กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก

ปฏิบัติการเฉพาะกิจของกองทัพไทย

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก (อังกฤษ: Thai Joint Task Force 972 Thai/East Timor) หรือ กกล.ฉก.ร่วม 972 ไทย/ติมอร์ เป็นหน่วยทหารของกองทัพไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก (INTERFET), องค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNTAET) และคณะผู้แทนสนับสนุนติมอร์ตะวันออกของสหประชาชาติ (UNMISET) ในวิกฤตการณ์ติมอร์ตะวันออก ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 จนถึงวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ประเทศติมอร์-เลสเต

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก
กองกำลัง 972 ไทย-ติมอร์ตะวันออก
กำลังผลัดที่ 1 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดยมี พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ (ชื่อเดิมยศขณะนั้น พันตรี มณเฑียร แก้วแท้) อดีตผู้บัญชาการทหารบกร่วมในกำลังชุดดังกล่าว[1]
ประจำการ1 กุมภาพันธ์ 2543–23 มิถุนายน 2547
ประเทศไทย
เหล่า กองทัพไทย
รูปแบบผู้มิใช่พลรบ
บทบาท
กำลังรบประมาณ 6,300 นาย
ขึ้นกับ
กองบัญชาการ
สมญา
  • กกล.ฉก.ร่วม 972 ไทย / ติมอร์
  • (JTF 972 Thai/East Timor)
ปฏิบัติการสำคัญวิกฤตการณ์ติมอร์ตะวันออก
ผู้บังคับบัญชา
รอง.ผบ.
กกล.นานาชาติ
ไทย พลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์
ผบ.กกล.ฉก.ร่วม
972 ไทย/ติมอร์
ไทย พลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์
ผบ.กกล.
สหประชาชาติ

ประวัติ แก้

ที่มาความขัดแย้ง แก้

ในอดีตนั้น ติมอร์ตะวันออกเคยเป็นหนึ่งในอาณานิคมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2402 ในข้อตกลงความระหว่างโปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์ โดยแบ่งเขตของเกาะติดมอร์ออกเป็น 2 ส่วน ฝั่งตะวันออกเป็นของโปรตุเกส และฝั่งตะวันตกเป็นของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเนเธอร์แลนด์ได้ให้เอกราชแก่อินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2429 พร้อมทั้งปลดปล่อยติมอร์ตะวันตกในปีต่อมา ในขณะที่ติมอร์ตะวันออกยังคงอยู่ในปกครองของโปรตุเกสอยู่กระทั่งโปรตุเกสได้แสดงความจำนงที่จะถอนตัวออกจากพื้นที่ติมอร์ตะวันออกในปี พ.ศ. 2518 โดยวางแผนที่จะมอบให้เป็นส่วนหนึ่งกับอินโดนีเซีย ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศจนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองระยะเวลา 3 เดือน และพรรคหัวรุนแรงที่ชื่อว่า FRETILIN ได้รับชัยชนะพร้อมทั้งประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งทำให้อินโดนีเซียยอมรับไม่ได้และประกาศส่งกองกำลังอาสาสมัครเข้าไปปฏิบัติการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุผลในการช่วยปลดปล่อยชาวติมอร์ตะวันออกจากพรรค FRETILIN และสามารถผนวกดินแดนติมอร์ตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียเป็นจังหวัดที่ 27 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2519

หลังจากตกเป็นดินแดนของอินโดนีเซีย สหประชาชาติกลับยังคงถือตามผู้ปกครองเดิมคือโปรตุเกส และพยามเจรจาถึงสถานะของติมอร์ตะวันออกกับอินโดนีเซียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 - 2541 มีการเจรจาเกิดขึ้นประมาณ 10 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าปัญหาจะยุติลง เนื่องจากทั้งโปรตุเกสและอินโดนีเซียมีจุดยืนที่แตกต่างกัน ในขณะที่ภายในติมอร์ตะวันออกนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากขบวนการ FRETILIN เดิมในรูปแบบสงครามกองโจรกับกองทหารของอินโดนีเซีย และการเรียกร้องเอกราชจากนักศึกษาชาวติมอร์ตะวันออก กระทั่งปัญหาได้รับการมองเห็นในระดับนานาชาติและมีการมอบรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2539 ให้กับบาทหลวง คาร์ลอส เบโล บาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกในติมอร์ตะวันออก และนายโจเซ รามอส ฮอร์ตา หัวหน้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนติมอร์ตะวันออก

