มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (ยูซีแอลเอ หรือ UCLA) เป็นมหาวิทยาลัยรัฐที่ทำการวิจัยตั้งอยู่ในเขตเวสต์วูต ของมหานครลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองในระบบมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย[10] ยูซีแอลเอเป็นส่วนหนึ่งของการให้การศึกษาเป็นระบบของรัฐบาลและถือเป็นมหาวิทยาลัยระบบไอวีลีกของรัฐบาล[11][12][13][14] ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยรัฐที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของโลก[15][16][17] มหาวิทยาลัยเปิดสอนให้แก่นักเรียนในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษาจำนวนกว่า 337 หลักสูตรในสาขาวิชาที่หลากหลาย[18] มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษามากที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีจำนวนนักศึกษาในระดับปริญญาตรีกว่า 28,000 คนและระดับบัณฑิตศึกษาอีกกว่า 12,000 คน[19] ทั้งนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนักเรียนสมัครเข้าศึกษามากที่สุดในสหรัฐอเมริกา[20]

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ลอสแอนเจลิส
ชื่อเดิมมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตใต้ (ค.ศ. 1919–1927)
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแอนเจลิส (ค.ศ. 1927–1958)
คติพจน์Fiat lux (ละติน)
คติพจน์อังกฤษ
Let there be light (จงให้มีความสว่าง)
ประเภทมหาวิทยาลัยรัฐ
สถาปนาค.ศ. 1882/1919 (เป็นวิทยาเขตที่สองในระบบ UC)
ทุนทรัพย์US $2.59 พันล้าน[1]
อธิการบดีจีน ดี. บล็อก[2]
ผู้เป็นประธานสก๊อต แอล. วอก[3]
อาจารย์4,016[4]
ผู้ศึกษา45,742 (ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2019)[5]
ปริญญาตรี31,543 (ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2019)[5]
บัณฑิตศึกษา12,828 (ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2019)[5]
ผู้ศึกษาอื่น
1,371 (ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2019)[5]
ที่ตั้ง, ,
สหรัฐ

34°04′20.00″N 118°26′38.75″W / 34.0722222°N 118.4440972°W / 34.0722222; -118.4440972
วิทยาเขตเมือง
1.7 กม.2[6]
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล24[7]
หนังสือพิมพ์Daily Bruin (บรูนส์รายวัน)
สี  สีฟ้ายูซีแอลเอ[8]
  California Gold[8]
ฉายาUCLA Bruins บรูนส์
เครือข่ายสมาพันธ์มหาวิทยาลัยอเมริกัน
สมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก
Pacific-12
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
มาสคอต
โจและโจเซฟีน บรูนส์[9]
เว็บไซต์ucla.edu

สำหรับการจัดระบบการเรียนการสอนนั้น มีการแบ่งเป็นวิทยาลัยสำหรับการศึกษาในระดับปริญญาตรี 5 วิทยาลัย วิทยาลัยวิชาชีพสำหรับบัณฑิตศึกษา 7 วิทยาลัย และโรงเรียนแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพอีก 4 โรงเรียน วิทยาลัยก่อนบัณฑิตศึกษาได้แก่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ โรงเรียนวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์เฮนรี ซามูเอลี โรงเรียนศิลปกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ โรงเรียนการละคร ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ และโรงเรียนการพยาบาล ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 24 คน Fields Medal 3 คน[21] และผู้ได้รับรางวัลทัวริง 5 คน[22] มีความเกี่ยวกับกับมหาวิทยาลัยในฐานะคณาจารย์ นักวิจัย และศิษย์เก่า สำหรับคณาจารย์ปัจจุบัน คณาจารย์ 51 ท่านถูกเลือกเป็นสมาชิกของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ระดับประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States National Academy of Sciences) 22 ท่านเป็นสมาชิกวิศวกรรมศาสตร์ระดับประเทศของสหรัฐอเมริกา (National Academy of Engineering) 37 ท่านเป็นสมาชิกของสถาบันแพทยศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine) และ 120 ท่านเป็นสมาชิกของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Arts and Sciences)[23] มหาวิทยาลัยได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาพันธ์มหาวิทยาลัยอเมริกัน (Association of American Universities) ในปี ค.ศ. 1974[24]

นักกีฬามหาวิทยาลัยของยูซีแอลเอได้เข้าร่วมการแข่งขันกับต่างสถาบัน โดยใช้ชื่อบรูนส์ยูซีแอลเอในการแข่งขัน Pacific-12 Conference บรูนส์ได้ชิงชนะเลิศรายการระดับประเทศกว่า 129 รายการซึ่งร่วมถึงรายการ National Collegiate Athletic Association 118 รายการ[25][26] นักกีฬามหาวิทยาลัยของยูซีแอลเอได้รับเหรียญรางวัลโอลิมปิก 251 เหรียญ: ทอง 126 เงิน 65 และทองแดง 60[27] บรูนส์ได้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิกทุกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 โดยมีข้อยกเว้นแค่หนึ่งปี (ค.ศ. 1924) และได้เหรียญทองอย่างน้อยหนึ่งเหรียญทุก ๆ ครั้งให้กับสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932[28]

