จักรพรรดิ ไชยสาส์น
จักรพรรดิ ไชยสาส์น (12 ธันวาคม พ.ศ. 2510) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี แบบแบ่งเขต เขต 6 สังกัดพรรคเพื่อไทย[1] ปัจจุบันรวม 3 สมัย เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25
จักรพรรดิ ไชยสาส์น | |
---|---|
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี เขต 6 | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2565 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2510 อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย |
ศาสนา | พุทธ |
พรรคการเมือง | พรรคพลังประชาชน (2550-2551) พรรคเพื่อไทย (2551–2565) พรรคภูมิใจไทย (2565-ปัจจุบัน) |
ประวัติ แก้
ชีวิตครอบครัว แก้
จักรพรรดิ ไชยสาส์น เป็นชาวบ้านดงเรือง ตำบลผาสุก อำเภอกุมภวาปี เกิดวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2510 เป็นบุตร ของนายประจวบ ไชยสาส์น (อดีต ส.ส.อุดรธานี 7 สมัย) กับนางทองพูน ไชยสาส์น มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คนดังนี้[2]
- นางสาวจารุภรณ์ ไชยสาส์น
- นายจักรพรรดิ ไชยสาส์น
- นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น (อดีต ส.ส.อุดรธานี 3 สมัย)
- จิราภรณ์ ไชยสาส์น
การศึกษา แก้
- ศิลปศาสตรบัณฑิต (ศิลปศาสตร์) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
- ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
การทำงาน แก้
การเมือง แก้
จักรพรรดิ ไชยสาส์น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี 3 สมัย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้
- พ.ศ. 2566 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[3]
- พ.ศ. 2563 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[4]
อ้างอิง แก้
- ↑ ส่อง “3 กลุ่ม” ขึ้นบัญชีย้ายพรรค ทิ้งนายใหญ่ หาบ้านหลังใหม่
- ↑ สิ้น ‘ประจวบ ไชยสาส์น’ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย เสียชีวิตในวัย 76 ปี
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสายสะพาย ประจำปี ๒๕๖๖, เล่ม ๑๔๐ ตอนพิเศษ ๔ ข หน้า ๒, ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี ๒๕๖๓ เก็บถาวร 2022-10-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑ ข หน้า ๖, ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