สมเด็จพระราเมศวร
สมเด็จพระราเมศวร (พ.ศ. 1883 - พ.ศ. 1938) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
สมเด็จพระราเมศวร | |
---|---|
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ครั้งที่ 1) | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1913 (1 ปี) |
ราชาภิเษก | พ.ศ. 1913 |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 |
ถัดไป | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 |
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ครั้งที่ 2) | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1938 (7ปี) |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระเจ้าทองลัน |
ถัดไป | สมเด็จพระเจ้ารามราชา |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 1883 พระราเมศวร |
สวรรคต | พ.ศ. 1938 (56 พรรษา) |
พระราชบุตร | สมเด็จพระรามราชาธิราช |
ราชวงศ์ | อู่ทอง |
พระราชบิดา | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 |
พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพียง 1 ปีเท่านั้นก็สละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้เป็นพระมาตุลา และเสด็จขึ้นครองราชสมบัติอีกครั้งภายหลังการสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ที่ครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน[1]
แม้พระองค์จะทรงสำเร็จโทษพระเจ้าทองลันเพื่อชิงราชสมบัติ แต่ก็ทรงสร้างคุณูปการต่อกรุงศรีอยุธยาไว้หลายประการ ไม่ว่าจะด้านพระศาสนาหรือการสงคราม ซึ่งพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรยกย่องเชิดชูพระเกียรติที่ทรงปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขโดยที่ไม่มีเมืองต่าง ๆ มารุกราน พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงขยายอาณาเขตให้อาณาจักรอยุธยายิ่งใหญ่ พระองค์ยังทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาส่วนมากจะทำศึกสงคราม
พระราชประวัติ
สมเด็จพระราเมศวร เสด็จพระราชสมภพในปี พ.ศ. 1883[2] เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 กับพระมเหสีซึ่งเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือขุนหลวงพะงั่วจากรัฐสุพรรณภูมิ[3][4][5][6][7] เพราะใน พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุเรื่องราวว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีพระบรมราชโองการให้ขุนตำรวจไปเชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ช่วยสมเด็จพระราเมศวรไปรบกับกรุงกัมพูชาซึ่งในพงศาวดารใช้คำว่า "...ให้อัญเชิญท่านออกไปช่วยหลานท่าน..."[5][8] เพราะในขณะนั้นการเกี่ยวดองทางเครือญาติจากการอภิเษกสมรสระหว่างสองเมือง ถือเป็นที่นิยมของผู้นำรัฐ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เอง ก็อภิเษกสมรสกับพระมหาเทวี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของกษัตริย์สุโขทัยเช่นกัน[5] ส่วนประทีป ชุมพล ระบุว่า พระชนนีเป็นเจ้าหญิงจากเมืองละโว้[1] เดิมมีพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระราเมศวรไปครองราชสมบัติในเมืองลพบุรี[8] แต่จากความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ละโว้-อโยธยากับราชวงศ์สุพรรณภูมิซึ่งเกิดจากการอภิเษกสมรสนี้ เป็นจุดกำเนิดการชิงราชบัลลังก์กรุงอโยธยาระหว่างสองราชวงศ์[4]
หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1913 พระองค์จึงเสด็จฯ จากเมืองลพบุรีมาเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา[9] ขณะนั้นมีพระชนมพรรษาได้ 37 พรรษา แต่พระองค์ทรงครองราชสมบัติได้เพียงปีเดียว สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าก็ยกทัพจากเมืองสุพรรณบุรีเข้ามา พระองค์จึงออกไปรับเสด็จฯ เข้าพระนคร แล้วถวายราชสมบัติให้ครองกรุงศรีอยุธยาแทน[3] ส่วนพระองค์กลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม[10]
ภายหลังสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1931 สมเด็จพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาได้เพียง 7 วัน สมเด็จพระราเมศวรได้ยกพลจากเมืองลพบุรีมายึดกรุงศรีอยุธยา โปรดให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าทองลัน ณ วัดโคกพระยา[11] แล้วขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ 2 ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 49 พรรษา[2]
