การลงคะแนนระบบคู่ขนาน

การลงคะแนนระบบคู่ขนาน (อังกฤษ: parallel voting) เป็นระบบการลงคะแนนแบบผสม ซึ่งผู้ลงคะแนนทำการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาเดียวโดยใช้การลงคะแนนสองระบบ โดยผลของการเลือกตั้งในระบบหนึ่งแทบจะไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผลลัพธ์ของอีกระบบเลย[1]

โดยทั่วไปแล้วการลงคะแนนระบบคู่ขนานหมายถึง ระบบการลงคะแนนแบบกึ่งสัดส่วน (semi-proportional system) ซึ่งใช้ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รัสเซีย และอีกหลายประเทศในโลก โดยในบางกรณีเรียกว่า ระบบสมาชิกเสริม (supplementary member) หรือนักรัฐศาสตร์มักจะนิยามว่า ระบบเสียงข้างมากผสม (mixed member majoritarian) ซึ่งประกอบด้วยการลงคะแนนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) ควบคู่กับระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ (PR) ระบบคู่ขนานนี้มีความแตกต่างจากระบบสัดส่วนผสม (MMP) ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งเดียวนั้นจะได้คะแนนเสียงพรรคเพื่อนำมาคำนวนที่นั่งจากบัญชีรายชื่อซึ่งเพิ่มเติมมาจากที่นั่งจากประเภทแบ่งเขต

โดยทั่วไปในระบบคู่ขนานจะนิยมใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดควบคู่กับระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ แต่การจัดคู่แบบอื่นก็สามารถมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันได้ ตัวอย่างเช่นในอิตาลีและฝรั่งเศส การเลือกตั้งในภูมิภาคนั้นใช้ระบบคู่ขนานทั้งหมดโดยมีผู้แทนกลุ่มหนึ่งมาจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ และส่วนที่เหลือใช้ระบบแบ่งเขตยกพรรค (general ticket) เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งชนะมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภา

วิธีการ

แก้

ในระบบคู่ขนานอันเป็นรูปแบบนึ่งของระบบการลงคะแนนแบบกึ่งสัดส่วน จะมีที่นั่งส่วนหนึ่งในสภาที่มาจากการเลือกตั้งในระบบคะแนนนำแบบแบ่งเขตเขตละคน ส่วนที่เหลือนั้นมาจากระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองจะต้องได้รับคะแนนเสียงถึงโควตาจำนวนหนึ่ง โดยปกติแล้วกำหนดเป็นจำนวนร้อยละไม่มากเพื่อที่จะได้สัดส่วนของที่นั่งจากคะแนนเสียงฝั่งบัญชีรายชื่อโดยคล้ายกับระบบสัดส่วนอื่นๆ ที่นั่งบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองจะได้รับการจัดสรรให้ตามลำดับผู้สมัครในบัญชีรายชื่อ[2]

ต่างจากระบบสัดส่วนผสม ซึ่งพรรคการเมืองจะได้ที่นั่งทั้งหมดในสภาตามสัดส่วนที่ได้จากคะแนนเสียงทั้งหมดจากการลงคะแนน ส่วนในระบบคู่ขนานนั้นจะจำกัดความเป็นสัดส่วนแค่ในบัญชีรายชื่อเท่านั้น ดังนั้น พรรคการเมืองที่สามารถได้คะแนนเสียงร้อยละ 5 จะได้ที่นั่งเพียงแค่จำนวนร้อยละ 5 จากแบบบัญชีรายชื่อ แต่มิใช่ร้อยละ 5 ของที่นั่งทั้งหมดในสภาดั่งกรณีของระบบสัดส่วนผสม

สัดส่วนของที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับที่นั่งทั้งหมดในสภานั้นขึ้นอยู่กับประเทศนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ ร้อยละ 18.7, ไต้หวัน ร้อยละ 37.5, ญี่ปุ่น ร้อยละ 37.5 และอาร์มีเนีย ร้อยละ 68.7[3]

ข้อดีและข้อเสีย

แก้

ทั่วไป

แก้

ในระบบสมาชิกเสริมนี้จะช่วยให้พรรคการเมืองขนาดเล็กที่ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจะสามารถได้ที่นั่งตามสัดส่วนในสภาได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่ใช่ระบบสัดส่วนดังนั้นจำนวนที่นั่งที่ได้รับจะได้น้อยกว่าจำนวนสัดส่วนคะแนนเสียงโดยรวม และยังไม่ทำเอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองขนาดเล็กจนทำให้เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยในสภาดั่งในกรณีของระบบสัดส่วนได้[4]