ในปี พ.ศ. 2539 ได้มีแนวคิดจากที่ปรึกษากิจการติมอร์ตะวันออกเสนอให้กำหนดติมอร์ตะวันออกเป็นเขตการปกครองตนเองพิเศษ ที่ปกครองตนเองได้แต่ไม่มีอำนาจในการตกลงนโยบายต่างประเทศ ระบบยุติธรรม และการปกครองประเทศ แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกนายรามอสปฏิเสธ จนกระทั่งประธานาธิบดี ซูฮาร์โต ลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 ได้มีการเคลื่อนไหวไปยังประธานาธิบดีคนใหม่คือ ฮาบีบี ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวติมอร์ตะวันออกทั้งหมดรวมถึงหัวหน้ากองกำลังของขบวนการ FRETINLIN นายซานานา กุสเมา รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากผู้นำสหภาพยุโรปสนับสนุนการลงประชามติเพื่อให้ประชาชนชาวติมอร์ตะวันออกตัดสินอนาคตของตน

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 กองกำลังพลเรือนอาสาสมัคร (Militia) ที่ได้รับการสนับสนุนอาวุธจากกองทัพอินโดนีเซียได้ปฏิบัติการสังหารกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนการเรียกร้องเอกราชของติมอร์ตะวันออก จนกระทั่งมีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนเอกราชกับกลุ่มที่ต้องการรวมอยู่กับอินโดนีเซีย ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2542 ณ เมืองดิลี ต่อมารัฐบาลของอินโดนีเซียและโปรตุเกสได้บรรลุในข้อตกลงในการเตรียมการหยั่งเสียงประชามติของชาวติมอร์ตะวันออกตามสิทธิกำหนดใจตนเอง โดยให้ลงคะแนนว่าจะเป็นดินดนที่มีสิทธิในการปกครองตนเองใต้รัฐธรรมนูญของอินโดนีเซีย หรือต้องการแยกตนเองเป็นเอกราช กำหนดให้ลงประชามติในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2542 และระบุให้สหประชาชาติส่งเจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ตำรวจพลเรือนมาในติมอร์ตะวันออกเพื่อช่วยเหลือกระบวนการประชามติ และให้รัฐบาลอินโดนีเซียดำเนินการการลงคะแนนเสียงประชามติเพื่อประกันความปลอดภัยในติมอร์ตะวันออก

องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่ 1246 (1999) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2542 ให้จัดตั้งคณะผู้แทนสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (United Nations Mission in East Timor: UNAMET) มีภารกิจในการการจัดการลงคะแนนเสียงของชาวติมอร์ตะวันออก และประธานาธิบดีฮาบิบีได้ขอให้สหรัฐ ออสเตรเลีย เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์เข้าร่วมสังเกตการณ์กระบวนการดังกล่าว ซึ่งมีการจัดตั้งสำนักงานเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2542 และเตรียมการหน่วยเลือกตั้งจำนวน 700 หน่วยสำหรับผู้มีสิทธิลงคะแนนประมาณ 450,000 คน โดยประเทศไทยได้ส่งกำลังตำรวจพลเรือนเข้าร่วม 7 นาย (ประกอบด้วยตำรวจหญิงด้วย 1 นาย) และนายทหารประสานงาน 2 นาย ขณะที่อินโดนีเซียได้ประกาศถอนกำลังทหารจำนวนหนึ่งออกจากพื้นที่ และแทนที่ด้วยกำลังตำรวจจำนวน 2,500 นายเพื่อสมทบกับกำลังตำรวจพลเรือนที่มีอยู่เดิม 4,000 นาย ซึ่งสหประชาชาติได้ประเมินว่ากำหนดการเดิมนั้นไม่เหมาะสมเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่มีความปลอดภัยมากเพียงพอ จึงได้เลื่อนออกไปครั้งแรกเป็นวันที่ 22 สิงหาคม และเลื่อนอีกครั้งเป็นวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2542

