เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2016

เอฟเอคัพรอบชิงชนะเลิศปี 2016 เป็นรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 135 ของเอฟเอคัพ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดที่สหราชอาณาจักรทางช่อง บีบีซี วัน และ บีที สปอร์ต เป็นการพบกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พบกับ คริสตัล พาเลซ ทีมชนะเลิศจะได้สิทธิ์ลงแข่งขัน เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 2016 และรอบแบ่งกลุ่มของ ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2016–17[2] ถ้ากรณีทีมชนะเลิศได้คุณสมบัติเหมาะสมผ่านเข้าไปเล่นการแข่งขันระดับสโมสรยุโรปซึ่งจะมีผลโดยตรงต่ออันดับใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16, พื้นที่รอบแบ่งกลุ่มจะถูกจัดสรรให้อยู่ในพื้นที่สูงที่สุดถ้าทีมจากพรีเมียร์ลีกไม่ผ่านการรับรองสำหรับฟุตบอลยุโรปตั้งแต่รองชนะเลิศเอฟเอคัพก็จะไม่ได้รับพื้นที่ดังต่อไปนี้จากการเปลี่ยนแปลงในกฏของยูฟ่า[3] โดยทีมที่ชนะในปีนี้คือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2016
รายการเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2015–16
หลังต่อเวลาพิเศษ
วันที่21 พฤษภาคม ค.ศ. 2016
สนามสนามกีฬาเวมบลีย์, ลอนดอน
ผู้เล่นยอดเยี่ยม
ประจำนัด
เวย์น รูนีย์ (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)[1]
ผู้ตัดสินมาร์ค แคลตเทนเบิร์ก
ผู้ชม88,619 คน
2015
2017

ภูมิหลัง แก้

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศกับสถิติ ชนะ 11 ครั้งจากการเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ 18 ครั้ง, ตามหลังหนึ่งครั้งในแต่ละสถิติต่อ อาร์เซนอล[4] ยูไนเต็ดได้ลงสนามครั้งล่าสุดกับรอบชิงชนะเลิศเกิดขึ้นใน ปี ค.ศ. 2007, ครั้งแรกที่เวมบลีย์แห่งใหม่, โดยพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 1–0 หลังต่อเวลาพิเศษกับ เชลซี ชัยชนะหนสุดท้ายของพวกเขาในรายการนี้เกิดขึ้นใน ปี ค.ศ. 2004, ชนะ 3–0 กับ มิลล์วอลล์ ที่ มิลเลนเนียมสเตเดียม เมืองคาร์ดิฟฟ์.[4] นัดชิงชนะเลิศครั้งที่แล้วเท่านั้นของคริสตัลพาเลซในนัดดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1990, ซึ่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังจบนัดแข่งใหม่

เส้นทางสู่นัดชิงชนะเลิศ แก้

คริสตัล พาเลซ แก้

รอบ คู่แข่งขัน ผล
3 เซาแทมป์ตัน (a) 1–2
4 สโตก ซิตี (h) 1–0
5 ทอตนัม ฮอตสเปอร์ (a) 0–1
รอบก่อนรองชนะเลิศ เรดิง (a) 0–2
รอบรองชนะเลิศ วอตฟอร์ด (n) 2–1
ความหมาย: (h) = สนามทีมเหย้า; (a) = สนามทีมเยือน; (n) = สนามเป็นกลาง.

ทีมจากพรีเมียร์ลีก, คริสตัล พาเลซ เริ่มต้นในรอบสาม พวกเขาถูกจับสลากโดยไปเยือนทีมเพื่อนร่วมพรีเมียร์ลีก เซาแทมป์ตัน ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม เมื่อวันที่ 9 มกราคม, คริสตัล พาเลซ ชนะ 2–1 จากการทำประตูของ โจเอล วอร์ด และ วีลฟรีด ซาอา และอีกด้านหนึ่งจากการทำประตูตีตื้นขึ้นมาของ ออรีโอล โรเมว[5]

