ไชอา เลอบัฟ
ไชอา เลอบัฟ (อังกฤษ: Shia LaBeouf อ่านว่า /ˈʃaɪə ləˈbʌf/ "SHY-uh luh-BUFF"[2]; เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1986) เจ้าของรางวัลเดย์ไทม์เอมมี[3] และ รางวัลบาฟต้า เป็นนักแสดง,นักดนตรีและผู้กำกับชาวอเมริกัน ที่มีเชื้อสายไอริช,ฝรั่งเศส,ฮาวายและคิวบา หลังจากที่เติบโตในรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงทางช่องดิสนีย์ ในรายการโทรทัศน์ Even Stevens หลังจากนั้นได้มีบทบาททางภาพยนตร์ ประสบความสำเร็จในบทบาทสมทบจากภาพยนตร์เรื่อง Constantine และ I, Robot
ไชอา เลอบัฟ | |
---|---|
เลอบัฟในปีค.ศ. 2017 | |
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | ไชอา ไซเด เลอบัฟ[1] | มิถุนายน 11, 1986
คู่ครอง | มีอา ก็อธ (2012-2018) (เลิกรา) |
อาชีพ | นักแสดง,นักดนตรี,ผู้กำกับ |
รางวัล | |
เอมมี | Outstanding Performer in a Children's Series 2003 Even Stevens |
แบฟตา | Rising Star Award 2008 |
หลังจากที่เขามีผลงานแสดงนำในเรื่อง The Greatest Game Ever Played ผู้กำกับและผู้สร้าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้เลือกเขาแสดงในภาพยนตร์ในปี 2007 เรื่อง Disturbia และ Transformers เลอบัฟได้ร่วมงานกับสปีลเบิร์กอีกครั้งในภาพยนตร์ในปี 2008 เรื่อง ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว และเรื่อง Eagle Eye มีสื่อมวลชนหลายแห่งได้คาดการณ์ไว้ว่า เลอบัฟ กับผลงานการแสดงของเขา เขาจะเป็นนักแสดงผู้นำในปี 2008[4][ลิงก์เสีย][5][6][7]
ชีวิตช่วงแรก
แก้ครอบครัว
แก้เลอบัฟเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายคนเดียวของเชย์นา (นามสกุลเดิม ไซเด) นักเต้นและนักบัลเล่ต์ที่ผันตัวมาเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าและอัญมณี และเจฟฟรีย์ เครก เลอบัฟ ทหารมากประสบการณ์จากสงครามเวียดนาม และตกงานมาแล้วหลายหน และได้ทำงานเป็นตัวตลกในคณะละครสัตว์และโรดีโอ[8][9][10][3][ลิงก์เสีย][11] แม่ของเขาเกิดและโตในนิวยอร์กเป็นชาวยิวและพ่อของเขาเป็นคาจัน เลอบัฟโตมาในครอบครัวศาสนายิวและเขาก็ได้ผ่านพิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah)[11][12][13][14][15][16][17]
ชื่อ "ไชอา" เป็นภาษาฮิบรู มีความหมายว่า "ของขวัญจากพระเจ้า"[18] ส่วนนามสกุล "เลอบัฟ" เพี้ยนมาจากคำว่า "เลอ เบิฟ" ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า วัว หรือ เนื้อวัว[19][12] เลอบัฟเคยพูดว่า "เขาเป็นคนรุ่นที่ 5 ของนักแสดง" และเขาก็รู้การแสดงมาตั้งแต่เขาออกมาจากมดลูก[11] ตาของเลอบัฟซึ่งมีชื่อต้น ชื่อเดียวกับเขา เป็นนักแสดงตลก ทำงานอยู่ที่ Borscht Belt แถบภูเขาแคตสกิล และย่าของเขาเป็นบีตนิก กวีและเป็นเลสเบียนที่รู้จักกับอัลเลน กินสเบิร์ก กวีที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน[19][8][20]
เลอบัฟอธิบายครอบครัวเขาว่าเป็น "ฮิปปี้" พ่อของเขาดู "แข็งเหมือนตะปู และดูต่างพันธุ์จากผู้อื่น" และเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบ "วิถีแห่งฮิปปี้" เขายังบอกว่าพ่อแม่ของเขา "ค่อนข้างแปลกจากคนอื่น แต่พวกเขาก็รักผมและผมก็รักพวกเขา"[11][21] พ่อของเลอบัฟเคยปลูกกัญชาไว้ และทั้งคู่กับสูบกัญชาด้วยกันเมื่อเลอบัฟอายุ 10 ปี[9][11][ลิงก์เสีย] เลอบัฟยังพูดว่าพ่อของเขา "ติดยา" ตั้งแต่เขายังเด็ก ติดเฮโรอีนและได้เข้าบำบัดการติดเฮโรอีนด้วย ขณะที่แม่ของเลอบัฟ "พยายามจะควบคุมไว้"[9] พ่อแม่ของเขาก็หย่าร้างกัน และเขาบรรยายว่า เขาโตมากับแม่ที่ยากจน (ทำงานขายสิ่งทอและเข็มกลัด) ในเอโคปาร์ก ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย[22][13]
การศึกษา