ประวัติ

แก้

ในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 1881 หลังจากได้รับการผลักดันจากชาวลอสแอนเจลิส ฝ่ายนิติบัญญัติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียได้อนุมัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัยครูรัฐแคลิฟอร์เนียขึ้น (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยรัฐซาน โฮเซ) เพื่อรองรับการเติมโตของประชากรในแคลิฟอร์เนียใต้มหาวิทยาลัยครูได้เปิดสอนในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยตั้งอยู่บนที่ตั้งห้องสมุดหลักของระบบห้องสมุดลอสแอนเจลิสในปัจจุบัน โครงการดังกล่าวยังมีโรงเรียนประถม ให้ครูใหม่ทดลองการสอนนักเรียนด้วย โรงเรียนประถมดังกล่าวได้กลายมาเป็นโรงเรียนสาธิตยูซีแอลเอ ในปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1887 วิทยาลัยเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยครูลอสแอนเจลิส[29]

 
มหาวิทยาลัยครูรัฐแคลิฟอร์เนีย สาขาลอสแอนเจลิสในปี 1881

ในปี ค.ศ. 1914 โรงเรียนได้ย้ายไปที่ถนนเวอร์มอนต์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 ผู้ว่าการมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแอ็ดเวิร์ด ดิกสันซึ่งเป็นผู้ว่าการเพียงคนเดียวทางตอนใต้ของรัฐและเออร์เนสต์ มอร์ ผู้ว่าการมหาวิทยาลัยครูเริ่มพยายามผลักดันให้ผ่านร่างนิติบัญญัติ ยกระดับให้โรงเรียนเป็นมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งที่สองให้จงได้ หลังตั้งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ พวกเขาถูกต่อต้านจากกลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์และฝ่ายนิติบัญญัติจากทางเหนือของรัฐรวมไปถึงเบนจามีน วีเลอร์ ประธานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 จนถึงปี ค.ศ. 1919 โดยกลุ่มคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับการเปิดวิทยาเขตทางใต้ ต่อมาเดวิด เพสคอตต์ บาร์โรส์ ประธานมหาวิทยาลัยคนใหม่มีความคิดที่แตกต่างและการผลักดันของชาวแคลิฟอร์เนียใต้ก็เกิดผลในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 เมื่อผู้ว่าการรัฐได้ลงนามในร่างกฎหมาย Assembly Bill 626 ซึ่งส่งผลให้ควบรวมวิทยาลัยครูลอสแอนเจลิสกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ให้กลายเป็นสาขาทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้ยังมีการเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีและก่อตั้งคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์[30] วิทยาเขตใต้เปิดการเรียนการสอนในวันที่ 15 กันยายนของปีเดียวกันโดยมีนักเรียนเพียง 250 คนในวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์และ 1,250 คนในหลักสูตรครุศาสตร์

 
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สาขาใต้ วิทยาเขตเวอร์มอนต์ 1922

ภายหลังจากนั้นไม่นาน นักเรียนก็เริ่มเข้าไปเรียนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเมื่อถึงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1920 สถาบันได้ขยายพื้นที่ 25 เอเคอร์ในเวอร์มอนต์ ผู้ว่าการทั้งหลายเริ่มค้นหาตำแหน่งใหม่ให้กับมหาวิทยาลัยและได้ประกาศว่าจะเลือก "พื้นที่แถบเบเวอร์ลี" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเล็กน้อยของเขตเบเวอร์ลีฮิลส์ หลังจากที่ทีมกีฬาเข้าร่วมแข่งขันในเกม Pacific Coast ในปี ค.ศ. 1926 วิทยาเขตใต้ได้ใช้ชื่อ "บรูนส์" ซึ่งมอบให้โดยสมาคมนักเรียนของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ในตอนนั้น[31] ในปี ค.ศ. 1927 ผู้ว่าการได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเป็น "มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิส" (โดยคำว่า "ที่" ถูกเอาออกและแทนด้วยเครื่องหมายคอมมาในภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1958 เพื่อทำให้เหมือนกับวิทยาเขตอื่น ๆ)

อาคาร 4 อาคารแรกของวิทยาเขตคือห้องสมุดประจำวิทยาลัย หอประชุมรอยส์ อาคารฟิสิกส์และชีววิทยา และอาคารเคมี (ซึ่งคือหอสมุดโพเวลล์ หอประชุมรอยส์ ตึกมนุษยศาสตร์ และตึกเฮนส์ในปัจจุบันตามลำดับ) มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1.6 กม.2 นักเรียนรุ่นแรกที่เรียนที่นี่ในปี ค.ศ. 1929 มีอยู่ 5,500 คน และต่อมาคณาจารย์และศิษย์รวมไปถึงฝ่ายบริหารและผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันผลักดันให้ยูซีแอลเอมอบปริญญามหาบัณฑิตในปี ค.ศ. 1933 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี ค.ศ. 1936 แม้ว่าจะได้รับแรงต้านจากเบิร์กลีย์เสมอมา[32]

ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัย

แก้

ยูซีแอลเอได้รับการยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยใหเท่าเทียมกับเบิร์กลีย์ในปี ค.ศ. 1951 เมื่อเรมอนด์ บี. อัลเลน รับตำแหน่งเป็นอธิการบดีคนแรก ต่อมาการแต่งตั้งให้แฟรงก์ลิน เดวิด เมอร์ฟี เป็นอธิการบดีในปี ค.ศ. 1960 ก็ได้ช่วยให้มหาวิทยาลัยและคณาจารย์เติบโตอย่างรวดเร็วมากตลอดช่วงการรับตำแหน่ง ปลายทศวรรษ ยูซีแอลเอได้รับชื่อเสียงในหลากหลายสาขาวิชา และทำให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเอกเทศและไม่ต้องพึ่งพาอาศัยระบบมหาวิทยาลัยยูซีอีกต่อไป เมอร์ฟีได้อธิบายว่า:

