เกียวโต
นครเกียวโต (ญี่ปุ่น: 京都市; โรมาจิ: Kyōto-shi ออกเสียง: เคียวโตะ) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเกียวโต และเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดว่าเป็นศูนย์กลางของเกาะฮนชู นอกจากนี้ นครเกียวโตยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ กลุ่มเมืองใหญ่ "เคฮันชิง" และนครเกียวโต ยังจัดว่าเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 11 ของโลก ในปี พ.ศ. 2555
เกียวโต 京都 | |
---|---|
ญี่ปุ่น: 京都市 · นครเกียวโต | |
![]() | |
![]() ที่ตั้งของเกียวโตในจังหวัดเกียวโต | |
พิกัด: 35°0′42″N 135°46′6″E / 35.01167°N 135.76833°Eพิกัดภูมิศาสตร์: 35°0′42″N 135°46′6″E / 35.01167°N 135.76833°E | |
ประเทศ | ญี่ปุ่น |
ภูมิภาค | คันไซ |
จังหวัด | จังหวัดเกียวโต |
การปกครอง | |
• นายกเทศมนตรี | ไดซากุ คาโดกาวะ (ญี่ปุ่น: 門川大作) |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 827.83 ตร.กม. (319.63 ตร.ไมล์) |
ประชากร (1 ตุลาคม 2017) | |
• ทั้งหมด | 1,472,027 คน |
• ความหนาแน่น | 1,800 คน/ตร.กม. (4,600 คน/ตร.ไมล์) |
เขตเวลา | UTC+9 (เวลามาตรฐานญี่ปุ่น) |
- ต้นไม้ | Weeping Willow, Japanese Maple and Katsura |
- ดอกไม้ | Camellia, Azalea and Sugar Cherry |
โทรศัพท์ | 075-222-3111 |
ที่อยู่ | 488 Teramachi-Oike, Nakagyō-ku, Kyōto-shi, Kyōto-fu 604-8571 |
เว็บไซต์ | City of Kyoto |



ประวัติศาสตร์ แก้
จุดเริ่มต้น แก้
แม้วาจะมีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีการตั้งถิ่นฐานที่เกาะญี่ปุ่นประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ก็แทบจะไม่พบหลักฐานกิจกรรมของมนุษย์ใด ๆ เลยในบริเวณนี้ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่ศาลเจ้าชิโมงาโมะ
เฮอังเกียว แก้
ศตวรรษที่ 8 นักบวชในพุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างมากและได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยที่จะย้ายนครหลวงไปยังภูมิภาคที่ห่างไกลจากอิทธิพลของพุทธศาสนา จักรพรรดิคัมมุทรงเลือกชัยภูมิแห่งใหม่ที่หมู่บ้านอูดะ
นครหลวงแห่งใหม่นี้ได้รับนามว่า เฮอังเกียว (平安京, "นครหลวงแห่งสันติและสงบสุข") ซึ่งนครหลวงแห่งใหม่นี้ได้แนวคิดมาจากนครหลวงฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง[1] เพียงแต่ปรับขนาดให้เล็กลง และต่อมาใน ค.ศ. 794 ก็ได้กลายเป็นนครที่ตั้งของราชสำนัก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอังในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายหลัง รัฐบาลทหารจะตั้งเมืองอื่น ๆ เป็นศูนย์กลางทางอำนาจการปกครองที่ไม่ใช่เกียวโต (รัฐบาลโชกุนมูโรมาจิ) เช่น คามากูระ (โดยรัฐบาลโชกุนคามากูระ) หรือ เอโดะ (โดยรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ) แต่โดยทางนิตินัยแล้ว นครหลวงของญี่ปุ่นยังคงเป็นเกียวโตอันเป็นนครที่พระจักรพรรดิประทับอยู่ จนถึง ค.ศ. 1869 (ยุคฟื้นฟูจักรวรรดิ) ที่ราชสำนักได้ย้ายไปยังกรุงโตเกียว
เกียวโตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามโอนินในช่วง ค.ศ. 1467-1477 และไม่ได้รับการบูรณะจนล่วงเข้าสู่กลางทศวรรษที่ 16 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิได้บูรณะเมืองขึ้นมาอีกครั้งโดยการสร้างถนนสายใหม่กลางกรุงเกียวโตจนมีถนนเชื่อมเมืองฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีผังเมืองแบบบล็อกสี่เหลี่ยมแทนที่ผังเมืองแบบโบราณ ฮิเดโยชิยังได้สร้างกำแพงดินขึ้นมาเรียกว่า โอโออิ (御土居) รอบเมือง ถนนเทรามาจิในกลางกรุงเกียวโตจึงเป็นศูนย์กลางของวัดพุทธเมื่อฮิเดโยชิเริ่มรวบรวมวัดให้เป็นปึกแผ่น ในสมัยเอโดะ เกียวโตก็เป็นหนึ่งในสามเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนครเอโดะและนครโอซากะ
ในช่วงกบฏฮามางูริ ในปี ค.ศ. 1864 บ้านเรือน 28,000 หลังได้รับความเสียหาย และการย้ายเมืองหลวงของพระจักรพรรดิในปี ค.ศ. 1869 ทำให้เศรษฐกิจของเกียวโตอ่อนแอลง จากนั้นมีการตั้งเมืองใหม่ของเกียวโตในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1889 มีการขุดสร้างคลองทะเลสาบบิวะในปี ค.ศ. 1890 นำน้ำมาหล่อเลี้ยงเมืองจนกระทั่งพัฒนาไปเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้าจนมีประชากรเกินหนึ่งล้านคนในปี 1932[2]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเคยมีแผนจะทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโต ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นศูนย์กลางทางปัญญาของญี่ปุ่น และมีชาวเมืองที่ "ดูมีความสุขกับการสร้างอาวุธ" แต่ในท้ายที่สุด เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม ในยุคของประธานาธิบดีรูสเวลต์และประธานาธิบดีทรูแมนได้ถอดชื่อเกียวโตออกจากรายชื่อเมืองที่จะทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงปลายสงคราม และเปลี่ยนเป็นเมืองนางาซากิแทน นอกจากนี้ เมืองยังรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดสงครามในสงครามอีกด้วย แม้จะมีการโจมตีทางอากาศอยู่บ้างประปราย
ผลจากการตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้เกียวโตเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในญี่ปุ่นที่ยังมีสิ่งก่อสร้างในยุคก่อนสงครามหลงเหลืออยู่มากมาย เช่น บ้านโบราณที่รู้จักกันในชื่อ มาจิยะ แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองก็กำลังทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของเกียวโตค่อย ๆ ถูกสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ กลืนหายไป
เกียวโตมีสถานะเป็นนครโดยรัฐบัญญัติของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1956 และในปี 1997 เกียวโตก็เป็นสถานที่จัดการประชุมครั้งสำคัญว่าด้วยเรื่องการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก จนมีข้อบังคับออกมาเป็นพิธีสารเกียวโต
ที่มาของชื่อ แก้
แต่เดิม เมืองนี้มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า เคียว (京) และ มิยาโกะ (都) หรือบางครั้งก็เรียกรวมว่า เคียวโนะมิยาโกะ (京の都) ต่อมาในศตวรรษที่ 11 เปลี่ยนชื่อเป็น เกียวโต (มีความหมายว่า เมืองหลวง) ตามคำของภาษาจีนของเมืองหลวงที่อ่านว่า จุงตู (京都)[3] แต่หลังจากที่เมืองเอโดะเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว (มีความหมายว่า "เมืองหลวงตะวันออก") ในปี ค.ศ. 1868 เมืองเกียวโตก็เปลี่ยนชื่อเป็น ไซเกียว (西京 มีความหมายว่า "เมืองหลวงตะวันตก") เป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็น เกียวโต ในเวลาต่อมา