แก้เลอบัฟเข้าศึกษาในโรงเรียนที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวละตินและแอฟริกัน-อเมริกัน[22][13] ทางด้านการแสดง เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนวิชัวล์แอนด์เพอร์ฟอร์มิงอาร์ทสแม็กเน็ต บนถนนที่ 32 ในลอสแอนเจลิส (LAUSD)[11] และโรงเรียนอเล็กซานเดอร์ ฮามิลตัน เขาได้รับทักษะการแสดงจากครูสอนพิเศษ[22] หลังจากจบจากไฮสคูล เลอบัฟรับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยเยล แต่ก็ปฏิเสธไป ภายหลังเขากล่าวว่า "คุณจะได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการไปโรงเรียน"[23] ถึงแม้ว่าเขาอยากจะไปเรียนที่วิทยาลัยก็ตาม[11][ลิงก์เสีย]
อาชีพ
แก้ดาราตลก
แก้เลอบัฟแต่งโครงเรื่อง นิยาย ในช่วงวัยเด็กของเขาและฝึกการแสดงสแตนด์อัพคอเมดี โดยแสดงให้เพื่อนบ้านของเขาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรในละแวดนั้น[13][ลิงก์เสีย] เขาเริ่มแสดงสแตนอัพคอเมดี และเล่าเรื่องสัปดน ที่คลับตลกหลายแห่ง (รวมถึงดิไอซ์เฮาส์ ในพาซาดีนาด้วย) เมื่ออายุ 10 ปี เลอบัฟเล่าว่าเขาใช้มุขตลก "สัปดนที่น่าขยะแขยง" ของผู้ใหญ่อายุ 50 ปี ออกจากปากเด็กอายุ 10 ขวบ[24][22] เอเย่นต์ให้งานเลอบัฟ หลังจากที่เลอบัฟเองหาเบอร์โทรศัพท์จากสมุดหน้าเหลืองแล้วโทรไปหาเอเย่นต์แสร้งทำเป็นผู้จัดการของเขาเอง เนื่องจากตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ และเอเย่นต์ก็รู้ว่าคนโทรมาคือเด็ก และก็พูดว่า "เธอไม่เคยมีเด็กพยายามขายตัวเองมาก่อน"[13][25]
ช่วงแรก (1996–2006)
แก้เลอบัฟเคยบอกว่าตอนแรกที่ก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงเพราะครอบครัวเขาแตกแยก ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเป็นนักแสดง[24][ลิงก์เสีย] เขามีชื่อเสียงในหมู่ผู้ชมวัยรุ่นหลังจากเล่นในรายการตลกประจำสัปดาห์ในช่องดิสนีย์ ในบทหลุยส์ สตีเวนส์ ที่ชื่อ Even Stevens เป็นบทบาทที่เขารับเล่นหลังจากเซ็นสัญญากับเอเย่นต์ เลอบัฟยังมีส่วนในรายการของช่องดิสนีย์ฮิตอีกที่ชื่อ Tru Confessions ได้รับบทที่ท้าทาย เป็นเด็กที่มีพี่สาวที่กำลังทำสารคดีเกี่ยวกับความพิการของน้องชาย[13][ลิงก์เสีย] เป็นช่วงเดียวกับที่พ่อของเขาออกมาจากสถานบำบัดยาเสพติด และได้กลับมาอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเลอบัฟอีกครั้ง[26] เลอบัฟได้รับรางวัลเดย์ไทม์เอมมีจากบทบาทหลุยส์[11] และเขาพูดว่า "เขาโตขึ้น" และชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็น "ได้หายไป" ถึงแม้ว่าการได้ร่วมแสดงจะเป็น "สิ่งที่ดีที่สุด" ที่เกิดขึ้นกับเขา[9] ในช่วงนั้นเลอบัฟจะได้มีงานในสเก็ตช์โชว์ในรายการ The Tonight Show with Jay Leno[24] ต่อมาปี 2003 เขามีผลงานกับดิสนีย์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Holes กับบทบาท สแตนลีย์ "เคฟแมน" เยลแนตส์ ที่ 4 แสดงร่วมกับ ซิกกอร์นีย์ วีเวอร์ , จอน วอยจต์ และ ทิม เบลก เนลสัน ขณะที่ถ่ายทำเรื่อง Holes อยู่ จอน วอยจต์ให้หนังสือเกี่ยวกับการแสดงเขาและเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตระหนักว่าการแสดงมันเป็นอะไรที่มากกว่างาน[8] ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จดีในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส สตีเวน สปีลเบิร์กก็ชื่นชมกับเลอบัฟในผลงานเรื่อง Holes นี้และยังพูดว่า "มันทำให้ฉันนึกถึงทอม แฮงส์ในวัยหนุ่ม"[3]
ในปีเดียวกันนั้นเอง เขามีส่วนร่วมกับสารคดีทางช่องเอชบีโอที่ชื่อรายการ Project Greenlight ที่เป็นเรื่องราวของภาพยนตร์อิสระเรื่อง The Battle of Shaker Heights เขายังปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Charlie's Angels: Full Throttle ในบทแม็กซ์ เพโทรนิ ลูกกำพร้าที่เหล่านางฟ้าได้ช่วยเหลือไว้ นอกเหนือจากบนหน้าจอแล้วเลอบัฟยังช่วยเขียนบทและกำกับใน Let's Love Hate ดราม่าเรื่องสั้นที่ชนะรางวัล Children's Jury Award ในปี 2004 และ Children's Audience Award ในปี 2005[27] เขามีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์เรื่อง I, Robot (2004) และปรากฏตัวในภาพยนตร์แอ็คชันสยองขวัญเรื่อง Constantine (2005) แสดงร่วมกับเคียนู รีฟส์และราเชล วีสซ์ และในภาพยนตร์ของดิสนีย์เรื่อง The Greatest Game Ever Played รับบทเป็นฟรานซิส อุยเม็ท ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักกอล์ฟที่ยากจนที่ชนะในยูเอสโอเพนแชมเปียนชิพ ในปี 1913[8] ในปี 2006 เลอบัฟร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Bobby ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเปลือยกายในฉาก เขายังเล่นในบท ดิโต มอนทีลในภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเรื่อง A Guide to Recognizing Your Saints ซึ่งรับบทเดียวกันในช่วงโตโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เลอบัฟพูดว่า เขาไม่ได้เป็น "นักแสดง นายแบบของทางช่องดิสนีย์"[3] และพยายาม "สลัดภาพนักแสดงดิสนีย์ออกให้มากที่สุด"[28] และด้วยอายุของเขา หลังจากบทบาททางช่องดิสนีย์ เขาอธิบายว่า "เป็นที่ที่เยี่ยมและทุกสิ่ง" และ "เป็นสถานที่ที่ฟูมฟักตัวเขา"[24] แต่ "ไม่ได้ฟื้นฟูให้กับการเป็นนักแสดง" เป็น "สิ่งเดิม ๆ ที่เหมือนกัน"[10] เขายังพูดว่า "เขารู้สึกสนุกสนานกับการเป็นนักแสดงเด็กและเขาเกลียดการไปโรงเรียน"[29]
แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จ (2007–2008)
แก้ในปี 2007 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Disturbia ภาพยนตร์เขย่าขวัญที่ออกฉายเมื่อวันที่ 13 เมษายน เขารับบทเป็นวัยรุ่นผู้ต้องหาที่ถูกกักกันในบ้านของเขา ที่สงสัยว่าเพื่อนบ้านของเขา รับบทโดย เดวิด มอร์ส เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมและเขาได้รับคำวิจารณ์ในทางบวก บัฟฟาโลนิวส์ เขียนไว้ว่า "เลอบัฟ นักแสดงหนุ่มที่สามารถดึงความโกรธ ความเสียใจ และความเฉลียวฉลาด ได้ในเวลาเดียวกัน"[30][ลิงก์เสีย] เคิร์ต โลเดอร์ นักเขียนจากเอ็มทีวีเขียนไว้ว่า "หมัดชกสู่หนทางแห่งดวงดาว" [31] และซานฟรานซิสโกโคนิเคิล เขียนไว้ว่า "ก้าวสู่นักแสดงที่ดีที่สุดของฮอลลีวูดได้อย่างรวดเร็ว"[32] และยังได้รับการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง Rear Window โดยนิวยอร์กเดลินิวส์อธิบายไว้ว่า "เขาดูเหมือนจอห์น คูแซ็กมากกว่า จิมมี สจ๊วต"[33] ในปี 2007 นี้เอง เลอบัฟได้ให้เสียงพากย์เป็น โคดี้ มาเวอริก ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Surf's Up และได้รับบทเป็นวัยรุ่นชื่อ แซม วิตวิกกี ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง Transformers ออกฉายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เขาพูดว่าเขาเป็นแฟนของซีรีส์เรื่อง Transformers และภาพยนตร์เรื่อง The Transformers: The Movie ในปี 1986[34] ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่ประทับใจในการแสดงของเขาใน Holes
เลอบัฟเป็นพิธีกรให้รายการแซทเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์เมื่อวันที่ 14 เมษายนและ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2008[35] เขายังได้รับการตั้งฉายาว่า "ดวงดาวแห่งวันพรุ่งนี้" จาก ShoWest convention of the National Association of Theater Owners[23] และเดือนกุมภาพันธ์ 2008 เขาได้รับรางวัลบาฟต้า ในฐานะในแสดงดาวรุ่ง ที่เป็นการลงเสียงจากการโหวตของชาวอังกฤษ[36] ที่ประทับใจกับบทบาทการแสดงเรื่อง Transformers[3] เขายังได้เล่นในภาพยนตร์เรื่อง ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว ออกฉายในเดือนพฤษภาคม 2008[37] เลอบัฟเคยพูดว่า "เรื่องต่อๆ ไปของเขาจะรับบทในภาพยนตร์ที่สเกลเล็กลง"[3] เขารับบทในภาพยนตร์เรื่อง Eagle Eye ภาพยนตร์เขย่าขวัญกำกับโดย ดี.