"ผมยกหูโทรศัพท์แล้วโทรมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง คนที่รับสายบอกว่า 'มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย' ผมจึงบอกว่า 'ที่นี่เบิร์กลีย์หรือเปล่า' เธอตอบว่า 'ไม่ใช่' ผมจึงพูดต่อว่า 'แล้วผมกำลังเรียนสายกับที่ไหนอยู่' 'ยูซีแอลเอ' ผมถามต่อ 'แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดว่ายูซีแอลเอล่ะ' เขาบอกว่า 'เราได้รับคำสั่งให้พูดว่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียค่ะ' เช้าวันต่อมาผมไปที่ออฟฟิศแล้วเขียนบันทึกย่อว่า 'โปรดบอกกับพนักงานรับโทรศัพท์ด้วยว่า ตอนที่รับสาย ให้พูดว่า "ยูซีแอลเอ"' มีคนบอกผมว่า 'พวกเบิร์กลีย์จะไม่ชอบเอานะ' ผมจึงบอกต่อไปว่า 'ดูดี ๆ สิ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำเองได้ที่นี่โดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากใคร'" [33]

ในปี ค.ศ. 2006 มหาวิทยาลัยประสบความสำเร็จในแคมเปญยูซีแอลเอที่ได้รับเงินกว่า $3.05 พันล้านซึ่งเป็นจำนวนที่มากเป็นที่สองสำหรับมหาวิทยาลัยรัฐ[34][35] ในปี ค.ศ. 2008 ยูซีแอลเอได้รับเงินบริจาคกว่า $456 ล้านโดยได้รับมากเป็น 10 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยอเมริกาของปีนั้น ๆ[36]

ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2011 ครอบครัวลุสกินได้บริจาคเงินกว่า $100 ล้านให้กับยูซีแอลเอ[37] ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ยูซีแอลเอได้รับเงินบริจาคกว่า $200 ล้านโดยมูลนิธิลินซีเพื่อก่อตั้งกองทุนสร้างฝัน เพื่อเป็นการสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์และทางวิชาการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนที่ยูซีแอลเอ[38]

วิทยาเขต

แก้

ตอนที่ยูซีแอลเอเพิ่งเปิดวิทยาเขตใหม่ในปี ค.ศ. 1929 วิทยาเขตมีอาคารเพียงสี่แห่ง ได้แก่ห้องสมุดประจำวิทยาลัย หอประชุมรอยส์ อาคารฟิสิกส์และชีววิทยา และอาคารเคมี บันไดเจนส์เป็นบันได 87 ขั้นที่เมื่อขึ้นไปแล้วจะถึงอาคารเรียนทั้งสี่แห่งนี้ ปัจจุบัน วิทยาเขตมีอาคารกว่า 163 อาคารภายในวิทยาเขตขนาด 1.7 กม.2 ทางตะวันตกของลอสแอนเจลิส ตอนเหนือของเขตการค้าเวสต์วูต และทางใต้ของถนนซันเซต หากพิจารณาขนาดของวิทยาเขต มหาวิทยาลัยมีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองใน 10 แห่งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย[6] วิทยาเขตอยู่ใกล้กับทางด่วนหมายเลข 405[39]

วิทยาเขตมีสวนศิลปะ น้ำตก พิพิธภัณฑ์ และรูปแบบทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่หลากหลายล้อมรอบโดยเบลแอร์ เบเวอร์ลีฮิลส์ และเบรนต์วูต นักศึกษาชอบแบ่งวิทยาเขตเป็นทางเหนือกับทางใต้ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ทางตะวันออกของพื้นที่ วิทยาเขตเหนือมีอาคารที่เก่าแก่และมีอิฐที่นำมาจากอิตาลี โดยเป็นที่จัดการเรียนการสอนวิชาในหมู่ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และการบริหารธุรกิจ วิทยาเขตใต้เป็นที่จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ วิศวกรรมศาสตร์ จิตวิทยา วัสดุศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพแล้วยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การแพทย์ยูซีแอลเอ

 
บันใดแจนส์

สมาคมแอ็กเคอร์แมน ศูนย์กีฬาจอน วูเดน ศูนย์สุขภาพอาเธอร์ แอช ศูนย์กิจกรรมนักศึกษา หอประชุมเคอร์ฮอฟ ศูนย์เจ.ดี. มอร์แกน ศูนย์ศิษย์เก่าเจมส์ เวสต์ และศาลาพาวลี ตั้งอยู่ตรงส่วนกลางของวิทยาเขตอยู่ใกล้กับจตุรัสวิลสัน บรุส์วอกเป็นถนนที่ตัดผ่ากลางวิทยาเขต เป็นถนนที่นักเรียนเดินจากอาคารเรียนไปยังหอพักนักศึกษา

จตุรัสวิวสันเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากโดยจะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพกับมหาวิทยาลัย

สถาปัตยกรรม

แก้

อาคารเรียนแรก ๆ ของมหาวิทยาลัยได้รับการออกแบบโดยบริษัทออกแบบท้องถิ่นโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูโรมาเนสก์ซึ่งเป็นรูปแบบที่แพร่หลายจนถึงช่วงปี ค.ศ. 1950 เมื่อได้มีการว่าจ้างให้สถาปนิกเวลตัน เบ็กเก็ตมาทำหน้าที่ดูแลการขยายวิทยาลัยเป็นเวลาประมาณยี่สิบปี เบ็กเก็ตปรับรูปแบบให้อาคารดูสบายตาขึ้นโดยเพิ่มตึกที่สร้างในรูปแบบของลัทธิจุลนิยมทางตอนใต้ของพื้นที่ อาคารที่ใหญ่ที่สุดคืออาคารของศูนย์การแพทย์[40] หลังจากนั้นมีสถาปนิกมีชื่อเสียงหลายคนมาออกแบบอาคารให้กับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะช่วงหลังที่มีจำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยก่อสร้างอาคารเรียนและพื้นที่โดยรอบพร้อม ๆ กันหลายจุดรวมไปถึงพื้นที่ที่ใช้สอบวิทยาศาสตร์ชีวภาพและวิศวกรรมศาสตร์ จึงมีคนให้ฉายามหาวิทยาลัยว่า UCLA "Under Construction Like Always" แปลเป็นไทยว่า ไม่เคยหยุดที่จะก่อสร้าง[41]

 
หอประชุมรอยส์ เป็นหนึ่งในสี่อาคารแรกเริ่มของมหาวิทยาลัย โดยได้แรงบันดาลใจจากมหาวิหารซานตัมโบรโจ

ตึกที่สูงที่สุดคือราฟ บันช์ที่ตั้งชื่อตามนักศึกษาอเมริกันผิวดำที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1950 สำหรับการช่วยต่อรองปัญหาระหว่างชาวยิวและมุสลิมในพื้นที่ของประเทศอิสรเอล ทั้งนี้ยังมีรูปปั้นของเขาตั้งอยู่หลังตึกหันเข้าหาสวนศิลป์ จึงทำให้เขาเป็นชาวอเมริกันผิวดำคนแรกที่ได้รับการเชิดชูจากยูซีแอลเอในระดับสูงเพียงนี้

สวนญี่ปุ่นฮานา คาร์เตอร์ตั้งอยู่ห่างจากวิทยาเขตไปประมาณหนึ่งไมล์ในชุมชนเบลแอร์ นากาโอะ ซากุระอิเป็นนักออกแบบภาคพื้นจากโตเกียวออกแบบสวนดังกล่าวในปี ค.ศ. 1959 หลังจากถูกทำลายเพราะฝนตกหนักในช่วงปี ค.ศ. 1969 ศาสตราจารย์ UCLA ผู้เชียวชาญด้านศิลปกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์วิทยาเขตชื่อโคอิจิ คานาวะเป็นผู้ริเริ่มโครงการฟื้นฟู

การถ่ายภาพยนตร์

แก้

เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับฮอลลีวูดและมีโรงเรียนการละครที่มีชื่อเสียง วิทยาเขตของยูซีแอลเอได้รับความสนใจให้เป็นที่ถ่านภาพยนตร์เป็นอย่างมากเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว ภาพยนตร์หลายเรื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 เช่น Gotcha! Higher Learning (1995) ก็ได้ถ่ายทำที่นี่ Legally Blonde (2001) Old School (2003), The Nutty Professor (1995), Erin Brockovich (2000), How High (2001), National Lampoon's Van Wilder (2002), American Pie 2 (2001), และ Bring It On Again (2004) ได้ทำการถ่ายทำส่วนใหญ่ที่มหาวิทยาลัย ภาพยนตร์บอลลีวูตเรื่อง My Name is Khan ก็ถ่ายทำที่นี่รวมไปถึงรายการโทรทัศน์หลายรายการเช่น Greek ด้วย เพื่อเป็นการจัดการการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มากมายในยูซีแอลเอ ทางมหาวิทยาลัยได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการถ่ายภาพยนตร์และถ่ายภาพอาชีพในบริเวณวิทยาเขต[42]

 
ศูนย์วิจัยระดับนาโนของแคลิฟอร์เนียภายในมหาวิทยาลัย

การเรียนการสอน

แก้

บริการสุขภาพ

แก้
 
จัตุรัสการแพทย์ยูซีแอลเอ ใกล้กับทางเข้าหลักของวิทยาเขต

คณะแพทยศาสตร์เดวิด เกฟเฟน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ร่วมกับโรงเรียนการพยาบาล คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เป็นวิทยาลัยวิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ โครงการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีนาโนเป็นโครงกรที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตา บาบาราเพื่อเป็นการวิจัยริเริ่มในเทคโนโลยีนาโน[41][43]

ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกนมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ที่มีโรงพยาบาลให้บริการในเขตแซนตา มอนิกาและคลินิกทั่วไปถึง 12 แห่งทั่วทั้งลอสแอนเจลิส นอกจากนี้วิทยาลัยแพทยศาสตร์ยูซีแอลเอ เดวิด เกฟเฟน ใช้โรงพยาบาลของรัฐเป็นสถานที่ฝึกแพทย์สองแห่ง คือศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสฮาร์เบอร์ และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสโอลิฟวิว

ในปี ค.ศ. 1981 ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้สร้างประวัติศาสตร์มีศาสตราจารย์คนหนึ่งได้พบการติดเชื้อรูปแบบหนึ่งที่ต่อมาพบว่าเป็นโรคเอดส์ นักวิจัยการแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้เริ่มใช้การสแกน PET เพื่อศึกษาการทำงานของสมองเป็นครั้งแรกเช่นกัน การส่งสัญญาต่อเนื่องของไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นโมเลกุลสำคัญในสรีรวิทยาของปอดและหัวใจได้รับการค้นพบจากศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยนี้ ศาสตราจารย์ Louis J. Ignarro จึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี ค.ศ. 1998 ร่วมกับเพื่อนนักวิจัยอีกด้วย