ระหว่างการรนรงค์ประชามติของกลุ่มที่ต้องการปกครองตนเองภายใต้อินโดนีเซียนั้น กองกำลังพลเรือนอาสาสมัคร (Militia) ได้ใช้ความรุนแรงรวมไปถึงสังหารผู้ที่สนับสนุนเอกราชของติมอร์ตะวันออก ทำให้เกิตปฏิกิริยาจากองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยเฉพาะสหประชาชาติ นักการทูต และองค์กรสิทธิมนุษยชนในเชิงลบ และเชื่อว่ากองทัพอินโดนีเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว

จากผลการลงคะแนนเสียง นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้แถลงเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2542 ว่าชาวติมอร์ตะวันออกต้องการเป็นเอกราช ร้อยละ 72.5 (344,580 คะแนน) และเลือกเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในรูปแบบปกครองตนเอง ร้อยละ 21.5 (94,388 คะแนน) ซึ่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ยอมรับผลการลงประขามติและจะแจ้งต่อสภาที่ปรึกษาประชาชนในเดือนพฤษจิกายน พ.ศ. 2542

หลังจากการประกาศผลการลงประชามติ กลุ่มผู้สนับสนุนการรวมกับอินโดนีเซียได้ก่อความรุนแรงและประกาศไม่ยอมรับผลการลงประชามติ โดยได้ก่อความไม่สงบด้วยการสังหารประชาชนที่สนับสนุนการเป็นเอกราช การบังคับและผลักดันชาวติมอร์ตะวันออกไปยังฝั่งติมอร์ตะวันตก รวมไปถึงการคุกคามอาสาสมัครท้องถิ่นของสหประชาชาติ เจ้าหน้าที่ UNAMET ผู้สื่อข่าวต่างชาติ ค่ายพักและค่ายผู้อพยพของกาชาตสากลก็ถูกโจมตีด้วย ทำให้เกิดการประนามไปยังรัฐบาลอินโดนีเซียที่ไม่มีความจริงใจในการควบคุมสถานการณ์เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอินโดนีเซียไม่ได้ช่วยป้องกันหรือระงับความวุ่นวายดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากนานาชาติ และกดดันให้มีการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก

กระทั่งวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2542 รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศกฎอัยการศึกในติมอร์ตะวันออก และแต่งตั้ง พลตรี กิกิ สยานากริ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ที่เป็นที่ยอมรับจากทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนเอกราชและผู้สนับสนุนการรวมกับอินโดนีเซียยอมรับเนื่องจากเคยประจำการในติมอร์ตะวันออกมากว่า 11 ปีขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารอินโดนีเซียในติมอร์ตะวันออกเพื่อควบคุมสถานการณ์

ส่งกองกำลัง แก้

ประธานาธิบดี ฮาบิบีได้ประกาศอนุญาตและยอมรับให้จัดส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปในติมอร์ตะวันออกเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2542 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีข้อมติที่ 1264 (1999) เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 ให้จัดตั้งกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก (International force in East Timor: INTERFET) ซึ่งเป็นกองกำลังผสมนานาชาติของออสเตรเลียที่มิใช่ของสหประชาชาติ มีภารกิจในการสร้างสันติภาพและความมั่นคง รวมถึงปกป้องคุ้มครองเจ้าหน้าที่ UNAMET และปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม

ในระหว่างการประชุมเอเปคในวันที่ 12-13 กันยายน พ.ศ. 2542 ณ ออกแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้แทนประธานาธิบดีได้แจ้งกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยว่าอินโดนีเซียต้องการให้ไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนได้ส่งกองกำลังทหารไม่น้อยกว่า 3 กองพันเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออก ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เดินทางไปพบปะหารือกับ พลเอก วิรันโต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอินโดนีเซีย พร้อมกับประธานาธิบดี ฮาบิบี ที่จาร์กาตา ซึ่งพลเอก วิรันโต้ได้ยืนยันว่ากองทัพอินโดนีเซียไม่ได้ต่อต้านกองกำลังนานาชาติ แต่หากเป็นไปได้ก็ต้องการให้กองกำลังส่วนใหญ่มาจากประชาคมอาเซียน