ข้อวิจารณ์ของการลงคะแนนระบบสัดส่วนนั้นคือทำให้พรรคขนาดใหญ่ที่สุดจะต้องร่วมมือกับพรรคขนาดเล็กจำนวนหลายพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามพรรคการเมืองขนาดเล็กยังคงเสียเปรียบเนื่องจากพรรคขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญ ในประเทศที่มีเพียงพรรคการเมืองใหญ่เป็นหลักเพียงพรรคเดียว และพรรคฝ่ายค้านที่แตกออกเป็นพรรคย่อยนั้น การจัดสรรที่นั่งในระบบสัดส่วนอาจจะจำเป็นในการช่วยให้พรรคฝ่ายค้านมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และเนื่องจากการลงคะแนนนั้นแยกเป็นระหว่างแบ่งเขตเลือกตั้งกับแบบบัญชีรายชื่อ จึงมีโอกาสให้ผู้แทนทั้งสองแบบอยู่ในสภา โดยผู้แทนแบบแบ่งเขตนั้นจะยึดโยงกับเขตของตน ในขณะที่ผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อนั้นจะยึดกับพรรคการเมืองมากกว่า

ข้อวิจารณ์สำคัญของระบบคู่ขนานคือไม่สามารถรับรองความเป็นสัดส่วนของที่นั่งและคะแนนเสียงโดยรวมได้ พรรคการเมืองใหญ่สามารถชนะขาดได้โดยมีเสียงข้างมากในสภาและได้ที่นั่งมากกว่าสัดส่วนคะแนนเสียงโดยรวม ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปในฮังการี ค.ศ. 2014 กลุ่มพรรคการเมืองฟิแด็ส/กาเดแอ็นเปชนะการเลือกตั้งด้วย 133 ที่นั่งจากทั้งหมด 199 ที่นั่งในสภา แต่มีคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 44.87 จากคะแนนเสียงทั้งหมดเท่านั้น พรรคการเมืองขนาดเล็กกว่าอื่น ๆ ซึ่งกลายเป็นฝ่ายค้านเมื่อรวมกันได้คะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 51.7 แต่ได้ที่นั่งไปเพียง 66 ที่นั่งเท่านั้น อีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นกรณีกลับกัน ในการเลือกตั้งทั่วไปในญี่ปุ่น ค.ศ. 2014 ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลพรรคเล็กคือพรรคโคเมได้คะแนนเสียงในเขตเลือกตั้งเพียงร้อยละ 1.45 แต่ได้ที่นั่งในระบบสัดส่วนบัญชีรายชื่อถึงร้อยละ 13.7 โดยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ที่ได้รับนั้นมาจากพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล


เปรียบเทียบกับระบบสัดส่วนผสม

แก้

ระบบคู่ขนานนั้นมักถูกเปรียบเทียบกับระบบสัดส่วนผสมอยู่เสมอ โดยมีทั้งข้อดีและข้อเสียระหว่างทั้งสองระบบ

พรรคการเมืองที่สามารถใช้กลโกงในการแบ่งเขตเลือกตั้ง (gerrymader) สามารถได้จำนวนที่นั่งมากกว่าคะแนนเสียงรวม ดังนั้นในการใช้ระบบผสมจะต้องควบคู่ไปกับกลไกการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างเป็นธรรม (ภายใต้ระบบสัดส่วนผสมนั้นการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไม่เป็นธรรมจะช่วยได้เพียงแค่ผู้สมัครในแบบแบ่งเขตเท่านั้น แต่จะไม่มีผลในการเพิ่มจำนวนที่นั่งรวมของพรรคได้)

ประเทศต่างๆ อาทิเช่น ญี่ปุ่น ไทย และรัสเซีย ล้วนเคยผ่านการใช้งานระบบผสมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองใหญ่ให้แข็งแรงมากขึ้น พรรคการเมืองจะมั่นใจได้ว่าผู้สมัครในลำดับต้นของบัญชีรายชื่อจะได้รับเลือกซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารสำคัญของพรรค ในทางกลับกันภายใต้ระบบสัดส่วนผสมนั้น พรรคการเมืองที่ได้รับที่นั่งในแบบแบ่งเขตมากจะไม่ได้รับการจัดสรรที่นั่งชดเชยเพิ่มขึ้นจึงทำให้ผู้บริหารของพรรคจะต้องลงแข่งขันในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแทน

ระบบคู่ขนานมีโอกาสส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียวมากการในรระบบสัดส่วนผสมซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนได้จากมุมมองของแต่ละฝ่ายการเมือง

การใช้งาน

แก้

ปัจจุบัน

แก้

การลงคะแนนระบบคู่ขนานใช้กันมากในเอเชียและบางประเทศในยุโรป[5]