การจัดอันดับในปี ค.ศ. 2012 ของ ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต ได้กล่าวว่าศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสเป็นสถาบันที่ดีที่สุดในฝั่งตะวันตกและเป็นหนึ่งในห้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยโรงเรียนแพทย์อยู่ในอันดับ 20 อันดับแรกเสมอ[44]

ชื่อเสียงและอันดับ

แก้
 
ตึกคณะนิติศาสตร์ของยูซีแอลเอ

การจัดอันดับโลก

แก้

ในช่วงปี ค.ศ. 2012–2013 มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้รับการจัดอันดับว่ามีชื่อเสียงเป็นอันดับที่ 13 และที่ 8 จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดยไทมส์ไฮเออร์เอดยูเคชันซัปพลีเมนต์[45][46] ในปี ค.ศ. 2012 มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้ชื่อว่าดีที่อันดับที่ 12 ในโลก (และที่ 10 ในอเมริกาเหนือ) จากการจัดอันดับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยโลก[47] และที่ 23 ในโลกโดยการจัดอันดับของ Financial Times' Global MBA Rankings[48] ในปี ค.ศ. 2012 ยังพบว่านักเรียนยูซีแอลเอมีความสามารถในการแข่งขันระหว่างบุคลากรอยู่ในอันดับที่ 14 ของประเทศ[49]

ในช่วงปี ค.ศ. 2020–2021 มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้รับการจัดอันดับจากไทมส์ไฮเออร์เอดยูเคชันซัปพลีเมนต์ ให้อยู่อันดับที่ 9 ของโลก[50] และยังได้รับการจัดอันดับจากยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต ให้เป็นมหาวิทยาลัยรัฐอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา[15]

วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาและวิชาชีพ

แก้

คณะครุศาสตร์และสารสนเทศของมหาวิทยาลัยแคลฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้รับการจัดอันดับที่ 6 สำหรับบัณฑิตศึกษาในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2013 โดย ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต[51] ในปีเดียวกันการจัดอันดับของ ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต ยังรวมไปถึงคณะบริการธุรกิจแอนเดอร์สันมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสอยู่ในอันดับที่ 15 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสอันดับที่ 10 สำหรับเวชศาสตร์ครอบครัวและ 13 สำหรับการวิจัย คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสอันดับที่ 15 คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสอันดับที่ 16 สำหรับการจัดอันดับตามสาขาวิชาการศึกษาพบว่าจิตเวชศาสตร์ที่ 1 จิตวิทยาที่ 3 ศิลปกรรมศาสตร์ที่ 4 ภูมิศาสตร์ที่ 4 [52] คณิตศาสตร์ที่ 8 ประวัติศาสตร์ที่ 9 สังคมวิทยาที่ 9 ภาษาอังกฤษที่ 10 สาธารณสุขศาสตร์ที่ 10[51] ในปี ค.ศ. 2011 ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต จัดอันดับโรงเรียนการพยาบาลอยู่ที่อันดับที่ 21[53] จากการจัดอันดับของไทมส์ ไฮเออร์และคิวเอสยังพบว่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสมีชื่อจริงและได้รับการจัดอันดับที่สูงมากในหมู่วิทยาศาสตร์สุขภาพ เศรษฐศาสตร์ การบัญชี และมานุษยวิทยาซึ่งทุกสาขาวิชาต่างได้รับทุนวิจัยทางภาครัฐและเอกชนทุกปี

การรับเข้าศึกษา

แก้
 
หอสมุดโพเวลล์ ด้านตรงข้ามจัตุรัสของหอประชุมรอยส์

ก่อนบัณฑิตศึกษา

แก้
สถิตินักศึกษาปีแรกที่ลงทะเบียนในเทอมฤดูใบไม้ร่วง ไม่รวมรายการที่ผ่อนผันการลงทะเบียนหรือสถานการณ์เฉพาะอื่น 
  2021[54] 2020[54] 2019[55]
ผู้สมัคร 139,485 108,877 111,332
รับเข้าศึกษา 15,004 15,602 13,720
ร้อยละที่รับเข้า 10.8% 14.4% 12.3%
ลงทะเบียน 6,300 6,386 5,920
ค่าเฉลี่ย GPA (ถ่วงน้ำหนัก) 4.0 3.90 3.90
ช่วงคะแนน SAT N/A 1290-1510 1290-1510
ช่วงคะแนน ACT N/A 29-34 27-34

UCLA ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เลือกนักศึกษาที่ "เก่งที่สุด" ตามข้อมูลจาก ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต [56] มหาวิทยาลัยได้รับการสมัครจากนักเรียนมากกว่า 100,000 คนเพื่อเข้าศึกษาในปี ค.ศ. 2013[57][58][59] ในปีการศึกษา 2013 ยูซีแอลเอถือเป็นมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาน้อยที่สุด หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากมหาวิทยาลัยทั้งหมดในกลุ่มแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอยู่ที่ 20.1%.[60]

ข้อมูลประชากรนักศึกษา (2 พฤษภาคม 2022)
เชื้อชาติ[61] รวม
ชาวอเมริกันเอเชีย 29% 29
 