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการของกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก (INTERFET) หลังจากวิกฤตการณ์ติมอร์ตะวันออกโดยมี พลตรี ปีเตอร์ คอสโกรฟ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 กองทัพบกออสเตรเลีย เป็นผู้บัญชาการ และพลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เป็นรองผู้บัญชาการของกองกำลัง ระดมกำลังพลจาก 23 ประเทศเข้าร่วมปฏิบัติการยุติเหตุการณ์รุนแรงจากการก่อความวุ่นวายในวิกฤตการณ์ดังกล่าวประมาณ 10,000 นาย รวมถึงประเทศไทยที่ได้ส่งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกปฏิบัติการจำนวน 1,581 นาย[2] ภายใต้คำสั่งการของ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2542 และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติ คือวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และได้รับการร้องขอจากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในวันเดียวกันให้ส่งกองกำลังส่วนหน้าจำนวน 20-30 นายไปร่วมวางแผนการปฏิบัติการกับฝ่ายออสเตรเลีย

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2542 พลอากาศโท ดักลาส ริดดิง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดออสเตรเลียได้เดินทางเข้าพบเสนาธิการทหาร และผู้บัญชาการทหารบกเพื่อหารือถึงประเด็นการร้องขอกำลังทหารไทยเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติ จากนั้นได้เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ส่งนายทหารเพื่อร่วมวางแผนงานให้เดินทางไปยังเมืองดาร์วินและดิลีในการหารือกับพลตรีคอสโกรฟ รวมถึงเสนอตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองกำลังนานาชาติให้กับไทย โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้เลือกให้ พลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำจากาตาร์เป็นรองผู้บัญชาการกองกำลัง ซึ่งได้รับการตอบรับจากทั้งออสเตรเลียและอินโดนีเซียเป็นอย่างดี

ต่อมาในช่วงต้นปี พ.ศ. 2543 ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในคณะผู้แทนองค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออกเวลานั้น คือ พลโท ไฮเม เด โลส ซานโตส (Jaime de los Santos) แห่งกองทัพฟิลิปปินส์ได้ขอออกจากตำแหน่งก่อนกำหนด ทำให้ตำแหน่งว่างลง สหประชาชาติโดยนายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้แต่งตั้ง พลโท บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ[2]จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2544 และได้ประกาศแต่งตั้ง พลโท วินัย ภัททิยกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการในเวลาต่อมาหลังจาก พลโท บุญสร้างหมดวาระ[3][2]

ภาพรวมของกองกำลัง แก้

 
ทหารออสเตรเลีย (ซ้าย) และรถบรรทุกทหารทะเบียนตรากงจักรของกองทัพบกไทย (ขวา) ในเมืองดิลี, ติมอร์-เลสเต

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ประกอบกำลังพลจาก

ช่วงที่ 1: กองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก แก้

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกส่วนแรกที่รัฐบาลไทยส่งมาร่วมปฏิบัติการกับกองกำลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออกมีจำนวน 1,581 นาย ระหว่างปี พ.ศ. 2542 และสิ้นสุดลงในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 โดยมี พลโท ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองกำลังนานาชาติ ผู้บัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก[6] และส่งต่อการควบคุมกองกำลังรักษาสันติภาพไปยังองค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNTAET)[7]

ช่วงที่ 2: UNTAET - UNMISET แก้

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกในช่วงเวลาการบริหารงานขององค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNTAET) ระหว่างผลัดที่ 1 – 4 และหลังจากได้แปรสภาพเป็นคณะผู้แทนสนับสนุนติมอร์ตะวันออกของสหประชาชาติ (UNMISET) ระหว่างผลัดที่ 5 – 9 กองกำลังได้จัดกำลังมาปฏิบัติหน้าที่ที่ติมอร์ตะวันออกจำนวน 9 ผลัด จำนวนประมาณ 6,300 นาย[5] แบ่งกำลังออกเป็นกำลังหลัก 8 ผลัด และผลัดเสริม 1 ผลัด ประกอบไปด้วย