ภูมิศาสตร์ แก้
เกียวโต ตั้งอยู่กลางหุบเขาในลุ่มน้ำยามาชิโระ (หรือลุ่มน้ำเกียวโต) ทางฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงทัมบะ ลุ่มน้ำยามาชิโระนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้านคือ ฮิงาชิยามะ คิตายามะ และนิชิยามะ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1,000 เมตร การที่มีภูมิประเทศอยู่ในแผ่นดินลักษณะนี้ทำให้เกียวโตมีฤดูร้อนที่อากาศร้อน และฤดูหนาวที่อากาศหนาว มีแม่น้ำสามสายไหลผ่านที่ราบลุ่มแห่งนี้คือ แม่น้ำอูจิ ทางทิศใต้ แม่น้ำคัตสึระ ทางทิศตะวันตก และแม่น้ำคาโมะ ทางทิศตะวันออก เมืองเคียวโตมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 17.9 ของพื้นที่ทั้งจังหวัดเกียวโตด้วยอาณาเขต 827.9 ตารางกิโลเมตร
เกียวโตเป็นเมืองที่สร้างตามจากหลักฮวงจุ้ยของจีน โดยได้รับอิทธิพลจากเมืองฉางอาน เมืองหลวงของราชวงศ์ถังของจีนในสมัยนั้น โดยมีพระราชวังหันหน้าไปทางทิศใต้ มีอูเกียว (ฝั่งขวาของพระนคร) อยู่ทางตะวันตก และมีซาเกียว (ฝั่งซ้ายของพระนคร) อยู่ทางตะวันออก
ทุกวันนี้ พื้นที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเกียวโตตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระราชวังเก่า แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าฝั่งเหนือของเมือง ทำให้ยังคงความชะอุ่มของสีเขียวจากธรรมชาติอยู่ สิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบ ๆ พระราชวังไม่ได้ตั้งตามหลักฮวงจุ้ยแบบโบราณแล้ว แต่ตัวถนนของเกียวโตยังคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้อยู่
ภูมิอากาศ แก้
นครเกียวโตมีสภาพอากาศแบบค่อนข้างร้อนอบอ้าว ในช่วงฤดูร้อนจะร้อนและชื้นและในฤดูหนาวมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นประกอบกับมีหิมะเป็นครั้งคราว ฤดูฝนของเกียวโตเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม
ข้อมูลภูมิอากาศของเกียวโต | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 19.9 (67.8) |
22.9 (73.2) |
25.7 (78.3) |
30.7 (87.3) |
33.8 (92.8) |
36.8 (98.2) |
38.2 (100.8) |
39.8 (103.6) |
38.1 (100.6) |
32.2 (90) |
26.9 (80.4) |
22.8 (73) |
39.8 (103.6) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 8.9 (48) |
9.7 (49.5) |
13.4 (56.1) |
19.9 (67.8) |
24.6 (76.3) |
27.8 (82) |
31.5 (88.7) |
33.3 (91.9) |
28.8 (83.8) |
22.9 (73.2) |
17.0 (62.6) |
11.6 (52.9) |
20.8 (69.4) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 4.6 (40.3) |
5.1 (41.2) |
8.4 (47.1) |
14.2 (57.6) |
19.0 (66.2) |
23.0 (73.4) |
26.8 (80.2) |
28.2 (82.8) |
24.1 (75.4) |
17.8 (64) |
12.1 (53.8) |
7.0 (44.6) |
15.9 (60.6) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 1.2 (34.2) |
1.4 (34.5) |
4.0 (39.2) |
9.0 (48.2) |
14.0 (57.2) |
18.8 (65.8) |
23.2 (73.8) |
24.3 (75.7) |
20.3 (68.5) |
13.6 (56.5) |
7.8 (46) |
3.2 (37.8) |
11.7 (53.1) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | −11.9 (10.6) |
−11.6 (11.1) |
−8.2 (17.2) |
−4.4 (24.1) |
−0.3 (31.5) |
4.9 (40.8) |
10.6 (51.1) |
12.8 (55) |
7.1 (44.8) |