ชาวอเมริกันผิวขาว 26% 26
 
ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน 22% 22
 
นักศึกษาต่างชาติ 10% 10
 
อื่น ๆ[a] 9% 9
 
ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 3% 3
 
ความหลากหลายของฐานะทางเศรษฐกิจ
รายได้น้อย[b] 25% 25
 
รายได้สูง[c] 75% 75
 

ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุดแห่งหนึ่งและมีระบบรับเข้าตามรูปแบบของรัฐ ยังมีการโต้เถียงเกี่ยวกับการรับนักศึกษาเชื้อชาติแอฟริกาและละตินเข้าศึกษาน้อย โดยเฉพาะหลังจากการผ่านกฎหมายข้อเสนอที่ 209 ที่ไม่ให้สถาบันรัฐบาลแบ่งแยกสีผิว เพศ และเชื้อชาติในแคลิฟอร์เนีย[62] ในปีการศึกษา 2007 มหาวิทยาลัยได้เริ่มใช้การระบเข้าศึกษาที่มีการพิจรณาเป็นองค์รวมมากขึ้น[63]

นักเรียนที่จะเข้าศึกษาในปีการศึกษา 2013 มีเกรดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 4.40 (3.88 จาก 4.0) และมีคะแนนสอบ SAT เฉลี่ยอยู่ที่ 2,037 (667 สำหรับการอ่าน 690 สำหรับคณิตศาสตร์ 680 สำหรับการเขียน) และคะแนน ACT Composite 30[64]

บัณฑิตศึกษา

แก้
 
หอสมุดกฎหมายฮิว และฮาเซล ดาร์ลิง, โรงเรียนกฎหมายยูซีแอลเอ

ในปีการศึกษา 2010 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสรับผู้สมัครเพียง 3.9% เข้าศึกษา คณะนิติศาสตร์รับเพียง 20% ในปี ค.ศ. 2012 คณะบริหารธุรกิจรับ 22.6%[65]

ตามข้อมูลจาก American Dental Education Association (ADEA) Guide to Dental Schools, 44th Ed. คณะทันตแพทยศาสตร์ได้รับการสมัครจากนักศึกษากว่า 1,465 คนแต่รับเข้าศึกษาจริงเพียง 88 คนในปี ค.ศ. 2006[66]

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

แก้
 
เสื้อคลุมมีสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจกับนครลอส แอนเจลิสเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้จ้างงานใหญ่อันดับที่ 4 ของเมืองด้วย[67][68]

ชีวิตนักศึกษา

แก้

ด้วยที่ตั้งที่อยู่ในลอสแอนเจลิสทำให้การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ โรงภาพยนตร์ และสถานบันเทิงต่าง ๆ สะดวกและรวดเร็ว มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสมีวงดุริยงค์คลาสสิก ทีมกีฬา และองค์กรนักเรียนกว่า 800 องค์กรที่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสยังมีการใช้ชีวิตแบบภราดรอยู่อีกด้วยซึ่งเป็นอีกทางเลือกสำหรับนักศึกษา แต่การใช้ชีวิตเหล่านี้ได้ถูกวิจารณ์จากภายนอกเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์และอุปนิสัยที่ไม่สู้ดีนัก[69] นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายที่จัดโดยสมาคมนักเรียนและสมาคมศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสมีกลุ่มนักร้องประสานเสียงที่ใหญ่และมีชีวิตชีวา ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีองค์กรวัฒนธรรมเช่น ชมรมญี่ปุ่นสองชมรม[70] ชมรมนักเรียนอเมริกันเชื้อสายจีน ชมรมนักเรียนจีน ชมรมนักเรียนไต้หวัน ชมรมนักเรียนเวียดนาม ไทยสมาคม ชมรมนาฏศิลป์จีน ซึ่งมุ่งเน้นที่จะการทำเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มประชาชน องค์กรเหล่านี้ยังจัดการแสดงประจำปีเพื่แสดงออกถึงวัฒนธรรมโดยสมาคมไทยก็ได้จัดทำเช่นเดียวกัน โดยในปีผ่าน ๆ มา ได้รับความสนใจจากชาวไทยในบริเวณลอสแอนเจลิสเป็นจำนวนมาก

ประเพณี

แก้

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสมีประเพณีและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนักศึกษา ชุมชน และเมืองโดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งนักศึกษาและบุคคลภายนอก โดยเฉพาะนักแสดงและคนดังในย่านนั้น ๆ ด้วย

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสยังมีการตะโกนข้ามหอซึ่งจะคล้ายกับการตะโกนข้ามหอที่มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเป็นการคลายเครียดจากการท่องสอบ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม คอนเสิร์ต และอื่น ๆ อีกมากที่สามารถค้นพบได้จากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

ศิษย์เก่าและอาจารย์ที่มีชื่อเสียง

แก้

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้รับเกียรติเป็นสมาชิกของสถาบันต่าง ๆ ดังนี้: (ค.ศ. 2017)[71]

สมาคม อาจารย์ที่มีสมาชิกภาพ
American Academy of Arts and Sciences 129
American Association for the Advancement of Science 120
American Philosophical Society 17
National Academy of Medicine 39
National Academy of Engineering 30
National Academy of Sciences 50
National Academy of Education 16
National Academy of Inventors 4

อาจารย์และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยยังได้รับรางวัลมากมาย:[72]

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้แก่

ชาวไทย

แก้

เชิงอรรถ

แก้
  1. เชื้อชาติอื่น ๆ ประกอบด้วยชาวอเมริกันเชื้อสายผสม & ผู้ที่ไม่เปิดเผยข้อมูล
  2. ร้อยละของนักศึกษาที่ได้รับทุนรัฐบาลกลางตามรายได้ (Pell Grant) ที่มีไว้สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำ
  3. ร้อยละของนักศึกษาที่อย่างน้อยที่สุดเป็นส่วนหนึ่งของชาวอเมริกันชนชั้นกลาง