เจ. คารูโซ ออกฉายเดือนตุลาคม 2008[38] มีเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่ม (เลอบัฟ) และแม่หม้ายที่ถูกนำตัวมาและบังคับให้ทำตามคำสั่งจากสายโทรศัพท์ไม่ทราบที่มา ภาพยนตร์ออกฉายวันที่ 26 กันยายน เป็นภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้อีกเรื่องของเลอบัฟ ทำรายได้ 177 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[39] ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ได้ด้านบวกและลบ จอร์ช เบล จากลาสเวกัสวีกลี พูดว่า "เขาได้รับบทหนักในบทฮีโรแอ็กชัน ถึงแม้ว่าในบางครั้งความพยายามที่จะแสดงความลึกของอารมณ์ของเขาก็ไม่ได้ไปไหน"[40] ส่วนในบทวิจารณ์ของพอล เบิร์นส จากซิดนีย์มอร์นิงเฮอรอลด์ สังเกตเห็นความคล้ายคลึงในบทบาทที่เขาเล่นเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องก่อน[41] ในเดือนธันวาคม 2008 เขาหลุดออกจากภาพยนตร์เรื่อง Dark Fields เนื่องจากแขนเขาประสบอุบัติเหตุจากรถชน ที่ต้องรักษาพยาบาลในช่วงเริ่มถ่ายทำ[42][43]
Transformers: Revenge of the Fallen และหลังจากนั้น (2009– 2014)
แก้ในปี ค.ศ. 2009 เลอบัฟได้ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ คริส "เคจ" พัลโค กำกับมิวสิกวิดีโอ "I Never Knew You" ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 3 ของเคจที่ชื่อ Depart From Me.[44] มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในเขตดาวน์ทาวน์ของลอสแอนเจลิสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร่วมแสดงโดยศิลปินค่ายดิฟินิทีฟจักซ์ อย่าง แอลl-พี, เอซอป ร็อก, แย็ก บอลซ์ และอเล็กซ์ พาร์ดี[44] จาก แอลเอวีกลี พูดถึงวิดีโอนี้ว่า เป็นครั้งแรกของการร่วมงานของเลอบัฟกับเคจ และท้ายสุดผลคือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตแร็ปเปอร์ นำแสดงโดยเลอบัฟ เมื่อถามถึงเกี่ยวกับการกำกับมิวสิกวิดีโอ เลอบัฟตอบว่า "ผมอายุ 22 ผมกำกับมิวสิกวิดีโอเพลงของแร็ปเปอร์ที่ผมชอบ มันดีกว่าการนั่งยูนิคอร์นอีก"[44] วิดีโอออกฉายปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทางช่องเอ็มทีวีทู และเอ็มทีวียู
เลอบัฟกลับมารับบทแซม วิตวิกกีอีกครั้งในภาคต่อ Transformers ในปี 2009 เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen เริ่มถ่ายภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 และถ่ายจบปลายปี 2008[45] และเนื่องจากเลอบัฟบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไมเคิล เบย์และนักเขียนบท โรเบอร์โต ออร์ซี ได้เขียนบทใหม่เพื่อปิดเรื่องแขนเขาตลอดการถ่ายทำ[46] เลอบัฟพูดว่าการถ่ายทำล่าช้าไปเพียง 2 วันหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ เบย์ได้ถ่ายทำฉากที่สองเพิ่ม และเลอบัฟพบว่าไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถกลับมาถ่ายต่อได้[47] จนใกล้จบเรื่อง เลอบัฟก็ตาจบจากที่เขาไปกระแทกกับอุปกรณ์ประกอบฉาก ทำให้เขาต้องเย็บ 7 เข็ม.[48] เขากลับมาถ่ายต่อในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง[48] สำหรับการทำงานนี้ เลอบัฟพูดว่าเขาได้รับค่าจ้างราว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[49] ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำเงิน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก[50] แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ในด้านลบ,[51] ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแรซซี ในปี 2009 ในสาขาคู่บนภาพยนตร์ยอดแย่ ไม่กับเมแกน ฟอกซ์ก็ทรานสฟอร์เมอร์[52]