0.2 (32.4) |
−4.4 (24.1) |
−9.4 (15.1) |
−11.9 (10.6) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 50.3 (1.98) |
68.3 (2.689) |
113.3 (4.461) |
115.7 (4.555) |
160.8 (6.331) |
214.0 (8.425) |
220.4 (8.677) |
132.1 (5.201) |
176.2 (6.937) |
120.9 (4.76) |
71.3 (2.807) |
48.0 (1.89) |
1,491.3 (58.713) |
ปริมาณหิมะ ซม (นิ้ว) | 5 (2) |
8 (3.1) |
2 (0.8) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
3 (1.2) |
18 (7.1) |
ความชื้นร้อยละ | 66 | 66 | 62 | 59 | 62 | 67 | 70 | 66 | 68 | 68 | 68 | 68 | 65.8 |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 0.5 mm) | 7.8 | 9.2 | 11.9 | 10.6 | 11.4 | 12.9 | 12.9 | 8.7 | 11.0 | 8.8 | 7.6 | 8.1 | 120.9 |
วันที่มีหิมะตกโดยเฉลี่ย | 3.1 | 3.9 | 1.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 1.2 | 9.2 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 123.2 | 117.4 | 146.8 | 175.4 | 180.9 | 138.3 | 142.3 | 182.7 | 136.8 | 157.4 | 138.1 | 135.8 | 1,775.1 |
แหล่งที่มา 1: 平年値(年・月ごとの値) | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: (รายงานสภาพอากาศ) 観測史上1~10位の値(年間を通じての値) |
เขตการปกครอง แก้
นครเกียวโตแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 เขต ได้แก่
- เขตคามิเงียว (ญี่ปุ่น: 上京区; โรมาจิ: Kamigyō-ku)
- เขตคิตะ (ญี่ปุ่น: 北区; โรมาจิ: Kita-ku)
- เขตชิโมะเงียว (ญี่ปุ่น: 下京区; โรมาจิ: Shimogyō-ku)
- เขตซาเกียว (ญี่ปุ่น: 左京区; โรมาจิ: Sakyō-ku)
- เขตนากะเงียว (ญี่ปุ่น: 中京区; โรมาจิ: Nakagyō-ku) - ศูนย์กลางการบริหาร
- เขตนิชิเกียว (ญี่ปุ่น: 西京区; โรมาจิ: Nishikyō-ku)
- เขตฟูชิมิ (ญี่ปุ่น: 伏見区; โรมาจิ: Fushimi-ku)
- เขตมินามิ (ญี่ปุ่น: 南区; โรมาจิ: Minami-ku)
- เขตยามาชินะ (ญี่ปุ่น: 山科区; โรมาจิ: Yamashina-ku)
- เขตอูเกียว (ญี่ปุ่น: 右京区; โรมาจิ: Ukyō-ku)
- เขตฮิงาชิยามะ (ญี่ปุ่น: 東山区; โรมาจิ: Higashiyama-ku)
ทั้งหมดรวมกันเป็นนครเกียวโต ที่มีนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาลนครอันมาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร
ประชากร แก้
เกียวโตเคยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนจะถูกโอซากะและเอโดะ (โตเกียว) แซงไปในช่วงท้ายศตวรรษที่ 16 ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียวโตทำการค้ากับโคเบะและนาโงยะในปริมาณมาก ช่วงหลังสงคราม ในปี 1947 เกียวโตมีประชากรเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นอีกครั้ง และประชากรค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนมาอยู่อันดับ 5 ของญี่ปุ่นในปี 1960 และหล่นมาอยู่อันดับ 7 ในปี 1990 จนกระทั่งปี 2012 ก็มีประชากรมากสุดเป็นอันดับ 8 ของญี่ปุ่น
วัฒนธรรม แก้
แม้เกียวโตจะถูกรบกวนด้วยสงคราม ไฟไหม้ และแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในช่วงที่เป็นเมืองหลวงตลอด 11 ศตวรรษที่ผ่านมา แต่เกียวโตก็รอดพ้นจากการโจมตีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งยังถูกถอดออกจากรายชื่อเมืองที่จะถูกทิ้งระเบิดปรมาณูจากกองทัพสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายสงคราม และเปลี่ยนไปเป็นเมืองนางาซากิแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีสงครามของสหรัฐต้องการจะรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้ และได้รู้จักเมืองเกียวโตนี้จากการไปเยือนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตและจากการไปฮันนีมูน[4][5]
เกียวโตมีสถานที่สำคัญทางศาสนากว่า 2,000 แห่ง เป็นวัดทางศาสนาพุทธ 1,600 แห่ง และทางลัทธิชินโต 400 แห่ง มีพระราชวัง สวน และสิ่งก่อสร้างที่ยังคงความดั้งเดิมไว้มาก มีวัดที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง อาทิ วัดคิโยมิซุที่สร้างโดยใช้เสาหลักปักตามเนินของภูเขา วัดคิงกากุ (วัดศาลาทอง), วัดกิงกากุ (วัดศาลาเงิน) และ วัดเรียวอังที่มีสวนหินที่โด่งดัง ศาลเจ้าเฮอังเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในลัทธิชินโต สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเฉลิมพระเกียรติองค์จักรพรรดิและให้ระลึกถึงราชวงศ์แรกและราชวงศ์สุดท้ายที่ประทับอยู่ที่เกียวโต
ราชวงศ์ของญี่ปุ่นมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่สามแห่งของเกียวโต ได้แก่ เขตเกียวเอ็งของเกียวโต อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเกียวโต และพระราชวังเซ็นโตะ ที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นหลายร้อยปี เขตพระราชวังหลวงคัตสึระ อันเป็นสมบัติทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของชาติ และเขตพระราชวังชูงากุ อันเป็นสวนที่สวยที่สุดแหงหนึ่งของญี่ปุ่น
บริเวณอื่น ๆ ของเกียวโต ก็มีความสำคัญทางวัฒนธรรมเช่นกัน เช่น อาราชิยามะ ย่านกิอง ย่านเกอิชา พนโตโจ ตลอดจนถนนสายนักปราชญ์ และคลองอีกหลาย ๆ แห่ง
อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1994 ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ศาลเจ้าคาโมะ, วัดเคียวโอโกโกกุ (วัดโท), วัดคิโยมิซุ, วัดโดโงะ, วัดนินนะ, วัดไซโฮ, วัดเท็นรีว, วัดโรกูอง (วัดคิงกากุ), วัดจิโช (วัดกิงกากุ), วัดเรียวอัง, วัดฮงงัน, วัดโคซัง และปราสาทนิโจ ที่สร้างโดย โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ และมีอีกหลายแห่งที่อยู่นอกเมืองที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลกด้วย
เกียวโตเป็นเมืองที่มีอาหารญี่ปุ่นรสชาติโอชะอยู่มากมาย การที่เกียวโตเป็นเมืองที่ห่างไกลจากทะเลและมีวัดพุทธอยู่มากมายทำให้มีนำผักมาเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร จนผักของเกียวโตมีชื่อเสียงขึ้นมา ที่เรียกว่า เคียวยาไซ (京野菜)
เกียวโตยังมีสำเนียงภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า เคียวโกโตบะ หรือ เกียวโตเบ็ง อันเป็นหนึ่งในรูปแบบของสำเนียงคันไซ เมื่อครั้งที่เกียวโตเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้น สำเนียงเกียวโตถือเป็นภาษาราชการของญี่ปุ่นและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเป็นสำเนียงโตเกียว อันเป็นภาษามาตรฐานสมัยใหม่ของญี่ปุ่น ส่วนที่โดดเด่นของสำเนียงเกียวโตคือ การที่คำกริยาจะลงท้ายด้วย -ฮารุ เป็นต้น
เศรษฐกิจ แก้