อ้างอิง

แก้
  1. "UC Annual Endowment Report, Fiscal Year Ended June 30, 2012; p.4" (PDF). Office of the Treasurer of the Regents of the University of California. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-02-02. สืบค้นเมื่อ 2013-01-07.
  2. UCLA (2007). "Gene D. Block". UCLA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2003-12-18. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  3. "UCLA Administration". Official site. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-14. สืบค้นเมื่อ 2007-05-20.
  4. "UCLA Gateway". Official site. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-14. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 "UCLA APB - Enrollment". UCLA Academic Planning and Budget. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2019. สืบค้นเมื่อ January 8, 2020.
  6. 6.0 6.1 "UC Financial Reports – Campus Facts in Brief; p.8-9" (PDF). University of California. พฤศจิกายน 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 12 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2012.
  7. "University of California Nobel Laureates". University of California. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-16. สืบค้นเมื่อ 13 May 2013.
  8. 8.0 8.1 "Graphics Standards Manual" (PDF). University of California, Los Angeles. 2004-09-08. สืบค้นเมื่อ 2008-03-16.
  9. Ho, Melanie (2005). "Bruin Bear". UCLA English department. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2007. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2007.
  10. "Fall 2008 Admissions Table" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-02-02. สืบค้นเมื่อ 2012-10-14.
  11. Frammolino, Ralph; Gladstone, Mark; Weinstein, Henry (1996-03-21). "UCLA Eased Entry Rules for the Rich, Well-Connected". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2011-05-27. The controversy over private admissions preferences strikes at the heart of the dilemma over how to allocate limited slots for undergraduates. At Berkeley and UCLA, the flagship campuses, the competition is particularly acute, and admissions officers must turn away thousands of qualified applicants each year.
  12. Gordon, Larry (2011-05-09). "University of California weighs varying tuitions at its 10 campuses". L.A. Times. สืบค้นเมื่อ 2011-05-17. In contrast, UC has UC Berkeley and UCLA, both often considered flagships, and several other campuses with high national rankings, he and other analysts said
  13. Song, Jason (2007-12-11). "THE NATION; Higher-earning families to get a break at Harvard; Tuition will be slashed to 10% of income for those making $180,000 a year or less, making it cheaper than UCLA". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2011-05-20. That means any student that comes from such a family will pay less to attend Harvard than most flagship public universities, including UCLA
  14. "How To Get Into the Nations Most Celebrated Colleges". Los Angeles Magazine. 2005. สืบค้นเมื่อ 2011-05-25. The Ivy League Schools and their ilk (Stanford) and the flagship UC campuses dominate their lists...and a few other less competitive UC Campuses (San Diego, Santa Barbara, Irvine) as fall-backs.
  15. 15.0 15.1 "Top Public Colleges & Universities". US News & World Report. 2020-09-09. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-23. สืบค้นเมื่อ 2020-08-10.
  16. "Best Global Universities Rankings". Usnews.com. สืบค้นเมื่อ 2020-08-10.
  17. "Best public universities in the United States 2020". Times Higher Education. 2019-09-25. สืบค้นเมื่อ 2020-08-10.
  18. Vazquez, Ricardo. (2013-01-18) UCLA sets new undergraduate applications record / UCLA Newsroom. Newsroom.ucla.edu. Retrieved on 2013-07-14.
  19. "UCLA admits more than 15,000 students for Fall 2012 freshman class". Daily Bruin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-06. สืบค้นเมื่อ 2013-08-29.
  20. Bartlett, Lauren (2007-01-24). "UCLA Remains the Country's Most Popular University with More Than 50,000 High School Seniors Applying for Fall / UCLA Newsroom". Newsroom.ucla.edu. สืบค้นเมื่อ 2012-10-14.
  21. "Terence Tao, 'Mozart of Math,' wins Fields Medal, called 'Nobel Prize in math'". EurekAlert. 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-04-20.
  22. "Professor Judea Pearl receives Alan Turing award for work on artificial intelligence". Daily Bruin. 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2012.
  23. "UCLA Research Facts" (PDF). Office of the Vice Chancellor for Research. 2006–2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009.
  24. "Member Institutions and Years of Admission". Association of American Universities.
  25. "NCAA" (PDF). NCAA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-06-27. สืบค้นเมื่อ 2009-11-14.
  26. "UCLA Champions Made Here". UCLA Official Athletic Site. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-23. สืบค้นเมื่อ 2009-11-14.
  27. "UCLA Bruins All-Time Olympians". www.uclabruins.com. UCLA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-23. สืบค้นเมื่อ 8 March 2013.
  28. "UCLA Bruins". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-24. สืบค้นเมื่อ 2013-08-29.
  29. Hamilton, Andrew (2004-06-18). "(UC) Los Angeles: Historical Overview". University of California History, Digital Archives (from Berkeley). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-04-30. สืบค้นเมื่อ 2006-06-20.
  30. "UCLA University Archives". UCLA Library. 2007-01-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-06-15. สืบค้นเมื่อ 2006-06-20.
  31. Garrigues, George (2001). "The Daily Bruin Is Born". Loud Bark and Curious Eyes, A History of the UCLA Daily Bruin, 1919–1955. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-05-28. สืบค้นเมื่อ 2006-07-03.
  32. UCLA Alumni (2012). "History: The Beginning". UCLA Alumni. สืบค้นเมื่อ 2013-04-04.
  33. Ko, Amy (1999). "Caught on Tape: Voices from UCLA's Past". UCLA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2008-01-25.
