ปัทมานภสวามีมนเทียร

ปัทมานภสวามีมนเทียร (อังกฤษ: Padmanabhaswamy temple) เป็นโบสถ์พราหมณ์ในเมืองติรุวนันตปุรัม เมืองหลวงของรัฐเกรละ ประเทศอินเดีย ชื่อเมืองนั้นเป็นภาษามลยาฬัมแปลว่า "เมืองของพระอนันตะ" ("The City of Lord Ananta")[1] อันหมายถึงเทพเจ้าองค์ประธานของโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ การก่อสร้างนั้นผสมผสานสถาปัตยกรรมเกรละ กับทราวิฑเข้าด้วยกันอย่างสวยงาม โคปุระของโบสถ์พราหมณ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 16[2][3] ในขณะที่อนันถปุระมนเทียร (Ananthapura temple) ในกุมภละ นั้นถือว่าเป็นที่ประดิษฐานดั้งเดิมขององค์เทพ ("มูลสถานัม"; moolasthanam) ซึ่งในเชิงสถาปัตยกรรมแล้ว เป็นการสร้างจำลองมากจาก อาทิเกสวเปรุมัล (Adikesava Perumal temple) ในติรุวัตตาร์ (Thiruvattar) มากกว่า[4]

ปัทมานภสวามีมนเทียร
ศาสนา
ศาสนาศาสนาฮินดู
เทพพระมหาวิษณุ พระมหาลักษมี
ที่ตั้ง
ที่ตั้งฐิรุวานันถปุรัม (Thiruvananthapuram)
รัฐรัฐเกรละ
ประเทศอินเดีย
พิกัดภูมิศาสตร์8°28′58″N 76°56′37″E / 8.48278°N 76.94361°E / 8.48278; 76.94361
เว็บไซต์
Official website

เทพเจ้าองค์ประธานของวัดนี้คือ "พระปัทมานภสวามี" (Padmanabhaswamy) หรือพระวิษณุ ซึ่งประทับในปาง "อนันตศยน" ("Anantha Shayana") หรือโยคะนิทราตลอดกาล บนพญานาคเศษะ[5] พระปัทมานภสวามีทรงเป็นเทพเจ้าประจำ ราชสกุลติรุวิตางกูร์ (Travancore)

ทรัพย์สิน แก้

 
Wikinews
วิกิข่าว มีข่าวเกี่ยวกับบทความ:
Hidden treasure worth billions of dollars discovered in Indian temple

ทั้งปัทมานภสวามีมนเทียรและทรัพย์สินทั้งปวงของมนเทียรนั้นเป็นของพระปัทมานภสวามี และอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการทรัพย์สิน (trust) มาอย่างยาวนาน คณะกรรมการทรัพย์สินนั้นนำโดย ราชสกุลติรุวิตางกูร์ (Travancore royal family) อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ศาลสูงสุดของอินเดียได้ปลดราชสกุลนี้ออกจากการดูแลทรัพย์สิน[6][7][8][9] การดำเนินคดีของที.พี. สุนทรราชัน (T P Sundararajan) ได้เปลี่ยนมุมมองของผู้คนต่อมนเทียรนี้ไปตลอดกาล