ในรอบสี่, พวกเขาได้เป็นเข้าบ้านพบกับทีมอื่นที่มีรูปแบบแตกต่างจากทีมระดับสูงอย่าง สโตก ซิตี ที่สนาม เซลเฮิสต์พาร์ก, และ ซาอา เป็นผู้ทำประตูเดียวเท่านั้นในเกมนัดนี้[6] สำหรับสามรอบติดต่อนกัที่พวกเขาได้เจอคู่แข่งขันเป็นรูปแบบทีมจากพรีเมียร์ลีกอย่าง ทอตนัม ฮอตสเปอร์ ในรอบที่ห้าเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่สนาม ไวต์ฮาร์ตเลน, คริสตัล พาเลซ ชนะจากการทำประจูเดียวเท่านั้นของ มาร์ติน เคลลี ตั้งแต่ก่อนหมดครึ่งเวลาแรกทำให้ผ่านทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995[7]

แต่นั่น, พวกเขาได้มีเกมนัดแรกของพวกเขาในการพบกับทีมที่อยู่ในดิวิชันที่ต่ำกว่า, คือการเผชิญหน้ากับทีมจาก ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป เรดิง ที่สนาม มาเดจสกี สเตเดียม. ชัยชนะ 2–0 จาก ยออาน กาบาย และ เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ ใส่ชื่อพวกเขาเข้าสู่รอบสี่ทีมสุดท้ายต่อไป, อีกครั้งสำหรับครั้งแรกใน 21 ปี[8] เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่สนาม เวมบลีย์, พาเลซ เผชิญหน้ากับ วอตฟอร์ด โดยเหมือนกับย้อนรอยของ ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป 2013 เพลย์ออฟ นัดชิงชนะเลิศ พวกเขาขึ้นนำไปก่อนจาก ยันนิค โบลาซี, และ วอตฟอร์ด ตามตีเสมอได้สำเร็จจากการเปิดลูกเตะมุมของ โคเซ มานูเอล คูราโด เปิดไปเข้าหัวของ ทรอย ดีนีย์. ในนาทีที่ 61, พาเลซ ค้นหาประตูชัยของพวกเขาได้สำเร็จจาก คอนเนอร์ วิคแฮม ซึ่งมาจากลูกโหม่งโดย ปาเป โซอูอาเร เป็นคนครอสบอลมาจากทางริมเส้น[9]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แก้

รอบ คู่แข่งขัน ผล
3 เชฟฟีลด์ ยูไนเต็ด (h) 1–0
4 ดาร์บี เคาน์ตี (a) 1–3
5 ชรูว์สบิวรี ทาวน์ (a) 0–3
รอบก่อนรองชนะเลิศ
รีเพลย์
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (h)
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (a)
1–1
1–2
รอบรองชนะเลิศ เอฟเวอร์ตัน (n) 1–2
ความหมาย: (h) = สนามทีมเหย้า; (a) = สนามทีมเยือน; (n) = สนามเป็นกลาง.

ทีมจาก พรีเมียร์ลีก, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เข้าสู่รอบที่สาม, เป็นเจ้าบ้านในการพบกับ เชฟฟีลด์ ยูไนเต็ด จาก ลีกวัน ที่สนาม โอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2016 พวกเขาได้รับโอกาสยิงเข้ากรอบครั้งแรกของพวกเขาผ่านตัวสำรอง แม็มฟิส เดอไป, ผู้ที่ทำฟาวล์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บโดย ดีน แฮมมอนด์ สำหรับ การยิงลูกโทษ โดยเป็นทาง เวย์น รูนีย์ เป็นผู้ทำประตูเดียวเท่านั้นกับโอกาสยิงตรงกรอบอื่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นของยูไนเต็ดในเกมนัดนี้. ผู้จัดการทีม ลูวี ฟัน คาล ตกอยู่ภายใต้ความกดดันสำหรับฟอร์มอันย่ำแย่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อนที่จะมีการแข่งขัน, และชัยชนะถูกเปรียบเทียบถึงครั้งหนึ่งในการแข่งขันเดียวกันในปี ค.ศ. 1990, ซึ่งมาจากการทำประตูโดย มาร์ก โรบินส์ ตามรายงานดังกล่าวซึ่งถือเป็นการช่วยชีวิตการคุมทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน[10]