ในปี พ.ศ. 1938 เย็นวันหนึ่งสมเด็จพระราเมศวรเสด็จไปพระที่นั่งมังคลาภิเษก ระหว่างทางมีวิญญาณของท้าวมล มาปรากฏนั่งขวางทางเสด็จอยู่แล้วหายไป พระองค์ก็สวรรคต[12] สิริพระชนมพรรษา 56 พรรษา[13] ทรงครองราชสมบัติรวม 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยสมเด็จพระเจ้ารามราชา พระราชโอรสของพระองค์ได้สืบราชสมบัติ
พระราชกรณียกิจ
ราชการสงคราม
เมื่อปี พ.ศ. 1896 ขณะที่พระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อยู่นั้น สมเด็จพระราชบิดาโปรดให้เชิญพระองค์ลงมาจากเมืองลพบุรีและตรัสว่าขอมแปรพักตร์ต้องปราบปรามเสีย จึงโปรดให้พระองค์ยกพล 5,000 ไปยังกัมพูชาธิบดี พระยาอุปราชพระราชโอรสในพระบรมลำพงษ์ราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ได้เข้าโจมตีทัพหน้าของกรุงศรีอยุธยาจนแตกพ่าย แล้วจึงเข้าปะทะกับทัพหลวงต่อ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ขุนตำรวจออกไปเชิญสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าที่ประทับอยู่ ณ เมืองสุพรรณบุรี ขึ้นไปทำศึกช่วยพระราเมศวร การศึกดำเนินไปเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยประมาณ จึงสามารถเอาชนะกรุงกัมพูชาธิบดีได้สำเร็จและได้กวาดต้อนชาวกัมพูชาธิบดีเข้ามาอยู่ยังกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก[8]
หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในครั้งที่ 2 แล้วนั้น พระองค์ทรงทำสงครามแผ่ขยายราชอาณาเขตกรุงศรีอยุธยาออกไปยังหัวเมืองทางตอนเหนือและแถบเมืองกัมพูชา ดังนี้
สงครามกับเมืองเชียงใหม่
ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวว่า พ.ศ. 1927 พระองค์ทรงยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ ในชั้นแรกนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ได้ขอสงบศึก โดยขอเวลา 7 วันแล้วจะนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายเพื่อเจริญพระราชไมตรี ในการนี้มุขมนตรีนายทัพนายกองได้ปรึกษาหารือว่า อาจจะเป็นกลอุบายของพระเจ้าเชียงใหม่เพื่อจะได้เตรียมการรับมือกองทัพของกรุงศรีอยุธยา แต่พระองค์ตรัสว่าเมื่อเขาไม่รบแล้วเราจะรบนั้นดูมิบังควรและถึงแม้ว่าพระเจ้าเชียงใหม่จะไม่รักษาสัตย์ก็ใช่ว่าจะสามารถรอดพ้นจากทหารของกรุงศรีอยุธยาไปได้ เมื่อผ่านไป 7 วัน พระเจ้าเชียงใหม่ไม่ได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย พระองค์จึงยกกำลังเข้าตีเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่ต้านไม่ได้จึงหนีออกไป แต่สามารถจับนักสร้างพระโอรสพระเจ้าเชียงใหม่ได้ พระองค์ทรงพระกรุณาให้นักสร้างขึ้นครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่ และได้กวาดต้อนผู้คนลงมาทางใต้โดยให้ไปอยู่ที่เมืองจันทบูร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง และเมืองสงขลา[14]
อย่างไรก็ตาม ศึกครั้งนี้ไม่ปรากฏในหลักฐานฝ่ายล้านนา และในขณะนั้นกรุงศรีอยุธยายังไม่สามารถผนวกดินแดนสุโขทัยไว้ได้ การยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่จึงไม่น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ และชื่อนักสร้างที่พระราชพงศาวดารว่าเป็นโอรสพระเจ้าเชียงใหม่ก็ไม่พบในหลักฐานล้านนา สันนิษฐานว่า ผู้ชำระพระราชพงศาวดารน่าจะนำเรื่องราวของสมเด็จพระราเมศวร (ซึ่งเป็นพระนามก่อนขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเอกาทศรถ) ไปตีเชียงใหม่ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2143 มาลงไว้ โดยแก้ศักราชเป็นพ.ศ. 1927 เนื่องจากเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระราเมศวรที่กล่าวถึง คือ สมเด็จพระราเมศวร พระโอรสสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1[15]
สงครามกับเมืองกัมพูชาธิบดี
