หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา

หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา (นามเดิม เจ้าศรี ณ น่าน, 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 - 25 กันยายน พ.ศ. 2521) เจ้าธิดาในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน กับหม่อมศรีคำ (ชาวเวียงจันทน์) เป็นหม่อมเอกในหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ /ผู้รู้ เสนอบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อม เจ้าศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮมและเบคอน เป็นต้น


ศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา

เกิดเจ้าศรี ณ น่าน
19 มีนาคม พ.ศ. 2431
นครน่าน
เสียชีวิต25 กันยายน พ.ศ. 2521 (90 ปี)
คู่สมรสหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
บุตรหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี ประดิษฐพงศ์
หม่อมราชวงศ์อนุพร กฤดากร
บิดามารดาพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
หม่อมศรีคำ ณ น่าน

ประวัติ แก้

เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2431 มีนามเดิมว่า เจ้าศรี เป็นพระธิดาคนเล็กในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน ที่เกิดกับหม่อมศรีคำ หญิงเชลยศึกชาวเวียงจันทน์[1] มีชื่อเล่นที่เจ้าพ่อตั้งให้ว่า จอด ส่วนคนใช้จะเรียกท่านว่า อีนายจอด[2] มีเจ้าพี่ร่วมมารดาเดียวกัน 5 องค์ เป็นชาย 3 องค์ (ถึงแก่กรรมหมด) ส่วนเจ้าพี่ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นหญิงชื่อเจ้าบัวแก้ว[1]

พระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรักษ์) และคุณหญิงอุ๊น ภริยา ได้ทูลขอเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน กับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นธิดาบุญธรรมเมื่ออายุได้ 3 ปีเศษ ตามบิดาและมารดาบุญธรรมไปกรุงเทพฯ เข้าศึกษาที่โรงเรียนสุนันทาลัย เป็นเวลา 5 เดือน และโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) 8 เดือน

ปี พ.ศ. 2442 พระยามหิบาลฯ และภริยา ต้องเดินทางไปรับราชการที่ประเทศรัสเซีย จึงต้องถวายตัวเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ไว้ในพระอุปการะสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าศรีจึงใช้ชีวิตและทรงเรียนหนังสืออยู่ในวังกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้นจึงตามพระยามหิบาลฯ และครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศรัสเซีย และประเทศอังกฤษ ตามลำดับ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ก็กลับเข้ารับราชการ ในพระราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่นางสนองพระโอษฐ์ ในบางครั้งยังทำหน้าที่เป็นล่ามติดต่อกับชาวต่างประเทศ

มีเรื่องเล่าว่า "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเจ้าศรีพรหมา ณ น่าน ทรงพึงพอพระราชหฤทัย ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ ตรัสขอเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง ให้รับราชการในตำแหน่งเจ้าจอม เจ้าศรีพรหมาได้กราบบังคมทูลพระกรุณาปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษว่า "I admire you and respect you, but I don't love you"[3] แปลว่า "ข้าพเจ้าเทิดทูนและเคารพพระองค์ แต่มิได้รักพระองค์ (ในเชิงชู้สาว)" ในกราบบังคมทูลปฏิเสธ โดยเลี่ยงไม่ใช้ภาษาไทย แต่กลับใช้ภาษาอังกฤษ เป็นการง่ายและไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามอัธยาศัย เรื่องความกล้าของเจ้าศรีพรหมาครั้งนี้ และพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมา มิทรงได้ถือโทษ ยังพระราชทานเมตตาต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอมาตราบจนเสด็จสวรรคต

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนามเจ้าศรี เป็น "เจ้าศรีพรหมา" ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้เสกสมรสกับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น “หม่อมศรีพรหมา” มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร และหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี หม่อมเจ้าสิทธิพร ซึ่งรับราชการในตำแหน่งอธิบดีกระทรวงเกษตร ถวายบังคมลาออกจากราชการซึ่งก็ถูกห้ามปรามอย่างมาก ทั้งสองพระองค์ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่บางเบิด (ปัจจุบันคือตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มทำการเกษตรบนที่ดินของหม่อมศรีพรหมาที่ได้รับเป็นมรดกจากท่านเจ้าคุณมหิบาลฯ โดยปลูกผักสวนครัว พืชไร่ เลี้ยงไก่ สุกรพันธุ์เนื้อ และโคนม และต่อมาขยายกิจการเป็นฟาร์ม มีผลผลิตประสบความสำเร็จครั้งแรกของไทย ฟาร์มนี้ยังเป็นสถานีทดลองทางการเกษตรที่มีผลต่อ กสิกรรมในวงกว้าง เป็นผลทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ของไทย