ยี่สิบวันต่อมาในรอบต่อไป, ยูไนเต็ดต้องเดินทางไปที่สนาม ไพรด์ พาร์ก จะลงเล่นกับ ดาร์บี เคาน์ตี, ซึ่งตั้งอยู่ใน แชมเปียนชิป รูนีย์เบิกประตูแรกจากนอกกรอบเขตโทษ, แต่ จอร์จ ธอร์น ก็เป็นผู้ซัดให้ทีมตีเสมอ. ในครึ่งเวลาหลัง, ยูไนเต็ดทำประตูหนีห่างออกไปโดย เดลีย์ บลินด์ และ ควน มาตา ซึ่งได้ทำให้ความกดดันของฟัน คาล ผ่อนคลายออกไปได้; มันเป็ครั้งแรกในรอบ 15 เกมนั้นที่ทีมชนะโดยมากกว่าหนึ่งประตูขึ้นไป[11]

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์, ยูไนเต็ด ลงเล่นรอบที่ห้าโดยออกไปเยือนทีมที่ดิ้นรนจากลีกวัน ชรูว์สบิวรี ทาวน์. คริส สมอลลิง เป็นผู้เปิดประตูแรก, และมาตาซัดเบิ้ลช่วยเพิ่มความได้เปรียบในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งเวลาแรก เจสซี ลินการ์ด เป็นผู้ซัดยืนยันให้ทีมชนะ 3–0 ด้วยเวลาเหลือครึ่งชั่วโมงที่ลงเล่น; ในขั้นตอนปิดท้าย ยูไนเต็ดได้เล่นกับสิบคนเท่านั้นเมื่อ วิลล์ คีน เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีตัวสำรองทดแทนได้อยู่[12]

ยูไนเต็ดได้ลงสนามเป็นเจ้าภาพในรอบที่หกของพวกเขาพบกับคู่แข่งขันที่เป็นทีมระดับสูงสุดของพรีเมียร์ลีก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนจากลูกฟรีคิกโดย ดีมีทรี ปาแย็ต, และเจ็ดนาทีเท่านั้นที่เหลืออยู่เมื่อทางเจ้าบ้านเป็นฝ่ายไล่ตีเสมอได้สำเร็จจากการจบสกอร์ระยะใกล้ของ อ็องตอนี มาร์ซียาล[13] หนึ่งเดือนต่อมา, เกมนัดรีเพลย์, เอฟเอคัพนัดชี้ชะตาที่สนาม บุลินกราวนด์ ความมานะพยายามของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นผูทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ขึ้นนำในครึ่งเวลาหลัง, และนำห่างอีกครั้งโดย มารวน แฟลายนี. เวสต์แฮมมายิงประตูตีตื้นได้สำเร็จหลังจากที่ลูกโหม่งของ เจมส์ ทอมกินส์ เข้าซุกก้นตาข่ายผ่านมือ ดาบิด เด เคอา แต่ก็สายเกินไป และพวกเขายังได้ข่มขู่อีกว่าขอแค่ผลเสมอแต่ก็ไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ[14]

เมื่อวันที่ 23 เมษายน, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ออกเดินทางไปที่ เวมบลีย์ ที่จะเล่น เอฟเวอร์ตัน ในรอบรองชนะเลิศ. มาร์ซียาลจ่ายบอลให้แฟลายนีเปิดสกอร์แรกในการพบกับอดีตทีมเก่าของเขา, ให้ทีมขึ้นนำจนหมดครึ่งเวลาแรก หลังจากพักเบรก, ลูกโทษที่ได้รับเมื่อ ติโมที โฟซู-เมนซาห์ ทำฟาวล์ใส่ รอสส์ บาร์กลีย์, แต่ เด เคอา เซฟลูกโทษได้หลังจากที่ โรเมลู ลูกากู ซัดพลาดไป เอฟเวอร์ตันมาได้จุดเปลี่ยนสำคัญจาก ฌาราร์ต เด็วลูเฟ็ว เป็นผู้โยนครอสไปให้สมอลลิงสกัดพลาดเข้าประตูตัวเองเป็นประตูยกระดับให้ทีมกลับมาได้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ, อันเดร์ เอร์เรรา เซ็ตบอลขึ้นหน้าให้ มาร์ซียาล ซัดประตูชัยให้ทีมเป็นผู้ชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ[15]