ผลัดที่ 1 แก้

ผลัดที่ 1 ปฏิบัติการหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2543[7] ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 900 นาย[8]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 1

ผลัดที่ 2 แก้

ผลัดที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2543 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2544 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 690 นาย[7]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 2

ผลัดที่ 3 แก้

ผลัดที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 690 นาย โดยผลัดนี้มีระยะเวลาการประจำการที่สั้นเนื่องจากมีการเลือกตั้งทั่วไปในติมอร์-เลสเต[9][7]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 3
    • พันเอก ปรีชา พลายอยู่วงษ์ ผู้บังคับการกองกำลังฯ

ผลัดที่ 4 แก้

ผลัดที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 – 31 มกราคม พ.ศ. 2545 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 690 นาย[7]

ผลัดที่ 5 แก้

ผลัดที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ประกอบด้วยกำลังพลที่ลดลงเหลือเพียง 350 นายเนื่องจากการปรับลดขนาดกองกำลังของสหประชาชาติในภาพรวม[7]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 5
    • พันโท จรินทร์ จ้อยสองสี ผู้บังคับการกองกำลังฯ

ผลัดที่ 6 แก้

ผลัดที่ 6 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2545[7] – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546[7][10]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 6

ผลัดที่ 7 แก้

ผลัดที่ 7 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 15 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 501 นาย[7]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 7
    • พันโท ชวลิต จารุกลัส ผู้บังคับการกองกำลังฯ

ผลัดที่ 8 แก้

ผลัดที่ 8 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างนที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 – มกราคม พ.ศ. 2547 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 496 นาย[7]

  • ผู้บังคับบัญชาประจำกองกำลังฯ ผลัดที่ 8
    • พันโท อำนาจ ศรีมาก ผู้บังคับการกองกำลังฯ

ผลัดที่ 9 (เสริม) แก้

ผลัดที่ 9 ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 15 มกราคม – 23 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ประกอบด้วยกำลังพลจำนวน 52 นาย เนื่องจากเป็นกำลังสนับสนุนหน่วยแพทย์ระดับ 2 ตามการร้องขอขององค์การสหประชาชาติซึ่งเป็นกองกำลังนอกเหนือจากผลัดปฏิบัติการหลักทั้ง 8 ผลัด ทำให้กำลังพลที่เหลืออยู่มีเพียงฝ่ายอำนวยการ กำลังผลสนับสนุนอื่น ๆ จำนวน 12 นาย และหน่วยแพทย์ระดับ 2 จำนวน 40 นาย บังคับการโดย พันโท มาวิน โอสถ[7]

ปฏิบัติการ แก้

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก มีภารกิจหลักตามกรอบของสหประชาชาติ 3 ประการ[11] คือ

  • ฟื้นฟูสันติภาพและความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย ในติมอร์ตะวันออก
  • คุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในคณะผู้แทนสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNAMET) และสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
  • สนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับชาวติมอร์ตะวันออก

พื้นที่ปฏิบัติการ แก้

กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกของติมอร์ตะวันออก (Sector East) ในผลัดที่ 1-6 มีที่ตั้งกองบังคับการอยู่ที่สนามบินเมืองเบาเกา รับผิดชอบพื้นที่เกือบ 1 ใน 2 ของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่เมืองหลักได้แก่ เลาเทม วีเกเก และลอสปาลอส[7]

ต่อมาในช่วงกลางของผลัดที่ 6 สหประชาชาติได้ปรับพื้นที่ปฏิบัติการของกองกำลังฯ ไปยังพื้นที่ภาคตะวันตก (Sector West) ติดต่อกับชายแดนประเทศอินโดนีเซีย มีที่ตั้งของกองบังคับการอยู่ที่เมืองซูไว (Suai) ดูแลภารกิจต่อจากนิวซีแลนด์ซึ่งสิ้นสุดภารกิจในภูมิภาคดังกล่าวอันเนื่องมาจากการปรับลดกำลังกองรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก ทำให้กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกมีพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมถึงจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนระหว่างติมอร์ตะวันออกและอินโดนีเซีย ทำให้มีผลงานเด่นคือการจัดกำลังเข้าร่วมการปักปันเขต (Border Demarcation) แดนระหว่างทั้งสองประเทศ[7]