เลอบัฟรับบทเป็น เจค็อป พนักงานยกกระเป๋าในโรงแรมในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง New York, I Love You ภาพยนตร์รวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับการค้นหารักใน 5 เบอโรห์ของนิวยอร์กและภาคต่อของ Paris, je t'aime ภาพยนตร์ออกฉายในเดือนตุลาคม 2009 ได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งบวกและลบ[53] ในเดือนกันยายน 2010 เขาแสดงในภาพยนตร์กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps ภาพยนตร์ภาคต่อของ Wall Street (1987) รับบทเป็นเจค็อบ "เจค" มัวร์ หนุ่มไฟแรงที่อยากก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าหุ้น ที่มีความสัมพันธ์กับลูกสาวของกอร์ดอน เกกโก ที่ชื่อวินนี[54] ในความพยายามเข้าถึงบทบาท เขาเลือกที่จะไว้หุ่นแบบผอมไว้ เพราะเรื่องคาดิโอเป็นเรื่องใหญ่ และพวกเขาก็ผอม[55] ภาพยนตร์ฉายปิดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2010[56] เดวิด กริตเทนจาก เดอะเดลีเทเลกราฟ ตั้งข้อสังเกตว่า "เลอบัฟแก่พอที่จะเล่นบทนักธุรกิจหนุ่มที่เฉลียวฉลาดแล้ว และทำได้ดี"[57] เลอบัฟจะแสดงในภาพยนตร์ภาค 3 ของ Transformers ที่คาดว่าจะออกฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2011[58] ในเดือนธันวาคม 2008 เลอบัฟเข้ารับบทเป็น ไคล์ แม็กอะวอย ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่อง The Associate ของจอห์น กริสแฮม[59] กริชแฮมที่ได้เลือกตัวเลอบัฟกับมือ พูดถึงการแสดงเขาว่า "ผมคิดว่าเขาวิเศษมาก เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถอย่างมาก"[60] ในเดือนธันวาคม 2009 เลอบัฟแสดงในภาพยนตร์ The Promised Land แต่โครงการยกเลิกไปเนื่องจากปัญหาด้านการเงิน[61] เลอบัฟผิดหวังกับผลของโครงการ ทำให้เขาละจากเอเยนต์ที่วิลเลียม มอร์ริส เอนดีวอร์[61] และหลังจากนั้นเขาพยายามทำงานโดยไม่มีเอเยนต์ แต่ในที่สุดเขาก็เซ็นกับเอเยนต์ ครีเอทีฟอาร์ทิสเอเจนซี[61] ในเดือนมกราคม 2010[62]
ชีวิตส่วนตัว
แก้เลอบัฟซื้อบ้านเองตั้งแต่อายุได้ 18 ปี เป็นบ้านสองห้องนอน[6] อยู่ในเบอร์แบงก์ แคลิฟอร์เนีย และอยู่ใกล้กับทั้งบ้านพ่อและแม่ของเขา แม่ของเขาอยู่ใกล้กับ Tujunga ในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ส่วนพ่อของเขาอยู่ที่มอนแทนา[8][11][13] เขามีรถนิสสัน แม็กซิมา[7]และมีหมาบูลด็อก 2 ตัวชื่อ แบรนโด กับ เร็กซ์[6][63] ในด้านส่วนตัวเขาเป็นคนติดการสูบบุหรี่[11][64][8] เขายังเคยพูดว่า "กีฬา สำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่"[64] และเขายังเป็นนักดูหนังตัวยง[65] เขาชอบฟังเพลงของ The Shins, CKY และเพลงฮิปฮอปของค่ายเพลง Definitive Jux[24]
เลอบัฟเคยพูดว่านักแสดงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาคือ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน[24] , โจดี ฟอสเตอร์, จอน วอยต์ และ จอห์น เทอร์เทอร์โร[6] เขายังเคยพูดว่า "เขาจริงจังกับอาชีพนักแสดง" และเขา "พยายามห่างจากปาร์ตี้สังสรรค์เพราะมันจะมีผลต่อการทำงาน" และเชื่อว่า "ถ้าคนตราหน้าคุณว่าคุณมัวแต่ไปปาร์ตี้ คุณก็จะได้งานน้อยลง"[11] เลอบัฟเคยพูดว่าเขาไม่ใช่คนยิวที่เคร่งครัด[16]
วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เลอบัฟถูกจับขณะเมาไม่ได้สติ ในช่วงเช้าข้อหากระทำความผิดบุกรุกร้านขายยา วอลกรีนส์ในชิคาโก้ หลังจากปฏิเสธที่จะออกจากร้านจากพนักงานรักษาความปลอดภัย[66] เลอบัฟขึ้นศาลเมื่อ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 แต่ข้อหาก็ตกไป[67] ต่อมาเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 โดนศาลออกหมายจับพร้อมตั้งค่าหัว 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากกรณีไม่ยอมไปปรากฏตัวต่อหน้าศาล หลังกระทำผิดในคดีอาญาประเภทลหุโทษ ของเมืองเบอร์แบงก์ที่ระบุว่าการสูบบุหรี่ ในระยะ 20 ฟุตใกล้กับทางเข้าออก และหน้าต่างอาคารที่เปิดออกสู่ที่สาธารณะ[68]
5 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานว่าเลอบัฟกำลังออกเดทอยู่กับนางแบบสาวอย่าง ลอเรน ฮาสติงส์ จนถึง 2011 เขาได้ประกาศว่าเลิกกับฮาสติงส์แล้ว ในปี 2012 มีรายงานว่าเขากำลังออกเดทกับนักแสดงสาวและนางแบบชาวอังกฤษชื่อว่า มีอา ก็อธ เขาประกาศว่าเขาหมั้นกับก็อธกันในปี 2016 และในปี 2018 ทั้งคู่ได้ประกาศเลิกราและประกาศยกเลิกงานแต่งแล้ว เนื่องจากความสัมพันธุ์ระหว่างเขาและก็อธไม่แตกต่างกันตามกฎหมายกัน [69]