หลังจากที่เสด็จกลับจากการทำศึก ณ เมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้ทรงทำศึกกับเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง เนื่องจากพระยากัมพูชาได้ยกทัพมายังเมืองชลบุรีและกวาดต้อนผู้คนชาวเมืองจันทบุรีและเมืองชลบุรีไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีประมาณ 6,000 - 7,000 คน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงยกกองทัพไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง โดยโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาไชยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้า เมื่อตีเมืองพระนครได้แล้ว พระยากัมพูชาได้ลงเรือหลบหนีไป แต่สามารถจับพระยาอุปราชพระราชโอรสของพระยากัมพูชาได้[14] และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยณรงค์อยู่รั้งเมืองกัมพูชาธิบดีพร้อมกำลังพล 5,000 คน ต่อมาญวนยกกำลังมารบ พระองค์จึงให้พระยาไชยณรงค์กวาดต้อนผู้คนมายังกรุงศรีอยุธยา[12]
ด้านพระพุทธศาสนา
หลังจากศึก ณ เมืองเชียงใหม่เสร็จสิ้น พระองค์เสด็จยังเมืองพิษณุโลก ในการนี้พระองค์เสด็จนมัสการพระพุทธชินราชและเปลื้องเครื่องต้นทำสักการบูชาสมโภช 7 วัน แล้วจึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา สำหรับการพระพุทธศาสนาภายในกรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์โปรดให้สถาปนาพระมหาธาตุสูง 17 วา ยอดสูง 3 วา ณ บริเวณที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฎิหารย์ โดยพระราชทานชื่อว่าวัดพระมหาธาตุ[14] นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สถาปนาวัดภูเขาทองขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1930[12]
พงศาวลี
พงศาวลีของสมเด็จพระราเมศวร | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 การแย่งอำนาจกลุ่มสุพรรณบุรีกับกลุ่มลวะปุระในสมัยอยุธยาตอนต้น ผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2554
- ↑ 2.0 2.1 นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 53
- ↑ 3.0 3.1 นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 56
- ↑ 4.0 4.1 ณรงค์กรรณ รอดทรัพย์ และนิพัทธพงศ์ พุมมา (พฤษภาคม–สิงหาคม 2558). "พระมหาอุปราชกับปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ในราชสำนักสยาม". วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 9:2, หน้า 100
- ↑ 5.0 5.1 5.2 ฉันทัส เพียรธรรม (มกราคม–เมษายน 2560). การสังเคราะห์องค์ความรู้ประวัติศาสตร์รัฐสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม (PDF). วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา 11:1. p. 278-279.
- ↑ โรม บุนนาค. "ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะได้ครองอำนาจ! ๕ ยุวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ถูกผู้ใหญ่ฆ่าเรียบ!!". กรมศิลปากร. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ โรม บุนนาค (6 ตุลาคม 2564). "๕ ยุวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ถูกฆ่าไม่เหลือ! ๓ ยุวกษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นมหาราช ๒ พระองค์!!". ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 8.0 8.1 8.2 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 38
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 42
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 43
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 46
- ↑ 12.0 12.1 12.2 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 48
- ↑ นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 54
- ↑ 14.0 14.1 14.2 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า 47
- ↑ “ล้านนา” ใน “ทักษิณ”: ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ จารึก และวรรณกรรม
- บรรณานุกรม
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554. 264 หน้า. ISBN 978-616-7308-25-8
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9
ดูเพิ่ม
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราเมศวร | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (ก่อนสมัยที่ 1) สมเด็จพระเจ้าทองลัน (ก่อนสมัยที่ 2) |
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ราชวงศ์อู่ทอง) ((สมัยที่ 1) พ.ศ. 1912 - พ.ศ. 1913 (สมัยที่ 2) พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1938) |
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (หลังสมัยที่ 1) สมเด็จพระเจ้ารามราชา (หลังสมัยที่ 2) |