กบฏผู้มีบุญ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมีนาคม 2444 ถึงมกราคม 2445 มีจุดเริ่มจากที่ผู้สนับสนุนของขบวนการทางศาสนาของ "ผู้มีบุญ" ทำการกบฏติดอาวุธสู้กับอินโดจีนของฝรั่งเศสและสยาม โดยมีจุดประสงค์สถาปนาผู้นำ "องค์แก้ว" เป็นผู้นำของโลก ในปี 2445 การกระด้างกระเดื่องก็ถูกทำให้สงบลงในสยาม แต่ยังคงดำเนินต่อไปในอินโดจีนของฝรั่งเศสจนกระทั่งปี 2446 จึงถูกกำราบสิ้นซาก

กบฏผู้มีบุญ

พวกกบฏผู้มีบุญหรือผีบุญ เมื่อ พ.ศ. 2444 ซึ่งทหารควบคุมตัวไว้ ณ ทุ่งศรีเมือง เมืองอุบลราชธานี
วันที่มีนาคม 2444 – มกราคม 2445[1]
สถานที่
ลาวของฝรั่งเศสและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม[2]
ผล ฝรั่งเศส-สยามชนะ[2]
คู่สงคราม
 อินโดจีนของฝรั่งเศส
ไทย สยาม (ถึงปี 2445)[1]
ขบวนการผู้มีบุญ (ผู้ที่แอบอ้างเป็นพระธรรมมิกราช)[2]
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
อินโดจีนของฝรั่งเศส ปอล ดูแมร์
ไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]
องค์แก้ว  
องค์มั่น
องค์กมมะดำ [1]
กำลัง
มากกว่า 500 คน
ปืนใหญ่ 2 กระบอก[1]
4,000 คน[1]
ความสูญเสีย
เสียชีวิตมากกว่า 54 คน[1] เสียชีวิตมากกว่า 450 คน
บาดเจ็บมากกว่า 150 คน
ถูกจับกุมมากกว่า 400 คน[1]

เบื้องหลัง

แก้

ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล สยามยังคงปกครองแบบหัวเมือง โดยแบ่งเขตการปกครอง 4 แบบ ได้แก่ ราชธานีและเมืองรอบ ๆ เมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวง และเมืองประเทศราช

สยามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ในช่วงปี พ.ศ. 2369 - พ.ศ. 2371 จึงปกครองลาวใต้ และรวบรวมอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ มาเป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง ส่วนขุนนางลาวที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้ากรุงสยาม ก็จะทำหน้าที่ดูแลประชาชนลาว รวมถึงชาวอาลัก และชาวละเว็น

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวที่มีจำนวนมากกว่า มักโจมตีชนกลุ่มที่อ่อนแอกว่า เพื่อลักพาตัวไปขายเป็นทาสเมืองจำปาศักดิ์ และทาสเหล่านี้จะถูกส่งไปที่เมืองพนมเปญกับกรุงเทพ โดยคนขายกับคนกลางสามารถสร้างกำไรได้มหาศาล

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 เพื่อแก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ โดยให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุได้ 20 ปี เมื่ออายุได้ 21 ปี ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ มีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา และห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก ทำให้แหล่งค้าทาสได้รับผลกระทบในทันที

เมื่อปี พ.ศ. 2426 ฝรั่งเศสพยายามขยายอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงใช้สนธิสัญญาเว้ อ้างสิทธิ์ในดินแดนเวียดนามทั้งหมด โดยทหารฝรั่งเศสค่อย ๆ ยึดที่ราบสูงกอนตูม และขับไล่ชาวสยามออกจากลาวหลังเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ก่อให้เกิดเขตชายแดนบริเวณแม่โขง แต่พื้นที่นั้นไม่มีทหารสยามอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นจึงสร้างที่หลบภัย

สยามยกเลิกการเก็บบรรณาการจากเมืองประเทศราชเมื่อปี พ.ศ. 2442 โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบการจัดเก็บภาษีอากรโดยรัฐบาล ทำให้ข้าราชการลาวหมดอำนาจหน้าที่ลง จึงนำไปสู่การก่อกบฏโดยขุนนางชาวลาวและชาวอาข่า[3]

การสู้รบ

แก้

เมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2444 ข้าหลวงฝรั่งเศสประจำเมืองสาละวัน สั่งให้จัดหมู่ทหารกองหนุนเพื่อสำรวจประชาชนที่รวมตัวที่ภูกาด โดยมีองค์แก้วเป็นแกนนำ

องค์แก้วรวบรวมชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวอาลัก ชาวเซดัง (เวียดนาม: Xê Đăng) ชาวละเว็น และชาวญาเฮือน โดยชนกลุ่มเหล่านี้ให้ความเคารพองค์แก้วเสมือนพระโพธิสัตว์ และก่อกบฏผู้มีบุญในที่สุด

ชาวอาข่า 1,500 คนซุ่มโจมตีทหารลาดตระเวนขอบฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 12 เมษายน ทางข้าหลวงจึงหนีกลับเมืองสาละวัน แต่ทว่าข่าวสารการกบฏ ก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว

กบฏชาวเซดังโจมตีด่านหน้าของฝรั่งเศส ซึ่งอยู่นอกเมืองกอนตูมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม เป็นเหตุให้ผู้บัญชาการทหารประจำด่านดังกล่าวเสียชีวิต[1][2][4]

หมอดูส่วนใหญ่ทำนายว่ากบฏผู้มีบุญจะเคลื่อนตัวมาทางตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2444 และผู้มีบุญ (องค์แก้ว) จะเป็นผู้นำของโลก

ชาวบ้านเชื่อว่าองค์แก้วสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ จึงให้ชาวบ้านไปเก็บหิน ทั้งยังฆ่าสัตว์เพื่อมาทำพิธีสังเวย

แกนนำชาวลาวหลายคนที่จงรักภักดีต่อองค์แก้ว ทำการเผาเมืองตามแนวแม่น้ำเซโดนเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2444

ข่าวกบฏผู้มีบุญแพร่กระจายถึงสยามหลังจากที่นักองค์แบนประกาศว่าเขาคือผู้มีบุญเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2445 จากนั้นองค์แบนจึงรวบรวมทหารเพื่อบุกโจมตีเมืองเขมราฐ ซึ่งเป็นเมืองของสยาม ณ เวลานั้น

ทหารนักองค์แบนสังหารข้าราชการสองคน และยังลักพาตัวผู้ว่าราชการจังหวัดไป ทั้งยังปล้นและเผาเมือง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์จึงส่งทหาร 400 นายไปยังเมืองสุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร และอุบลราชธานี

ในขณะนั้นเอง นักองค์แบนได้ทำการรวบรวมผู้ติดตาม 1,000 คน ตั้งค่ายที่บ้านสะพือ และซุ่มโจมตีทหารสยาม 9 นายเสียชีวิต ทำให้นักองค์แบนมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอีก 1,500 คน เขาจึงจัดทหารกองร้อย พร้อมปืนใหญ่ 2 กระบอก

เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2445 ทหารสยามซุ่มโจมตีแนวกบฎนอกเมืองอุบล สามารถฆ่าได้ 300 คนและจับตัวได้อีก 400 คน แต่การที่กบฏสู้รบแบบกองโจร ทำให้มีผู้รอดชีวิตที่หนีไปลาว[1]

ชาวบ้านบุกล้อมกองเสบียงในช่วงปลายเดือนเมษายน ที่เมืองสะหวันนะเขต ส่งผลให้กบฏ 150 คนถูกฆ่าและอีก 150 คนได้รับบาดเจ็บ กลุ่มกบฏจึงย้ายไปยังภูหลวง และเลิกก่อกบฏเมื่อปีพ.ศ. 2448, ย้ายไปยังบ้านหนองบกเก่า และฆ่าล้างชาวละเว็นในเวลาต่อมา

ฝรั่งเศสจึงบีบบังคับให้องค์แก้วยอมแพ้ องค์แก้วจึงหลบหนีเข้าสยาม หนีผ่านที่ราบสูงบ่อละเว็นด้วยความกระเสือกกระสน แต่ฟองด์เลอร์ (Fendler) ใช้ปืนพกไทยประดิษฐ์ที่ซ่อนไว้ใต้หมวก ลอบสังหารองค์แก้วในช่วงเจรจาสงบศึกเมื่อปีพ.ศ. 2453

การกบฏจบลงเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2479 เนื่องจากองค์คมดำ (Ong Kommandam) ข้าราชการในองค์แก้วซึ่งเป็นผู้สั่งการกบฏ ถูกยิงเสียชีวิต นับเป็นจุดสิ้นสุดของการกบฏในครั้งนี้[1][2]

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 John B. Murdoch (1971). "THE 1901–1902 "HOLY MAN'S" REBELLION" (PDF). Journal of the Siam Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-07-13. สืบค้นเมื่อ 27 July 2015.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 Craig J. Reynolds. "The Concept of Peasant Revolt in Southeast Asia". University of Sydney eScholarship Journals. สืบค้นเมื่อ 21 August 2015.
  3. Murdoch, John B. (1974). "The 1901-1902 "Holy Man's Rebellion"" (PDF). Journal of the Siam Society. Siam Heritage Trust. JSS Vol.62.1 (digital): image 3. สืบค้นเมื่อ April 2, 2013. 8) "Kha" is the common, though somewhat pejorative, term used for the Austroasiatic tribal people of Northeast Thailand, Laos, and Viet-nam. I use it here because it is common parlance in the literature and for lack of a better term.
  4. Martin Stuart-Fox (30 January 2006). "Buddhism and politics in Laos, Cambodia, Myanmar and Thailand" (PDF). ANU College of Asia & the Pacific. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-02-17. สืบค้นเมื่อ 21 August 2015.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง

แก้

เว็บไซต์

แก้

21°02′00″N 105°51′00″E / 21.0333°N 105.8500°E / 21.0333; 105.8500