The Cunard – White Star liner Queen Elizabeth
- ↑ RMS Queen Elizabeth – Maiden Voyage after War – Cunard – Original footage, British Movietone News via youtube
- ↑ "RMS Queen Elizabeth". www.relevantsearchscotland.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2022. สืบค้นเมื่อ 21 September 2022.
- ↑ "Big Liners Steel Frame Work Rises as Workers Speed Up" Popular Mechanics, left-side pg 346. Hearst Magazines. September 1937.
- ↑ "RMS Quen Elizabeth - 1939".
- ↑ "Classic Liners and Cruise Ships – Queen Elizabeth". Cruiseserver.net. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
- ↑ RMS Queen Elizabeth from Victory to Valhalla. pp. 10
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 "Cunard Queen Elizabeth 1940 – 1972". Cunard.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 January 2010. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 Maxtone-Graham, John. The Only Way to Cross. New York: Collier Books, 1972, p. 355
- ↑ Pathé, British. "Sister Ship To The Queen Mary". www.britishpathe.com.
- ↑ RMS Queen Elizabeth, The Beautiful Lady. Janette McCutcheon, The History Press Ltd (8 November 2001)
- ↑ The Liverpool Post, 23 August 1937
- ↑ John Whitaker (1985). The Best. p. 238.
- ↑ Hutchings, David F. (2003) Pride of the North Atlantic. A Maritime Trilogy, Waterfront.
- ↑ 16.00 16.01 16.02 16.03 16.04 16.05 16.06 16.07 16.08 16.09 Maxtone-Graham 1972, p. 358–60
- ↑ 17.0 17.1 Floating Palaces. (1996) A&E. TV Documentary. Narrated by Fritz Weaver
- ↑ "Queen Elizabeth".
- ↑ The RMS Queen Elizabeth (1942) Zacha's Bay Window Gallery
- ↑ 20.0 20.1 "Rms. Queen Elizabeth". Ayrshire Scotland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2009. สืบค้นเมื่อ 17 May 2012.
- ↑ "Two Ships Helped End WWII". สืบค้นเมื่อ 16 Aug 2020.
- ↑ 22.0 22.1 Blair, Clay (2000). Hitler's U-Boat War: The Hunted, 1942–1945. New York: Modern Library. p. 107.
- ↑ "Image". rmhh.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2024-01-31.
- ↑ "HISTORY - The CUNARD - WHITE STAR Liner rms QUEEN ELIZABETH (1938-1972)". earlofcruise.blogspot.com. สืบค้นเมื่อ 2024-01-31.
- ↑ "The Mouse That Roared (1959) Trivia". IMDB. IMDB.com. สืบค้นเมื่อ 28 June 2019.
- ↑ "RMS Queen Elizabeth". สืบค้นเมื่อ 5 March 2015.
- ↑ Hann, Michael (3 October 2012). "My favourite Bond film: The Man with the Golden Gun". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 5 March 2015.
อ่านเพิ่มเติม
แก้- Butler, D.A. (2002). Warrior Queens: The Queen Mary and Queen Elizabeth in World War II (1st ed.). Mechanicsburg: Stackpole Books.
- Galbraith, R. (1988). Destiny's Daughter: The Tragedy of RMS Queen Elizabeth. Vermont: Trafalgar Square.
- Maddocks, Melvin (1978). The Great Liners. Alexandria, VA: Time-Life Books. ISBN 0809426641.
- Varisco, R. (2013). RMS Queen Elizabeth: Cunard's Big Beautiful Ship of Life. Gold Coast: Blurb Books.
- Harvey, Clive, 2008, R.M.S. Queen Elizabeth The Ultimate Ship, Carmania Press, London, ISBN 978-0-95436668-1