เมื่อเดือนมิถุนายน 2011 ศาลสูงได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่จากฝ่ายโบราณคดีและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าเปิดห้องลับทั้งหลายของมนเทียรเพื่อตรวจสอบวัตถุที่ถูกเก็บไว้ภายใน[10] จนถึงปัจจุบันมีการค้นพบห้องเก็บของใต้ดิน (vault) เรียกว่า นิลวร (nilavara) ของมนเทียรแล้ว 6 ห้อง ซึ่งได้ตั้งชื่อตามอักษรอังกฤษ A ถึง F ในขณะที่ห้อง B ไม่เคยถูกเปิดออกเลยเป็นเวลาหลายศตวรรษ เป็นไปได้ว่าห้อง A เคยถูกเปิดแล้วครั้งหนึ่งในทศวรรษ 1930s ส่วนห้อง C ถึง F นั้นมีการเปิดเข้าออกเป็นบางครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา เปรียา นัมภิ (Periya Nambi) กับ เฐกเกธาตุ นัมภิ (Thekkedathu Nambi) นักบวชสององค์ เป็นผู้ดูแลห้อง C ถึง F ทั้งสี่ห้อง ศาลสูงได้กำกับให้ "ประกอบพิธีตามความเชื่อ" ของมนเทียรในการเปิดห้องแต่ละห้อง และให้นำสมบัติต่าง ๆ ในทั้งสี่ห้องออกมาจัดการและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ส่วนห้อง A และ B นั้นจะเปิดได้ก็เพื่อการจัดเก็บสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น แล้วให้ปิด การตรวจสอบห้องเก็บสมบัติใต้ดินนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการเจ็ดคน ซึ่งศาลสูงอินเดียเป็นผู้แต่งตั้ง โดยมีหน้าที่ให้จัดเก็บแลจัดการสมบัติต่าง ๆ อย่างเป็นระบบระเบียบ อันนำไปสู่การจัดประเภทของสมบัติต่าง ๆ จำนวนมหาศาลนี้ รายละเอียดของสมบัติที่พบ ทั้งทองคำ อัญมณี และของมีค่าอื่น ๆ นั้นยังไม่ได้มีการทำออกมาอย่างละเอียด ตลอดการจัดการนั้น ห้อง A, C, D, E และ F ได้ถูกเปิดเข้าออกเช่นเดียวกับห้องย่อย ๆ ในขณะที่มีเพียงห้อง B เท่านั้นที่ยังคงไม่ถูกเปิดออก รายการสมบัติที่พบเช่น เทวรูปพระมหาวิษณุทองคำสูงสามฟุตครึ่ง พร้อมทั้งเพชรและทับทิมรวมถึงหินมีค่าอื่น ๆ[11] นอกจากนี้ยังพบโซ่ทองคำแท้ยาว 18 ฟุต กองทองคำหนัก 500 กิโลกรัม ผ้าคลุมใบหน้าทองคำหนัก 36 กิโลกรัม สายเหรียญทองคำ 'Sarappalli' 1200 เหรียญ ที่ประดับขอบด้วยหินมีค่า ท่ามกลางกองโบราณวัตถุ, สร้อยคอ, มงกุฏ ซึ่งทำมาจากหรือตกแต่งด้วยทองคำ เพชร ทับทิม หินและเหล็กมีค่าอื่น ๆ[12][13][14][15] นอกจากนี้ยังพบเครื่องทรงสำหรับพิธีกรรมในการบูชาเทพองค์ประธานของมนเทียรนั้นเป็นชิ้นส่วนสำหรับสวมใส่ 16 ชิ้น ทำมาจากทองคำและตกแต่งด้วยทับทิมกับมรกต หนักรวมกว่า 30 กิโลกรัม และเหรียญจากศตวรรษที่ 18 หรือราวยุคของนโปเลียน[3] ต่อมาในช่วงต้นปี 2012 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้ถูกแต่งตั้งเพื่อตรวจสอบโบราณวัตถุต่าง ๆ[16][17] วิโนท ไร (Vinod Rai) อดีตเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางและผู้ตรวจสอบบัญชี (Comptroller-and-Auditor-General; CAG) แห่งชาติของอินเดีย ผู้เคยตรวจสอบบัญชีของมนเทียรบางส่วนจากปี 1990 ได้ระบุว่าเมื่อสิงหาคม 2014 ในห้อง A ได้พบกองเหรียญทองคำหนักรวม 800 กิโลกรัม อายุราว 200 ปีก่อนคริสต์กาล มูลค่ารวมกว่า2.7 โคร (11.5 สิบล้านบาท)[18] ผู้คนที่เคยได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการตรวจสอบนี้ระบุว่ามีโอกาสได้เห็นทั้ง บัลลังก์ทองคำ เพชรมากมาย ซึ่งบางเม็ดนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่านิ้วโป้งของผู้ชายโตเต็มวัย[19] ในหลายรายงานได้ระบุว่าพบมงกุฏอย่างน้อยแล้ว 3 อันซึ่งล้วนทำมาจากทองคำและประดับด้วยอัญมณีมีค่า[20][21][22] ในบางรายงานระบุถึงเก้าอี้ทองคำหลายร้อยตัส, ถ้วยไหทองคำเป็นพันใบ ท่ามกลางสมบัติอีกมากเกินความคาดหมายที่พบในห้อง A[23]

การเปิดเผยครั้งนี้เป็นการยืนยันสถานะให้กับปัทมานภสวามีมนเทียรว่าเป็นศาสนสถานที่ร่ำรวยที่สุดในโลก[24] มีการประมาณมูลค่ารวมของวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ ไว้ที่เกือบ 1.2 lakh crore หรือ 1.2 ล้านล้าน (510.5 แสนล้านบาท) แต่หากรวมมูลค่าทางโบราณคดี วัฒนธรรม และความเก่าแก่เข้าไปแล้ว มูลค่านั้นอาจสูงกว่ามูลค่าตลาดที่ประเมินไว้ได้ถึงสิบเท่า[25]