ส่วนปฏิบัติการอื่น แก้

นอกจากกองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกที่ปฏิบัติหน้าที่ในนามของสหประชาชาติจากประเทศไทยแล้ว ยังมีกองกำลังของกองทัพไทย[7]และตำรวจไทยส่วนอื่นที่ปฏิบัติหน้าที่ในนามสหประชาชาติ เช่น

กองทัพไทย แก้

  • ผู้สังเกตการณ์ทางทหาร (UNMO – United Nations Military Observer) ปฏิบัติการระยะเวลา 1 ปี จัดกำลังจากกองทัพไทย (กองบัญชาการกองทัพไทย, กองทัพบก, กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) โดยเป็นนายทหารยศร้อยเอกจนถึงพันตรี ผลัดละ 6 นาย ในการสังเกตการณ์และรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งติมอร์ตะวันออก[7]
  • เจ้าหน้าที่เทคนิคกระสุนและวัตถุระเบิด (EOD – Explosive Ordnance Disposal) ปฏิบัติการระยะเวลา 6 เดือนเท่ากับกองกำลังหลัก ผลัดละ 3 นาย[7]
  • เจ้าหน้าที่ฝ่ายอำนวยการ ปฏิบัติงานประจำกองบัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพ ณ เมืองดิลีจำนวน 7 นาย ประจำกองบัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพ ภาคพื้นตะวันตก ณ เมืองซูไว จำนวน 10 นาย และประจำในสำนักงานผู้แทนประเทศไทยจำนวน 5 นาย[7]

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แก้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติการรักษาสันติภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านคณะผู้แทนบูรณาการของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNMIT) เนื่องจากในระยะเวลานั้นประเทศติมอร์ตะวันออกไม่มีตำรวจพลเรือนปฏิบัติงานอยู่ โดยประเทศไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปร่วมปฏิบัติการจำนวน 31 นาย ระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นตำรวจหญิง 28 นาย และตำรวจหญิง 3 นาย เพื่อไปปฏิบัติงานร่วมกันกับตำรวจจากอีก 40 ประเทศรวม 1,608 นาย[12]

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. "กองกำลังรักษาสันติภาพ ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ตะวันออก - รายชื่อกำลังพล ผลัดที่ 1 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในติมอร์ตะวันออก". geocities.ws.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  2. 2.0 2.1 2.2 เส้นทางมิตรภาพ 2 ทศวรรษ ไทย - มิตอร์-เลสเต (PDF). กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) กระทรวงการต่างประเทศ. 2565. ISBN 9786163411242.
  3. "Thai general appointed head of UN peacekeeping force in East Timor | UN News". news.un.org (ภาษาอังกฤษ). 2001-08-13.
  4. "The Army News - กองกำลังเฉพาะกิจร่วม ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ ตอนที่ ๓๙ ครบวาระการผลัดเปลี่ยนกำลังพล".{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  5. 5.0 5.1 5.2 "กองทัพไทยเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในติมอร์เลสเต". Thai PBS.
  6. "พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง ปัจจุบัน". www.afaps.ac.th.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  7. 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 7.14 7.15 7.16 ธรรมยศ, ศนิโรจน์. "ตำนาน กองกำลังรักษาสันติภาพ 972". นิตยสาร Military. เดือนตุลาคม 2552.
  8. 8.0 8.1 8.2 "เกียรติประวัติ และเหตุการณ์สำคัญ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในรอบ 108 ปี" (PDF). 1divisionkingguard.rta.mi.th.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  9. "สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต". กระทรวงการต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ).
  10. 10.0 10.1 เกียรติยศจักรดาว 2564 (PDF). มูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร. p. 57.
  11. "The Army News - กองกำลังเฉพาะกิจร่วม ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ ตอนที่ ๔ กำลังส่วนล่วงหน้าออกเดินทาง".{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  12. ""โกวิท" ส่ง 31 ตร.ไทยไปรักษาสันติภาพในติมอร์". mgronline.com. 2006-10-20.