ประเทศ ที่นั่ง (แบ่งเขต) % ที่นั่ง (สัดส่วน) % ที่นั่ง (อื่น ๆ) %
อันดอร์รา 14 50% 14 50%
รัฐกอร์โดบา (อาร์เจนตินา) 26 37% 44 63%
จอร์เจีย 30 20% 120 80%
กินี 39 34% 76 66%
ฮังการี 106 53% 93 47%
อิตาลี 232 37% 398 (386 คนจากในอิตาลี + 12 คนจากต่างประเทศ) 63%
ญี่ปุ่น 289 62% 176 38%
เกาหลีใต้ 253 84% 47 16%
ลิทัวเนีย 71 50% 70 (70 คนจากในลิทัวเนีย + 1 คนจากต่างประเทศ) 50%
เม็กซิโก 300 60% 200 40%
เนปาล 165 60% 110 40%
รัฐปาเลสไตน์ 132 50% 132 50%
รัสเซีย 225 50% 225[6][7] 50%
เซเนกัล 105 64% 60 36%
เซเชลส์ 25 76% 8 24%
ปากีสถาน 272 80% 70 (60 คนเป็นผู้หญิง + 10 คนจากชนกลุ่มน้อย) 20%
ฟิลิปปินส์ 245 80% 61 20%
รัฐริโอเนโกร (อาร์เจนตินา) 22 48% 24 52%
รัฐซานฆวน (อาร์เจนตินา) 19 53% 17 47%
รัฐซานตากรุซ (อาร์เจนตินา) 14 58% 10 42%
ไต้หวัน 73 65% 34 30% 6 คนสำหรับชาวพื้นเมือง 5%
แทนซาเนีย[8] 264 67% 113 (เฉพาะผู้หญิง) 29% 5 คนจากการเลือกตั้งทางอ้อม + 1 คนจากอัยการสูงสุด + 10 คนเลือกโดยประธานาธิบดี 4%
ไทย 400 80% 100 20%
ยูเครน 225 50% 225 50%
เวเนซุเอลา[9] 113 68% 51 31% 3 คนสำหรับชาวพื้นเมือง 2%
วอยวอดีนา (เซอร์เบีย)

ประเทศที่เคยใช้ระบบนี้ในอดีต

แก้
  • แอลเบเนียเคยใช้ระบบคู่ขนานในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1996 และ ค.ศ. 1997 (ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนผสมตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง ค.ศ. 2005)[10][11]
  • บัลแกเรีย (ค.ศ. 1990 และ ค.ศ. 2009)
  • โครเอเชีย (ค.ศ. 1993–2001)
  • อิตาลี (ค.ศ. 1993–2005) โดยมีการปรับเปลี่ยน ต่อมาในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2018 ทั้งสองสภาใช้การเลือกตั้งแบบระบบคู่ขนาน โดยมีที่นั่งจำนวนร้อยละ 62.5 จัดสรรมาจากบัญชีรายชื่อ โดยบัญชีรายชื่อยังเกี่ยวพันกับผู้สมัครในเขตเลือกตั้งซึ่งมีที่นั่งอีกร้อยละ 37.5 ซึ่งมาจากการลงคะแนนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด โดยผู้ลงคะแนนมีเพียงคะแนนเสียงเดียวซึ่งใช้เลือกทั้งสองแบบ (แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อพร้อมกัน)
  • อียิปต์ (ค.ศ. 2020)
  • เกาหลีใต้ ใช้ระบบคู่ขนานในระหว่าง ค.ศ. 1988–2019 ตั้งแต่ ค.ศ. 2019 เป็นต้นมาเปลี่ยนไปใช้ระบบผสมระหว่างระบบคู่ขนานกับระบบสัดส่วนผสม โดยมีทั้งที่นั่งชดเชย (30 ที่นั่ง) และที่นั่งเสริม (17 ที่นั่ง)

อ้างอิง

แก้
  1. เรย์โนลด์ส, แอนดรูว์, ไรลี, เบน, เอลลิส, แอนดรูว์. "การออกแบบระบบเลือกตั้ง:คู่มือเล่มใหม่ของ International IDEA" (PDF). สถาบันสิทธิ์มนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 16 June 2021.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  2. Royal Commission on Electoral Systems (1986), Report of the Royal Commission on the Electoral System: towards a better democracy, Wellington N.Z.: Government Printing, pg. 33.
  3. Reynolds et al (2008), Electoral System Design: The New International IDEA Handbook, Sweden: International Institute for Democracy and Electoral Assistance, pg. 104
  4. Reynolds et al (2008), Electoral System Design: The New International IDEA Handbook, Sweden: International Institute for Democracy and Electoral Assistance, pg. 112
  5. Reynolds et al. (2008), Electoral System Design: The New International IDEA Handbook, Sweden: International Institute for Democracy and Electoral Assistance, pg. 30–33
  6. "Putin Orders New System for Russian Parliamentary Elections - NYTimes.com". 2013-01-03. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
  7. Since the 2016 election, and from 1993 to the 2003 election.
  8. "Art. 66, Constitution of Tanzania". Constitute Project.
  9. "113 diputados serán electos por voto nominal y 51 por voto lista en parlamentarias". Agencia Venezolana de Noticias. 7 May 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 October 2015. สืบค้นเมื่อ 29 March 2019.
  10. Gallagher 2011, p. 185; Gallagher 2014, p. 18.
  11. Lublin, David. "Albania". Election Passport. American University. สืบค้นเมื่อ 24 March 2016.