วังท่าพระ
วังท่าพระ หรือ วังล่าง ตั้งอยู่ข้างพระบรมมหาราชวัง ริมถนนหน้าพระลานทางด้านทิศตะวันตก ใกล้ท่าช้างวังหลวง แต่เดิมวังท่าพระนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนี จากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย มาประดิษฐานไว้ ณ วัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อพระพุทธรูปมาถึงประตูท่าช้าง ปรากฏว่าอัญเชิญเข้ามาไม่ได้เนื่องจากองค์พระนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะนำผ่านเข้ามาได้ จึงจำเป็นต้องรื้อทั้งประตูถอนทั้งกำแพงออก จึงได้เรียกขานอดีตท่าเรือนี้แทนว่าท่าพระ วังที่อยู่ใกล้กันนั้นจึงเรียกตามว่า "วังท่าพระ"[1]
วังท่าพระ | |
---|---|
วังล่าง | |
ท้องพระโรง | |
ประเภท | วัง |
ที่ตั้ง | แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร |
สร้างโดย | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |
การใช้งานดั้งเดิม | สถานที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ |
สถานะ | ยังมีอยู่; เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ |
สถาปัตยกรรม | ไทย |
ผู้ดูแล | มหาวิทยาลัยศิลปากร |
ชื่อที่ขึ้นทะเบียน | ท้องพระโรง ตำหนักกลางวังท่าพระ และตำหนักพรรณราย |
ขึ้นเมื่อ | 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 |
เป็นส่วนหนึ่งของ | โบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร |
เลขอ้างอิง | 0000067 |
ประวัติ
แก้เมื่อแรกเริ่ม วังท่าพระเป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อพระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนกษัตรานุชิต หรือ "เจ้าฟ้าเหม็น" ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์ โดยเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฉิมใหญ่ พระราชชายาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนกษัตรานุชิต เสด็จประทับอยู่ ณ วังแห่งนี้จนสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเจ้าจอมมารดาเรียม (สมเด็จพระศรีสุลาไลย) เสด็จประทับจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเสด็จเถลิงถวัลย์ครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้พระราชทานวังนี้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส 3 พระองค์ คือ
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ มีพระชันษาน้อย สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 24 ปี
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม (ต้นราชสกุล "ชุมสาย") เสด็จประทับที่นี่จนสิ้นพระชนม์ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411) เมื่อพระชันษา 53 ปี
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ ทรงกำกับกรมแสงและกรมช่างศิลา สิ้นพระชนม์ที่วังนี้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงพระราชทานต่อให้ไปยังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทับที่วังนี้ จนถึง พ.ศ. 2480 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร จึงได้ทรงซื้อที่ดินตรงริมถนนพระรามที่ 4 คลองเตย สร้างตำหนักเป็นที่ประทับตากอากาศ เรียกว่า ตำหนักปลายเนิน แล้วโปรดประทับที่นั่นตลอดพระชนมายุ
วังท่าพระ เมื่อครั้งเป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรมนั้น วังนี้จัดเป็นที่ทรงงานและงานช่างทุกชนิด รวมทั้งเป็นที่อยู่ของช่างต่าง ๆ อาศัยอยู่ในวังขณะนั้นไม่ต่ำกว่า 200 คน จัดเป็นวังขนาดใหญ่วังหนึ่งทีเดียว แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เสด็จมาประทับ ตำหนักอาคารต่าง ๆ ก็มีสภาพเก่าทรุดโทรม บางแห่งชำรุดผุพังจนไม่อาจใช้สอยได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะจนมีสภาพเหมือนเดิม ส่วนตำหนักที่ประทับนั้นโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ 3 หลัง
ภายหลังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสด็จไปประทับตำหนักปลายเนินแล้ว ทายาทของพระองค์จึงขายวังให้กับทางราชการ และศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้สร้างสถานศึกษาสำหรับวิชาศิลปะตามแบบยุโรปขึ้น ได้ใช้วังนี้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ จวบจนปัจจุบัน
สถาปัตยกรรม
แก้- ประตูและกำแพงวังท่าพระ
กำแพงก่ออิฐถือปูนมีใบเสมาประกอบ กำแพงนี้คาดว่าก่อสร้างพร้อมกับวังท่าพระตั้งแต่สมัยรัชกาลที่1 ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะด้านริมถนนหน้าพระลาน ถือเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร
- ท้องพระโรงและกำแพงแก้ว
ปัจจุบันเป็นหอศิลป์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ลักษณะท้องพระโรงเป็นแบบเรือน 5 ห้อง เฉลียงรอบหันหน้ายาวออกหน้าวัง รูปทรงท้องพระโรงที่ปฏิสังขรณ์ใหม่นั้นภายนอกคงยึดตามแบบที่ปรากฏเมื่อครั้งรัชกาลที่3 แต่ภายในคงไว้แต่เสาเดิม มีบันไดใหญ่เข้าทางด้านหน้าได้ทางเดียว กำแพงนั้นเป็นสถาปัตยกรรมในรัชกาลที่5 มีลูกกรงที่ทำด้วยเหล็กหล่อเป็นลายสวยงาม และได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
- ตำหนักกลางและตำหนักพรรณราย
สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกรุ่นแรก ๆ ในรัชกาลที่5 กล่าวคือเป็นตึกสองชั้น มีเฉลียงหลังหนึ่งหันเข้าหาอีกหลังหนึ่ง ส่วนหลังนอกนั้นอยู่ข้างสวนแก้ว ตึกหลังในที่มีเฉลียงทำเรียบกว่าหลังนอก และมีเสาทึบ หัวเสาเป็นแบบศิลปะโรมัน ช่องคูหาด้านล่างเป็นช่องโค้ง มีการตกแต่งที่ส่วนต่าง ๆ ภายนอกอาคารเล็กน้อย ส่วนตึกหลังนอกมีรูปทรงทึบกว่า มีการตกแต่งผิวหนังโดยการเซาะเป็นร่องในชั้นล่าง ส่วนชั้นบนผนังเรียบ มีเสาติดผนังระหว่างช่องหน้าต่างและประตูต่าง ๆ ด้วยลายปูนปั้นหรือตีตารางไม้ไว้ในช่องแสงเหนือประตูบางส่วน ตึกหลังนอกมีกันสาด มีเท้าแขนรับกันสาดทำอย่างเรียบ ๆ และประดับชายคาด้วยลายฉลุไม้ ตึกหลังในนี้เป็นที่ประทับของพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย พระมารดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดยตำหนักกลางนั้นได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของหอศิลป์และหน่วยงานของมหาวิทยาลัยศิลปากร
- ศาลาในสวนแก้ว
เรียกว่า ศาลาดนตรี เมื่อครั้งรัชกาลที่5 องค์เจ้าของวังเคยประทับที่ศาลานี้เพื่อชมการแสดงหรือประชันดนตรีซึ่งจะตั้งวงกันในสวนแก้ว เพราะในวังท่าพระขณะนั้นมีวงดนตรีประจำวังที่มีชื่อเสียง ศาลาในสวนนี้ทำเป็นศาลาโปร่งมีผนังด้านเดียว หันหน้าเข้าหาสวนแก้ว หลังคาเป็นแบบปั้นหยา มีลายประดับอาคารอย่างละเอียดซับซ้อนกว่าตัวตำหนัก จึงเข้าใจว่าสร้างทีหลัง ลายฉลุไม้ทั้งที่ชายคาท้าวแขนระเบียบทำอย่างประณีตงดงาม
อ้างอิง
แก้ดูเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ วังท่าพระ
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์