วัดนางนองวรวิหาร
วัดนางนองวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
วัดนางนองวรวิหาร | |
---|---|
![]() วัดนางนองวรวิหาร | |
![]() | |
ที่ตั้ง | เลขที่ 76 ถนนวุฒากาศ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 10150 |
ประเภท | พระอารามหลวงชั้นตรี |
นิกาย | มหานิกาย |
![]() |
ประวัติ
แก้วัดนางนองวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่แห่งนี้ไม่ปรากฏหลักฐานของการสร้าง แต่สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา ประมาณสมัยพระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) [1] ราวปี (พ.ศ. 2245–2252) ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2375 ได้โปรดให้ทำเป็นงานใหญ่ รื้อของเก่า และปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอารามดังปรากฏงานศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในพระองค์ที่พระอุโบสถและพระวิหารคู่ และเพราะในแขวงบางนางนอง เดิมเป็นนิวาสถานของสมเด็จพระศรีสุลาลัย หรือเจ้าจอมมารดาเรียม พระราชชนนี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาตระกูลของสมเด็จพระศรีสุลาลัย ย้ายข้ามฟากไปอยู่บริเวณวัดหนัง จึงทรงบูรณะวัดนางนอง เนื่องในสมเด็จพระราชมารดาที่ว่าศิลปแบบพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นศิลปกรรมที่เลียนแบบศิลปะจีน การบูรณปฏิสังขรณ์ใช้เวลาหลายปีจึงแล้วเสร็จได้สถาปนาเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาพระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. 2384[2]
ศิลปกรรม
แก้พระอุโบสถ
แก้พระอุโบสถวัดนางนองเป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเปนศิลปะไทยผสมจีนมีขนาดและรูปแบบใกล้เคียงพระอุโบสถวัดราชโอรสาราม หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูนไม่มีเครื่องลำยอง คือ ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ใช้เสาเหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ในการรับน้ำหนักหลังคา ไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย มีการขยายส่วนด้านหน้าเรียกว่าเฉลียง และด้านข้างโดยรอบ เรียกว่า พาไล และใช้เสาเฉลียงและพาไลที่เป็นเสาสี่เหลี่ยมทึบตันทำหน้าที่รับน้ำหนักหลังคากันสาดที่คลุมรอบอาคารทั้งหมด และมีระเบียงสามารถเดินได้โดยรอบอาคาร ฐานของพระอุโบสถยกสูงกว่าพระอุโบสถวัดราชโอรสเป็นชุดฐานสิงห์และชุดบัวคว่ำ-บัวหงาย รอบพระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมรอบมีซุ้มสีมาประดับบนกำแพงแก้ว[3] ภายในพระอุโบสถ ผนังด้านบนเขียนภาพจิตรกรรมพุทธประวัติตอนโปรดพญาชมพูบดี ผนังด้านล่างระหว่างหน้าต่างเขียนเป็นลายกำมะลอเรื่องสามก๊ก
หน้าบัน
แก้หน้าบันพระอุโบสถเป็นหน้าบันแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือก่ออิฐถือปูน มี 2 ชั้น ซึ่งเป็นกลุ่มของหน้าบันแบบพระราชนิยม ที่รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาหรืออุปถัมภ์ ตัวอย่างวัดที่มีหน้าบันแบบพระราชนิยมที่มี 2 ชั้น เช่น วัดราชโอรสาราม วัดเศวตฉัตร วัดเทพธิดาราม โดยลักษณะลวดลายบนหน้าบันวัดนางนอง เป็นการประดับกระเบื้องเคลือบผูกลายเป็นกลุ่มดอกไม้จำพวกดอกโบตั๋น ประกอบด้วยดอกตรงกลางเป็นประธานอาจมีดอกเดียวหรือหลายดอก ล้อมรอบด้วยดอกไม้เล็กๆ มีก้านและใบประกอบกันดูเป็นกลุ่มๆ ประดับเต็มพื้นที่ และเรียงในแนวเฉียงสลับกัน คล้ายระเบียงของลายก้านแย่งแต่ไม่มีก้านและใบมาเชื่อมต่อกัน สีของดอกไม้อยู่ในโทนสีแดง ม่วง น้ำเงิน ส่วนใบเป็นสีเขียว[4]