เศรษฐกิจที่สำคัญในเกียวโตนั้นมาจากอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ นครเกียวโตนั้นยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัทชั้นนำมากมาย อาทิ นินเทนโด, ออมรอน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเกียวโต จากการที่เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น ทำให้ในแต่ละวัน มีนักเรียน-นักศึกษาจากทั่วประเทศรวมถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาทัศนศึกษาและท่องเที่ยวในเกียวโต และจากการสำรวจและจัดอันดับระดับภูมิภาคในปี 2007 นครเกียวโตได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่สองในเมืองที่น่าสนใจที่สุดของญี่ปุ่น รองจากนครซัปโปโระ[6]
นอกจากนี้ งานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของเกียวโต ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยช่างฝีมือในโรงงานขนาดเล็ก กิโมโนของเกียวโตนั้นยังมีชื่อเสียงอย่างมาก จากการที่เกียวโตเป็นเมืองที่ยังคงเป็นศูนย์กลางของการผลิตกิโมโนชั้นนำ อย่างไรก็ตามธุรกิจชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน จากการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลด้านช่างฝีมือที่มีคุณภาพ
มหาวิทยาลัย แก้
เกียวโตเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันระดับอุดมศึกษา 37 แห่ง นับเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยมีมหาวิทยาลัยเกียวโตเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศและของโลก และยังมีสถาบันเทคโนโลยีเกียวโตเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยโดชิชะและมหาวิทยาลัยริตสึเมกังก็เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงในแถบเคฮันชิงเช่นกัน
การคมนาคม แก้
การขนส่งทางราง แก้
สถานีเกียวโต เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเมือง เป็นสถานีที่รวมเอาห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้าอิเซะตัน และสำนักงานราชการหลาย ๆ แห่งเอาไว้ในตึกสูง 15 ชั้น มีรถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดวิ่งผ่านและเชื่อมต่อกับรถไฟของบริษัทเจอาร์เวสต์
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟเอกชนอย่าง รถไฟเคฮัง รถไฟฮันกีว รถไฟคินเต็ตสึ และสายอื่น ๆ ให้บริการรับส่งผู้โดยสารจากเกียวโตสู่พื้นที่อื่น ๆ ในแถบคันไซ โดยรถไฟเจอาร์เวสต์และรถไฟคินเตะสึจะเชื่อมต่อที่สถานีเกียวโต ขณะที่รถไฟฮันกีวจะเชื่อมต่อกับเกียวโตที่สถานีชิโจ คาวารามาจิ อันเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าและย่านบันเทิงของเกียวโตมาตั้งแต่สมัยโบราณ
รถไฟใต้ดิน แก้
สำนักงานขนส่งนครเกียวโต เป็นผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินนครเกียวโต ซึ่งมีอยู่สองสายหลักคือ
- สายคาราซูมะ: ทอดยาวตามแนวเหนือใต้
- สายโทไซ: ทอดยาวตามแนวตะวันออกและตะวันตก
รถไฟความเร็วสูง แก้
รถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดเชื่อมต่อเมืองเกียวโตกับนาโงยะ โยโกฮามะ และโตเกียวในทิศตะวันออก ตลอดจนโอซากะ โคเบะ โอกายามะ ฮิโรชิมะ คิตากีวชู และฟูกูโอกะทางทิศตะวันตก
ท่าอากาศยาน แก้
ท่าอากาศยานที่ใกล้กับเกียวโตที่สุดคือ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ ในจังหวัดโอซากะ โดยมีรถไฟเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานทั้งสอง ใช้เวลาจากสถานีเกียวโตถึงท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ 73 นาที