ผลงานภาพยนตร์
แก้ปี ค.ศ. | ชื่อ | บทบาท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
1999 | The X-Files (ชื่อไทย: ตำนานแฟ้มลับคดีพิศวง) |
ริชชี ลูโพน | ตอนที่ชื่อว่า "The Goldberg Variation" |
2000 | Freaks and Geeks | เฮอร์เบิร์ต เดอะ มาสค็อต | ตอนที่ชื่อว่า "We've Got Spirit" |
2000-2003 | Even Stevens | หลุยส์ สตีเวนส์ | รายการโทรทัศน์ |
2000 | ER | ดาร์เนล สมิธ | ตอนที่ชื่อว่า "Abby Road" |
2001 | The Nightmare Room | ดีแลน เพียร์ซ | ตอนที่ชื่อว่า "Scareful What You Wish For" |
Hounded | รอนนี แวน ดูเซ็น | ภาพยนตร์ทางช่องดิสนีย์ | |
2002 | Tru Confessions | เอ็ดดี วอล์กเกอร์ | ภาพยนตร์ทางช่องดิสนีย์ |
2003 | The Even Stevens Movie | หลุยส์ สตีเวนส์ | ภาพยนตร์ทางช่องดิสนีย์ |
The Battle of Shaker Heights (ชื่อไทย: รบให้ซิ่ง...ชิ่งโดนใจเธอ) |
เคลลี เอิร์นวิเลอร์ | ออกฉายจำกัดโรง | |
Charlie's Angels: Full Throttle (ชื่อไทย: นางฟ้าชาร์ลี : เสน่ห์เข้มทะลุพิกัด) |
แม็กซ์ เพโทรนิ | ||
Dumb & Dumberer: When Harry Met Lloyd (ชื่อไทย: ดั้มบ์เลอะ ดั้มบ์เบอะ โง่จริงจา) |
ลูวิส | ||
Holes (ชื่อไทย: โฮลส์ ขุมทรัพย์ปาฏิหาริย์) |
สแตนเลย์ "เคฟแมน" เยลแนตส์ ที่ 4 | ||
2004 | I, Robot (ชื่อไทย: ไอ โรบอท แผนพิฆาตจักรกลเขมือบโลก) |
ฟาร์เบอร์ | |
2005 | The Greatest Game Ever Played (ชื่อไทย: เกมยิ่งใหญ่...ชัยชนะเหนือความฝัน) |
ฟรานซิส อุยเมต์ | |
Nausicaä of the Valley of the Wind (ชื่อไทย: เนาซิกะแห่งหุบผาสายลม) |
แอสเบล | ให้เสียงพากย์ | |
Constantine (ชื่อไทย: คนพิฆาตผี) |
แชส คราเมอร์ | ||
2006 | Bobby (ชื่อไทย: ปริศนาฆาตกรรม โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้) |
คูเปอร์ | |
A Guide to Recognizing Your Saints | ยัง ดิโต | ||
2007 | Disturbia (ชื่อไทย: จ้อง หลอน...ซ่อนเงื่อนผวา) |
เคล เบรชต์ | |
Surf's Up (ชื่อไทย: เซิร์ฟอัพ ไต่คลื่นยักษ์ซิ่งสะท้านโลก) |
โคดี มาเวอริก | ให้เสียงพากย์ | |
Transformers (ชื่อไทย: มหาวิบัติจักรกลสังหารถล่มจักรวาล) |
แซม วิตวิกกี | ||
2008 | Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (ชื่อไทย: ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว) |
เฮนรี "มัตต์ วิลเลียมส์" โจนส์ ที่ 3 | |
Eagle Eye (ชื่อไทย: อีเกิ้ล อาย แผนสังหารพลิกนรก) |
เจอร์รี ชอว์ | ||
2009 | New York, I Love You (ชื่อไทย: นิวยอร์ก นครแห่งรัก) |
เจค็อบ | |
Transformers: Revenge of the Fallen (ชื่อไทย: อภิมหาสงครามแค้น) |
แซม วิตวิกกี | ||
2010 | Wall Street: Money Never Sleeps (ชื่อไทย: วอลสตรีท: เงินอำมหิต) |
เจค็อบ "เจค" มัวร์ | |
2011 | Transformers: Dark Of The Moon (ชื่อไทย: ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3) |
แซม วิตวิกกี |
อ้างอิง
แก้- ↑ According to the State of California. California Birth Index, 1905-1995. Center for Health Statistics, California Department of Health Services, Sacramento, California. At Ancestry.com
- ↑ ตัดตอนมาจากรายการ Late Show with David Letterman, ไชอา เลอบัฟ ออกเสียง "Shia" ที่เวลา 00:54 และ "LaBeouf" ที่เวลา 01:00: http://www.youtube.com/watch?v=9jEkt0i7hSk