พระพุทธมหาจักรพรรดิ
แก้เป็นพระประธานในพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ ปางมารวิชัย หรือปางโปรดพญาชมพูบดี หล่อด้วยสำริด ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 2.25 เมตร สันนิษฐานว่าหล่อขึ้นในปี พ.ศ. 2384 ในคราวการสถาปนาวัดนางนองขึ้นใหม่ ลักษณะของพระมหาจักรพรรดิ คือ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิหรือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ มีเครื่องประดับทั้งองค์ ได้แก่ มงกุฏทรงสูง กุณฑล กรองศอ สังวาล ทับทรวง พาหุรัด ทองพระกอร และทองพระบาท ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ในสมัยอยุธยาตอนปลายตัวอย่างเช่น พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ แต่พระพุทธมหาจักรพรรดิจะมีการประดับเครื่องทรงที่มากกว่า ส่วนลักษณะทางพุทธศิลป์อื่นๆ เป็นพุทธศิลป์ตามแบบของพระพุทธรูปในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ มีพระพักตร์อย่างหุ่น มีพระโอษฐ์นิ่งคล้ายเรือมาด มงกุฏของพระพุทธมหาจักรพรรดิมีเรื่องเล่าขานกล่าวว่ามงกุฎองค์เดิมได้อัญเชิญไปประดิษฐานบนยอดนภศูลบนยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม และได้โปรดเกล้าฯ สร้างถวายใหม่[5] เนื่องจากพระพุทธมหาจักรพรรดิเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่มีความสวยงามมากที่สุดในรัตนโกสินทร์
เจดีย์ประธาน
แก้เจดีย์ประธานตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ นอกกำแพงแก้ว ตั้งอยู่ระหว่างพระวิหารคู่ เป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบรัตนโกสินทร์ อยู่ในผังย่อมุมไม้ยี่สิบ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด แต่เป็นรูปแบบเจดีย์ที่นิยมสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์ทรงเครื่องในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะ คือ มีฐานเป็นชุดฐานสิงห์ 3 ฐาน ต่อด้วยบัวคลุ่มรองรับรองรับองค์ระฆัง ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังและบัลลังก์ องค์ระฆังประดับบัวคอเสื้อ ซึ่งตั้งแต่ฐานถึงบัลลังก์อยู่ในผังย่อมุมไม้ยี่สิบซึ่งแตกต่างจากเจดีย์ทรงเครื่องอยุธยาที่บัวคลุ่มรอบรับองค์ระฆังจะอยู่ในผังกลม ถัดจากบัลลังก์เป็นก้านฉัตร ประดับเสาหาน บัวฝาละมี และบัวคลุ่มเถา 11 ชั้น ซึ่งบัวคลุ่มเถาได้พัฒนามาจากปล้องไฉนในเจดีย์ทรงระฆัง และเป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์ทรงเครื่อง ถัดขึ้นไปเป็นปลี ประดับยอดสุดด้วยเม็ดน้ำค้าง โดยลักษณะเจดีย์ประธานวัดนางนองนี้มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-3 ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม รวมทั้งรูปแบบผังที่เหมือนกัน คือมีพระอุโบสถเป็นประธาน ถัดมาเป็นเจดีย์ประธานที่คั่นอยู่ระหว่างพระวิหาร 2 ข้างในผังสมมาตร จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่าสร้างในสมัยเดียวกัน[6]
พระวิหาร
แก้พระวิหารของวัดนางนองมี 2 หลัง ตั้งอยู่ในแนวทิศเหนือ - ใต้ คั่นกลางโดยเจดีย์ประธาน ทำให้ผังของวัดนางนองมีความสมมาตร คล้ายกับผังของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระวิหารทิศเหนือ
แก้พระวิหารทิศเหนือ มีอีกชื่อว่า วิหารหลวงพ่อผุด สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถก่อนการสถาปนาใหม่ทั้งอาราม ตัวอาคารเป็นศิลปะแบบพระราชนิยมคล้ายกับพระอุโบสถแต่มีขนาดเล็กกว่า มีระเบียงโดยรอบ ใช้เสารับน้ำหนักทรงเหลี่ยมตันรอบอาคาร ไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย มีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้งอาคารซุ้มประตูกำแพงแก้วเป็นซุ้มประตูทรงตะวันตกแต่วงกบประตูเป็นรูปวงกลมแบบศิลปะจีน มีเจดีย์ทรงเครื่องตั้งอยู่ด้านหน้าและมีเจดีย์ทรงปรางค์ตั้งอยู่ด้านหลัง หน้าบันของพระวิหารทิศเหนือเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูนแบบเดียวกับพระอุโบสถ มี 2 ชั้น หน้าบันชั้นล่างเป็นรูปทิวทัศน์มีภูเขา ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ หน้าบันชั้นบน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบรูปสัญลักษณ์มงคลและสัตว์มงคลของจีน เช่น มังกร หงส์ พัดจีน ซุ้มประตู-หน้าต่างพระวิหารประดับลวดลายอย่างเทศ ลงรักปิดทอง ภายในประดิษฐานพระประธาน ชาวบ้านขนานนามว่า หลวงพ่อผาด เบื้องหน้าหลวงพ่อผาดประดิษฐานหลวงพ่อผุด ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหินทรายศิลปะอยุธยามีเรื่องเล่าขานว่าพบหลวงพ่อผุดจมดินอยู่ต่อมามีสายฟ้าผ่าลงมาจึงทำให้ดินแยกออกจนพบพระพุทธรูป จึงได้ตั้งชื่อว่าหลวงพ่อผุด[7]
พระวิหารทิศใต้
แก้พระวิหารทิศใต้ มีขนาดใกล้เคียงพระวิหารทิศเหนือ แต่เล็กกว่าเล็กน้อย เป็นอาคารศิลปะแบบพระราชนิยม มีกำแพงแก้วล้อมรอบมีมีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้งอาคารซุ้มประตูกำแพงแก้วเป็นซุ้มประตูทรงตะวันตกแต่วงกบประตูเป็นรูปวงกลมแบบศิลปะจีน และด้านหน้าพระวิหารมีเจดีย์ทรงเครื่องด้านหลังมีเจดีย์ทรงปรางค์เหมือนกับพระวิหารทิศเหนือ ตัวอาคารไม่มีระเบียงโดยรอบ มีเพียงมุขด้านหน้า-หลัง เสามุขมีด้านหลัะ 6 ต้น เป็นเสาเหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย หน้าบันมีชั้นเดียวเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ลวดลายหน้าบันประดับด้วยปูนปั้นและกระเบื้องคลือบรูปมังกร 2 ตัวหันหน้าเข้าหากัน ล้อมรอบด้วยก้อนเมฆและสัญลักษณ์มงคลจีน เช่น น้ำเต้า กระบี่ คัมภีร์ ซุ้มประตู-หน้าต่างประดับลวดลายอย่างเทศ ลงรักปิดทอง
เจ้าอาวาส
แก้- พระภาวนาโกศลเถระ นามเดิม รอด (พ.ศ. 2397–2410)
- พระวิสุทธิโสภณ นามเดิม โล้ (พ.ศ. 2410–2433)
- พระสีลาจารพิพัฒน์ (พ.ศ. 2433–2457)
- พระครูสุนทราวาสกิจ (พ.ศ. 2457–2486)
- พระวุฒิญาณมุนี นามเดิม เลื่อน ฉายา ญาณวุฑโฒ (พ.ศ. 2486–2532)
- พระเทพสิทธิเวที นามเดิม สำราญ ฉายา รตนธมฺโม (พ.ศ. 2532–2558)
- พระราชวชิรนายก นามเดิม อั้น ฉายา ปญฺญาสิริ (พ.ศ. 2558–ปัจจุบัน)
อ้างอิง
แก้- ↑ วัดนางนอง วรวิหาร เก็บถาวร 2008-03-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน bangkoktourist.com
- ↑ "ประวัติวัดนางนองวรวิหาร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-30. สืบค้นเมื่อ 2008-04-06.
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 242-243
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 243-244
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 247
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 253
- ↑ ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 253-254