ทั้ง ๆ ที่ยังมีบางห้องและห้องย่อยที่ยังไม่ได้เปิดรวมอีก 3 ห้องจากจำนวนรวม 8 ห้อง สมบัติเท่าที่ค้นพบนี้นั้นถือว่าเป็นการเก็บรวบรวมวัตถุทองคำและหินมีค่าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก[26][27]

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งเจ็ดคนได้ลงความเห็นว่าจะเลื่อนการเปิดค้นห้อง B ออกไปก่อน เนื่องด้วยห้อง B ยังไม่เคยถูกเปิดมาก่อนเลย เป็นที่เชื่อกันว่าการเปิดห้องนี้ออกจะถือเป็นโชคร้ายอย่างรุนแรง[28] ราชสกุลผู้ดูแลทรัพย์สินกล่าวว่ามีตำนานมากมายเกี่ยวกับมนเทียรนี้ และห้อง B ได้ทำประตูด้วยเหล็กพร้อมรูปสลักของงูใหญ่สองตัว เพื่อเป็นการเตือนถึงโชคร้ายอย่างรุนแรงที่จะเกิดขึ้นเมื่อเปิดห้องนี้ออก[29][30] มีการประกอบพิธีอัษฏมงคล เทวปรัสนัม (Ashtamangala Devaprasnam) ขึ้น เพื่อทราบพระประสงค์ขององค์เทพเจ้าองค์ประธานของมนเทียรต่อการเปิดห้อง B ซึ่งหลังการประกอบพิธี คณะกรรมการและนักบวชได้ระบุว่าการพยายามจะเปิดห้อง B ครั้งใดก็ตาม จะเป็นการสร้างความไม่พอพระหฤทัยแก่พระองค์ ในขณะเดียวกันผู้ที่จัดการสมบัติยังพบว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในห้องอื่น ๆ ที่นำออกมาแล้วนั้นก็ได้บังเกิดความโสโครกขึ้นในกระบวนการจัดเก็บ[31] ผู้ซึ่งฎีกาให้ศาลสูงต้องสั่งให้มีการจัดเก็บสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมานี้ขึ้น ที.พี. สุนทราชัน (T.P. Sundarajan) เสียชีวิตลงในเดือนกรกฎาคม 2011 การเสียชีวิตของเขาทำให้ความเชื่อต่าง ๆ เรื่องโชคร้ายและคำสาปของสมบัติในมนเทียรนี้ มีมูลมากขึ้นไปกว่าเดิม[32]

ห้อง B (ห้องเก็บสมบัติต้องห้าม) แก้

ในตำนานที่เป็นที่พูดถึงมากตำนานหนึ่ง เทวดาและฤาษีหลายองค์ที่นับถือในพระพลรามได้เดินทางมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่สระปัทมตีรฐัม (Padmateertham) ในเมืองฐิรุวานันถปุรัม (Thiruvananthapuram) แห่งนี้ และได้ขอพระอนุญาตในการอยู่อาศัยในบริเวณนั้นเพื่อจะได้บูชาพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงอนุญาต เชื่อกันว่าบรรดาเทวดาและฤาษีได้อยู่อาศัยภายในห้องเก็บสมบัติ B (กลลร B; Kallara B) เพื่อถวายบูชาแด่พระองค์ เช่นเดียวกันกับนาคเทวดาที่ศรัทธาในพระองค์[33] รวมทั้ง Kanjirottu Yakshi ผู้ซึ่งปรากฏในภาพเขียนฝาผนังในครรภคฤห์ของมนเทียร ก็สถิตอยู่ในกลลรนี้เพื่อบูชาพระนรสิงห์ด้วย[34] วัตถุศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เช่นศรีจักรัม (ศรีจักร; Sreechakram) ได้ถูกติดตั้งไว้ใต้กลลรนี้เพื่อเสริมพลังให้แก่องค์เทพเจ้าองค์ประธานของมนเทียรนี้ เชื่อกันว่าพระอุครนรสิงห์แห่งเฐกเกโดม (Ugra Narasimha of Thekkedom) เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องกลลร B นี้ ในพิธีอัษฏมงคล เทวปรัสนัม (Ashtamangala Devaprasnam) ระยะเวลาสี่วันซึ่งประกอบเมื่อเดือนสิงหาคม 2011 ได้ประกาศให้กลลร B เป็น "เขตต้องห้ามเด็ดขาด"[35]