การจัดสรรตั๋วเข้าชม แก้

แต่ละสโมสรจะได้รับการจัดสรรตั๋วเข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 28,780 ใบ นี่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฤดูกาลก่อนหน้านี้จาก 71% ของที่นั่งที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สนับสนุนทีมของทั้งสองทีมถึง 80%. ราคาตั๋วเข้าชมทั้งหมดก็จะลดลงเหลือละ 5 ปอนด์[16]

เหตุการณ์ก่อนการแข่งขัน แก้

การแข่งขัน แก้

รายละเอียด แก้

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คริสตัล พาเลซ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
GK 13   เวย์น เฮนเนสซีย์
RB 2   โจเอล วาร์ด
CB 6   สกอตต์ แดนน์   47'   90+4'
CB 27   ดามีเอิน เดลาเนย์   62'
LB 23   ปาเป โซอูอาเร
CM 15   มีเล เจดินัค
CM 18   เจมส์ แม็คอาร์เทอร์   108'
RW 11   วีลฟรีด ซาอา
AM 7   ยออาน กาบาย   72'
LW 10   ยานนิค โบลาซี
CF 21   คอนนอร์ วิคแฮม   86'
ตัวสำรอง:
GK 1   จูเลียน สเปียโรนี
DF 3   อาเดรียนร มารีอัปปา   90+4'
DF 34   มาร์ติน เคลลี
MF 26   บาคารี ซาโค
MF 42   เจสัน พันเชียน   72'
FW 16   ดไวท์ เกย์เล   86'
FW 25   เอ็มมานูเอล อาเดบายอร์
ผู้จัดการทีม:
  อลัน พาร์ดิว
 
GK 1   ดาบิด เด เคอา
RB 25   อันโตเนียว บาเลนเซีย
CB 12   คริส สมอลลิง   18'   105'
CB 17   เดลีย์ บลินด์
LB 5   มาร์โกส โรโค   40'   66'
CM 16   ไมเคิล แคร์ริก
CM 10   เวย์น รูนีย์   87'
RW 8   ควน มาตา   45'   90'
AM 27   มารวน แฟลายนี   101'
LW 9   อ็องตอนี มาร์ซียาล
CF 39   มาร์คัส แรชฟอร์ด   72'
ตัวสำรอง:
GK 20   เซร์คีโอ โรเมโร
DF 4   ฟิล โจนส์
DF 36   มัตเตโอ ดาร์มีอัน   66'
MF 18   แอชลีย์ ยัง   72'
MF 21   อันเดร์ เอร์เรรา
MF 28   มอร์แกน ชเนแดร์แล็ง
MF 35   เจสซี ลินการ์ด   111'   90'
ผู้จัดการทีม:
  ลูวี ฟัน คาล

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. McNulty, Phil (21 พฤษภาคม ค.ศ. 2016). "Crystal Palace 1-2 Manchester United". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  2. UEFA Europa League. "2016/17 UEFA Europa League access list". UEFA. สืบค้นเมื่อ 2016-04-24.
  3. "Strategic talks in Dubrovnik". UEFA. สืบค้นเมื่อ 2016-04-24.
  4. 4.0 4.1 "England FA Challenge Cup Finals". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. "Southampton 1-2 Crystal Palace". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. "Crystal Palace 1-0 Stoke City". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. "Tottenham Hotspur 0-1 Crystal Palace". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  8. "Reading 0-2 Crystal Palace". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  9. Johnston, Neil (24 เมษายน ค.ศ. 2016). "Crystal Palace 2-1 Watford". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 26 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  10. Rose, Gary (9 มกราคม ค.ศ. 2016). "Manchester United 1-0 Sheffield United". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  11. Magowan, Alistair (29 มกราคม ค.ศ. 2016). "Derby County 1-3 Manchester United". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  12. McNulty, Phil (22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016). "Shrewsbury Town 0-3 Manchester United". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  13. McNulty, Phil (13 มีนาคม ค.ศ. 2016). "Manchester United 1-1 West Ham United". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  14. McNulty, Phil (13 เมษายน ค.ศ. 2016). "West Ham United 1-2 Manchester United". บีบีซี สปอร์ต. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  15. Wilson, Paul (23 เมษายน ค.ศ. 2016). "Anthony Martial takes Manchester United past Everton to final at the last". The Observer. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2016. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  16. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ FA Final details