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Ressner, Jeffrey (2007-07-01). "The next Tom Hanks?". USA Weekend. สืบค้นเมื่อ 2007-07-08.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Long, Tom (2007-04-13). "Breakout". Detroit News. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Kepnes, Caroline (2007-04-13). "Weekend Peep Show: Spring Cleaning!". E! Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Randall, Laura (2007-04-13). "Shia LaBeouf's star gets brighter". The Christian Science Monitor. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 7.0 7.1 Portman, Jamie (2007-04-13). "Shia LaBeouf's make-or-break year". The Vancouver Sun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 Winters Keegan, Rebecca (2007-07-05). "The Kid Gets the Picture". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-10. สืบค้นเมื่อ 2007-07-08.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Lemire, Christy (2007-04-13). "Shia LaBeouf: 'I'm sick of being a boy'". Canton Repository. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-27. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 10.0 10.1 Woulfe, Molly (2007-04-13). "All grown up, Shia spouts off on 'Disturbia'". NW Times. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 11.00 11.01 11.02 11.03 11.04 11.05 11.06 11.07 11.08 11.09 11.10 Koltnow, Barry (2007-04-13). "Watching the moves". OC Register. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-18. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 12.0 12.1 Rob Allsletter (2007-07-02). "TRANSFORMERS' SHIA LABEOUF". Comics Continuum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2007-07-04.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 Strauss, Bob (2007-04-07). "Shia LaBeouf has come a long way in Hollywood". Inland Valley Daily Bulletin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.
- ↑ Thomas, Karen (2003-04-20). "'Holes' may mean a real opening for Shia LaBeouf". USA Today. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Shady, Bethany (2/02). "SHIA LaBeouf". Tastes Like Chicken. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-03. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 16.0 16.1 Bloom, Nate (2007-04-10). "Interfaith Celebrities: Shia the Mensch". Interfaithfamily.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-22. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ O, Jimmy (2007-04-11). "INT: Shia LaBeouf". JoBlo.com. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ ไชอา ลาบัฟฟ์ จาก Indiana Jones 4 kapook.com
- ↑ 19.0 19.1 "Oh Boy! Shia LaBeouf Mouths Off". Gurl. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-01. สืบค้นเมื่อ 2007-07-21.
- ↑ Strickler, Jeff (2007-04-12). "'Disturbia' actor still just a kid". Minneapolis Star Tribune. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-18. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Fischer, Paul (2005-02-08). "Interview: Shia LaBeouf for "Constantine"". Dark Horizons. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-08. สืบค้นเมื่อ 2007-04-14.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 King, Susan (2007-04-11). "A prime cut of LaBeouf". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 23.0 23.1 Moore, Roger (2007-04-13). "As Shia LaBeouf grows up,critical acclaim grows stronger". The Orlando Sentinel. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 24.3 24.4 24.5 Cabrera, Delmy (2007-04-14). "LaBeouf take9s over Tinsel Town at Twenty". The Depaulia. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Harvey, Shannon (2007-04-14). "'He's a natural'". Sunday Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-30. สืบค้นเมื่อ 2008-06-01.