  34. Kyle Swanson (2009). "In tough times, 'U' pushes forward with fundraising efforts". The Michigan Daily. สืบค้นเมื่อ 2009-11-15.
  35. Lindy Stevens (2009). "$3.2 billion Michigan Difference total announced". The Michigan Daily. สืบค้นเมื่อ 2009-11-15.
  36. Hampton, Phil (2006). "UCLA Raises More Than $3 Billion ... Research Universities". UCLA News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-17. สืบค้นเมื่อ 2007-05-18.
  37. Hampton, Phil (2011). "Local business leader donates $100 million to transform UCLA's role in civic participation, education of future public leaders". UCLA News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-07. สืบค้นเมื่อ 2011-02-14.
  38. Hampton, Phil (2011). "UCLA receives $200 million gift to create unique philanthropic fund". UCLA News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-02-18. สืบค้นเมื่อ 2011-02-14.
  39. "Map of UNIVERSITY of California". Mapquest. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-19. สืบค้นเมื่อ 2007-05-29.
  40. "Welton Becket and Associates". Emporis Buildings. 2007. สืบค้นเมื่อ 2007-05-29.
  41. 41.0 41.1 Lee, Cynthia (2004-10-12). "A 'sense of place' from the old and new". UCLA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-28. สืบค้นเมื่อ 2007-05-29.
  42. Morabito, Sam (2004-01-23). "UCLA Policy 863: Filming and Photography on Campus". UCLA Administrative Policies & Procedures Manual. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-05-21.
  43. "About CNSI". California NanoSystems Institute. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-10. สืบค้นเมื่อ 2007-05-21.
  44. "Ronald Reagan UCLA Medical Center rated one of top hospitals in the U.S." UCLA Health System. 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-30. สืบค้นเมื่อ 2013-01-06.
  45. "The World University Rankings". The Times Higher Educational Supplement. 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-03-24.
  46. "Top Universities by Reputation 2012". "Times Higher Education World University Rankings" 2011–2012. Thomson Reuters. 2012. สืบค้นเมื่อ 25 March 2012.
  47. "Academic Ranking of World Universities - 2012". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-25. สืบค้นเมื่อ 2013-01-02.
  48. "Business school rankings from the Financial Times – Global MBA Rankings 2013". Rankings.ft.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-29. สืบค้นเมื่อ 2013-02-02.
  49. "Hrlr 300 best world universities 2012". ChaseCareer Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-11. สืบค้นเมื่อ 2013-08-29.
  50. "World University Rankings 2020". Times Higher Education.
  51. 51.0 51.1 "America's Best Graduate Schools 2013". "U.S. News & World Report". 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-01-23.
  52. "World's Best Universities: Geography and Area Studies". U.S. News and World Report. 2011. สืบค้นเมื่อ 19 June 2013.
  53. "America's Best Graduate Schools - Nursing". "U.S. News & World Report". 2011. สืบค้นเมื่อ 2013-01-27.
  54. 54.0 54.1 "University of California Admissions 2021". University of California. สืบค้นเมื่อ November 28, 2021.
  55. "Common Data Set Fall 2019". UCLA. สืบค้นเมื่อ May 29, 2020.
  56. "University of California--Los Angeles". "U.S. News & World Report". สืบค้นเมื่อ 2013-01-26.
  57. "Acceptance Table- All New Freshmen" (PDF). University of California Office of the President, Student Affairs, UC Central Application Processing file. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-04-27. สืบค้นเมื่อ 2011-05-05.
  58. "UCLA sets new undergraduate applications record". "UCLA Newsroom". สืบค้นเมื่อ 2013-04-21.
  59. "freshman admit rates" (PDF). University of California Office of the President, Student Affairs, Admissions. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-08-24. สืบค้นเมื่อ 2013-04-21.
  60. "UCLA receives most freshman applications of any U.S. public college". "Los Angeles Times". สืบค้นเมื่อ 2013-04-24.
  61. "College Scorecard: University of California-Los Angeles". United States Department of Education. สืบค้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2022.
  62. Leonhardt, David (2007-09-30). "The New Affirmative Action". The New York Times Magazine. สืบค้นเมื่อ 2007-09-28.
  63. Smallwood, Scott (2006-09-29). "UCLA Adopts 'Holistic' Model in Admissions to Stem Decline in Minority Enrollment". The Chronicle of Higher Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2007-05-21.
  64. "Profile of Admitted Freshmen, Fall 2013". UCLA Office of Admissions. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-01. สืบค้นเมื่อ 2013-04-24.
  65. "2012 U.S. News Ranking of the Best B-Schools". U.S. News & World Report. 2012. สืบค้นเมื่อ 2013-01-05.
  66. "UCLA School of Dentistry Annual Report". UCLA School of Dentistry. 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2013. สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2013.
  67. Largest Employers in Los Angeles County. Compiled by the LA Almanac, Source: California Employment Development Department, The Los Angeles Business Journal, and Almanac research
  68. "UCLA — A Smart Investment for the Greater Los Angeles Region ... and Beyond". Ucla.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-04. สืบค้นเมื่อ 2011-09-11.
  69. UCLA Fraternity & Sorority Relations. Greeklife.ucla.edu. Retrieved on 2013-07-14.
  70. Ucla Jsa. Studentgroups.ucla.edu. Retrieved on 2013-07-14.
  71. "Academy Memberships Held by UCLA Faculty". UCLA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 12, 2017. สืบค้นเมื่อ March 9, 2017.
  72. "Awards & Honors". University of California, Los Angeles. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2015. สืบค้นเมื่อ November 1, 2015.
  73. "UCLA Profile". Aim.ucla.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-05. สืบค้นเมื่อ 2010-05-23.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้