ทั้งสองท่านได้ออกหนังสือ “กสิกร” มีนักวิชาการ/ผู้รู้ เสนอบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เกี่ยวกับการทำอาหาร และการถนอมอาหาร โดยหม่อมศรีพรหมา เช่น การคั้นน้ำผลไม้ การหมักดอง การทำแฮมและเบคอน เป็นต้น ซึ่งหม่อมศรีพรหมานับเป็นคนไทยคนแรกที่ทำหมูแฮมและเบคอนได้ในประเทศไทยในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้หม่อมเจ้าสิทธิพรกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมตรวจกสิกรรม กระทรวงเกษตร หม่อมศรีพรหมาจึงต้องติดตามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งในวาระที่หม่อมเจ้าสิทธิพรดำรงตำแหน่งอยู่ กรมตรวจกสิกรรมสามารถส่งข้าวเข้าประกวดได้รางวัลชนะเลิศเป็นที่ 1 ของโลก

แต่ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องออกจากราชการ และเกิดกบฏบวรเดช ซึ่งพระเชษฐาคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงเป็นหัวหน้าในการก่อการแย่งชิงอำนาจกลับคืนจากคณะราษฎรผู้ปกครองแผ่นดิน ซึ่งเปลี่ยนระบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อการด้วย แต่การก่อการไม่สำเร็จ ทำให้หม่อมเจ้าสิทธิพรต้องโทษจำคุกตลอดพระชนม์ชีพที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า ภายหลังได้รับพระราชทานนิรโทษกรรม จึงจำคุกเพียง 11 ปี หม่อมศรีพรหมาต้องรับภาระหนักทั้งเลี้ยงดูโอรสธิดา ดูแลกิจการที่อำเภอบางเบิด และ ตามไปส่งอาหารและยาให้หม่อมเจ้าสิทธิพรตามสถานที่ต่างๆ ที่ถูกคุมขังไว้

ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ หลังจากหม่อมเจ้าสิทธิพรพ้นโทษแล้ว ก็ได้ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ถึง 2 สมัย หม่อมศรีพรหมาจึงได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรสิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514 หม่อมศรีพรหมาจึงได้ผลักดันให้เกิด “มูลนิธิสิทธิพร กฤดากร” เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของหม่อมเจ้าสิทธิพร และส่งเสริมการจัดตั้งโรงเรียนเพื่อประโยชน์ทางการเกษตร

หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2521 สิริอายุได้ 90 ปี อัฐิของท่านได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ ณ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ร่วมกับพระอัฐิของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร

หนังสืออัตชีวประวัติ แก้

ได้มีการพิมพ์หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยการจัดทำของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ แบ่งเป็นสี่ภาค คือ ประวัติ, ข้อเขียนของท่าน, บทสัมภาษณ์ และ จาก กสิกร และมีการตีพิมพ์ใหม่ในปี 2550 โดยคงโครงและเนื้อหาเดิมไว้เกือบทั้งหมด แต่ตั้งชื่อหมวดใหม่ คือ “ประวัติเจ้าศรีพรหมา เรียบเรียงโดย ส.ศิวรักษ์” “อัตชีวประวัติ” ” สัมภาษณ์หม่อมศรีพรหมา กฤษดากร” “การถนอมอาหาร จากหนังสือพิมพ์กสิกร” ตามลำดับ และเพิ่มภาคผนวก “เล่าเรื่องแม่” ของ ม.ร.ว. เพ็ญศรี กฤดากร เข้าไว้ด้วย[4] หนังสือ "อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร" ติดอยู่ใน รายชื่อหนังสือดี 100 เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน (พ.ศ. 2408-2519)[5]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

พงศาวลี แก้

อ้างอิง แก้

  1. 1.0 1.1 ศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา, หม่อม. อัตชีวประวัติหม่อมศรีพรหมา กฤดากร. นนทบุรี : สารคดี, 2562, หน้า 70
  2. ศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา, หม่อม. อัตชีวประวัติหม่อมศรีพรหมา กฤดากร. นนทบุรี : สารคดี, 2562, หน้า 71
  3. ส. ศิวรักษ์. รากงอกก่อนตาย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2555, หน้า 7
  4. "ในแผง-นอกแผง: อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 2008-02-10.
  5. หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน บทสรุปโครงการวิจัย
  6. ราชกิจานุเบกษา, รายพระนามและนามสมาชิกสมาชิกา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า พระราชทานในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๙ เก็บถาวร 2022-08-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๑๗๔, ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๕๙