รถประจำทาง แก้
โครงข่ายรถประจำทางมหานครของเกียวโตและโครงข่ายเอกชนเป็นเครือข่ายที่ให้บริการค่อนข้างครอบคลุมตัวเมือง และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ทั้งรถโดยสารทั่วไปและรถโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยว มีการประกาศเป็นภาษาอังกฤษและแสดงข้อความถึงจุดจอดเป็นอักษรละตินอีกด้วย
รถประจำทางในเมืองส่วนใหญ่จะมีราคาเดียว และยังมีบัตรโดยสารแบบวันเดียวและแบบขึ้นได้ไม่จำกัดรอบจำหน่ายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเยี่ยมชมสถานที่หลาย ๆ แห่งในเกียวโตภายในเวลาอันสั้น
จักรยาน แก้
การปั่นจักรยานก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเมืองเกียวโต เพราะสภาพภูมิประเภทศและขนาดของเมืองนับว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการเที่ยวโดยจักรยาน นอกจากนี้ อัตราการขโมยจักรยานยังมีอัตราที่ต่ำ แต่การหาพื้นที่จอดจักรยานนับว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร
การคมนาคมทางน้ำ แก้
เกียวโตมีแม่น้ำและคลองหลายสายไหลผ่าน ทั้งแม่น้ำเซตะและอูจิ (แม่น้ำโยโดะ) แม่น้ำคาโมะ และแม่น้ำคัตสึระ นอกจากนี้ คลองทะเลสาบบิวะก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเช่นกัน
การท่องเที่ยว แก้
มรดกโลกโดยยูเนสโก แก้
"สมบัติของชาติ" ราว 20% และ "สมบัติสำคัญทางวัฒนธรรม" ราว 14% ของญี่ปุ่นนั้นอยู่ในเกียวโต ในปี ค.ศ. 1994 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ให้การรับรองกลุ่มมรดกโลกในนครเกียวโต ในนามของ อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ (เมืองเกียวโต อูจิ และอตสึ) ซึ่งในเกียวโตมีทั้งหมด 17 สถานที่ด้วยกัน คือ
-
ศาลเจ้าคามิงาโมะ
(ญี่ปุ่น: 上賀茂神社) -
ศาลเจ้าชิโมงาโมะ
(ญี่ปุ่น: 下鴨神社) -
ศาลเจ้าอูจิงามิ
(ญี่ปุ่น: 宇治上神社) -
วัดคิโยมิซุ (ญี่ปุ่น: 清水寺)
-
วัดเอ็นเรียกุ (ญี่ปุ่น: 延暦寺)
-
วัดเท็นรีว (ญี่ปุ่น: 天龍寺)
-
วัดคิงกากุ (ญี่ปุ่น: 金閣寺)
-
วัดเบียวโด (ญี่ปุ่น: 平等院)
-
วัดเรียวอัง (ญี่ปุ่น: 龍安寺)
-
วัดนิชิฮงงัง
(ญี่ปุ่น: 西本願寺) -
ปราสาทนิโจ (ญี่ปุ่น: 二条城)
-
วัดกิงกากุ (ญี่ปุ่น: 銀閣寺)
อ้างอิง แก้
- ↑ Ebrey, Walthall & Palais 2006, p. 103 .
- ↑ City of Kyoto (2003). "情報統計担当(京都市の統計情報)/よくある質問/人口・世帯". สืบค้นเมื่อ July 5, 2010.
- ↑ Lowe, John. (2000). Old Kyoto: A short Social History, p. x.
- ↑ "The Manhattan Project, Department of Energy at mbe.doe.gov". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-28. สืบค้นเมื่อ 2013-09-25.
- ↑ HyperHistory.net Dec. 22, 2009. Retrieved August 7, 2010
- ↑ "Sapporo picked as "most attractive town" for 2nd consecutive year — J-Cast". En.j-cast.com. 2007-07-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-10. สืบค้นเมื่อ 2010-03-07.
ข้อมูลเพิ่มเติม แก้
- Kyoto Travel Guide — City of Kyoto and Kyoto Tourism Council
- Kyoto City Local Government (อังกฤษ)
- Kyoto's temples & shrines เก็บถาวร 2011-09-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน— Information on 26 temples and shrines.
- Photos of Kyoto, mostly temples and shrines.