อ้างอิง แก้

  1. "About Thiruvananthapuram". Thiruvananthapuram Municipal Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2010. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
  2. Abram, David (1 November 2010). The Rough Guide to Kerala. Rough Guides UK. ISBN 9781405388047.
  3. 3.0 3.1 Padanna, Ashraf (1 July 2011). "India: Treasure unearthed in Kerala temple". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2 July 2011.
  4. Bayi, Aswathi Thirunal Gouri Lakshmi (1995). Sree Padmanabha Swamy Temple. Bharatiya Vidya Bhavan, Bombay, India.
  5. Ponmelil, V.A. "Temples of Kerala – Sri Padmanabhaswamy Temple". Temples.newkerala.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-09. สืบค้นเมื่อ 2020-05-20.
  6. Kerala government has no right over the wealth, 6 July 2011, Rediff.com
  7. SC halts opening of Kerala temple's last vault เก็บถาวร 2012-09-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, TNN & Agencies 8 July 2011
  8. Apex court restrains opening of Kerala temple vault Express news service, Sat 9 July 2011
  9. http://articles.timesofindia.indiatimes.com/2011-07-09/india/29754934_1_temple-riches-devotees-venugopalSree Padmanabhaswamy temple treasure belongs to deity: Royal family เก็บถาวร 6 พฤศจิกายน 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, TNN, 9 July 2011
  10. "Rs50k cr worth treasure in Kerala temple". The Times of India. 2 July 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-11. สืบค้นเมื่อ 3 July 2011.
  11. "Golden idol of Vishnu found at Sree Padmanabhaswamy temple". The Hindu. Chennai, India. 16 June 2011. สืบค้นเมื่อ 4 July 2011.
  12. "Kerala's Padmanabha temple treasure worth over Rs 60k crore".
  13. "Thiruvananthapuram temple riches spark ownership debate".
  14. Ittyipe, Minu (18 July 2011). "The Worth Of Eternal Repose". outlookindia.com.
  15. Gene J. Koprowski. "Results of billion-dollar treasure hunt in Hindu temple to be revealed". Fox News Channel.
  16. "Panel to seek National Geographic Society's help for inventory of temple treasure". The Hindu. สืบค้นเมื่อ 3 May 2014.
  17. Institute of Asian Studies (2005). First International Conference on the History of Early Christianity in India. Institute of Asian Studies. p. 40.
  18. "Padmanabha Swamy temple's wealth beyond imagination: Vinod Rai". 5 January 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-15. สืบค้นเมื่อ 2020-05-20.
  19. Jake Halpern (30 April 2012). "The Secret of the Temple". The New Yorker.
  20. G. Mahadevan. "Padmanabhaswamy temple throws up a treasure trove". The Hindu.
  21. T. S. Subramanian. "The provenance of the temple treasure". The Hindu.
  22. "Five-tier security system for Padmanabhaswamy temple". The Hindu. Press Trust of India.
  23. "The feisty Indian kings and their temple treasure". BBC News.
  24. "'Billions worth' of treasure found in Indian temple". Yahoo! News. 2 July 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 July 2011. สืบค้นเมื่อ 2 July 2011.
  25. Prakash (3 July 2011). "India Today Kerala's Padmanabha temple treasure 120000 crore". India Today. สืบค้นเมื่อ 3 July 2011.
  26. "India to evaluate world's largest gold treasure soon". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2015.
  27. "Gold treasure at India temple could be the largest in the world". commodityonline.com.
  28. Hayes, S (10 July 2011). "The Forgotten and Cursed Billion Treasure Trove Discovered Beneath Indian Temple". NewsFlavor. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-07. สืบค้นเมื่อ 18 July 2011.
  29. "Legend halts Kerala temple stocktaking". The Asian Age. 4 July 2011. สืบค้นเมื่อ 18 July 2011.
  30. TNN (5 July 2011). "Sree Padmanabha Swamy temple: Lord's riches worth more than Rs 1 lakh cr". The Economic Times. New Delhi. สืบค้นเมื่อ 5 July 2011.
  31. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Mathrubhumi Aug 12, 2011
  32. Oibituary: TP Sundararajan, who died on July 17 aged 70, obtained a court order which has led, this summer. to the opening of the vaults of the 16th century Sri Padmanabhaswamy Temple in Trivandrum, in the southern Indian state of Kerala The Daily Telegraph, 20 July 2011
  33. "Sri Padmanabho Rakshatu" by G Sekharan Nair, Mathrubhumi, Thiruvananthapuram Edition dated 17 September 2017
  34. Bayi, Aswathi Thirunal Gouri Lakshmi. 'Sree Padmanabha Swamy Temple' (Third Edition). Bharatiya Vidya Bhavan, 2013.
  35. The Hindu dated 7 July 2011