- ↑ Williamson, Kevin (2007-04-12). "LaBeouf shaped by drug abuse". Jam! Showbiz. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ IMDb.com Shia LaBeouf on the Internet Movie Database เรียกดูเมื่อ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2007
- ↑ Johnson, Neala (2007-04-12). "Shia ground". The Herald Sun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-30. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Cordova, Randy (2007-04-13). "Career window opening for Shia LaBeouf". AZ Central. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Schobert, Christopher (2007-04-13). "Movies: Creepy cool 'Disturbia'". The Buffalo News. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Loder, Kurt (2007-04-13). "'Disturbia': Watchmen, By Kurt Loder". MTV Movie News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-27. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Stein, Ruthe (2007-04-13). "If only Jimmy Stewart had had Wi-Fi and a cell". San Francisco Chronicle. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Weitzman, Elizabeth (2007-04-13). "Movie Review: Nightmare in suburbia". The New York Daily News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Carroll, Larry (2006-08-31). "'Transformers' Set Has Flashy Cars, Robot Models, Exploding Furbys". MTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-14.
- ↑ "SNL Archives | Episode". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-27. สืบค้นเมื่อ 2008-06-28.
- ↑ "Bafta Film Awards 2008: The winners". BBC News Online. 2008-02-10. สืบค้นเมื่อ 2008-02-10.
- ↑ "LaBeouf Confirmed for Indiana Jones 4" (Press release). Coming Soon.net. 2007-04-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-15. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Thomas, Brian (2007-07-10). "SHIA LaBEOUF SIGNS FOR THRILLER 'EAGLE EYE'". IF Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-11. สืบค้นเมื่อ 2007-07-10.
- ↑ "Eagle Eye". Box Offfice Mojo. IMDb Inc. สืบค้นเมื่อ 2010-06-15.
- ↑ Bell, Josh (2008-09-25). "Eagle Eye". Las Vegas Weekly. Greenspun Media Group. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
- ↑ Byrnes, Pauul (2008-09-26). "Eagle Eye (page 2)". Sydney Morning Herald. Fairfax Digital. สืบค้นเมื่อ 2010-06-28.
- ↑ Roger Friedman (2008-12-05). "Shia Quits Film Over Smashed Hand". FOX News. FOX News Network, LLC. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ Miller, Korin (2008-12-08). "Report: Shia LaBeouf drops out of 'Dark Fields' due to hand injury". New Y Daily News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-04. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 Broadley, Erin (2009-05-08). "The Actor Becomes a Director: With Shia LaBeouf and Chris 'Cage' Palko, Making the "I Never Knew You" Video". LA Weekly. Village Voice Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-09. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ Jay A. Fernandez, Borys Kit (2008-05-29). "Rainn Wilson in for 'Transformers 2'". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-30. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ "'Transformers' Director Michael Bay: Shia LaBeouf 'Was Not Drunk' During Crash". Access Hollywood. 2008-07-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-27. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.
- ↑ "Shia LaBeouf Talks Crash; More Surgery On The Way". Access Hollywood. 2008-09-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-22. สืบค้นเมื่อ 2008-09-16.
- ↑ 48.0 48.1 Larry Carroll (2008-10-02). "Shia LaBeouf Is 'Fine' After Latest Injury, 'Transformers' Producer Says". MTV. Viacom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-16. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ McDaniel, Matt (2009-06-25). "Big Robots Lead to Bigger Paychecks for Michael Bay". Yahoo! Movies. Yahoo! Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-01. สืบค้นเมื่อ 2010-03-11.
- ↑ "Transformers: Revenge of the Fallen". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ "Transformers: Revenge of the Fallen (2009)". Rotten Tomatoes. IGN Entertainment. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ "Razzie Award nominations: Can Sandra Bullock win worst AND best actress?". Los Angeles Times. Tribune Company. 2010-02-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-24. สืบค้นเมื่อ 2010-08-19.
- ↑ "New York, I Love You". Metacritic. CBS Interactive Inc. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Burrough, Bryan (2002-10-20). "The Return of Gordon Gekko". Vanity Fair. Condé Nast Digital. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ Cindy Adams (2009-11-02). "Fiscal crash course". New York Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-11. สืบค้นเมื่อ 2010-08-25.
- ↑ Noah, Sherna (2010-04-15). "Mike Leigh film in running for Palme D'Or". Independent.co.uk. สืบค้นเมื่อ April 15, 2010.
- ↑ Gritten, David (2010-05-14). "Cannes Film Festival 2010: Wall Street: Money Never Sleeps, review". The Daily Telegraph. Telegraph Media Group Limited. สืบค้นเมื่อ 2010-06-27.
- ↑ Rosenberg, Adam (2010-01-10). "'Transformers 3' Rolling Out With Megan Fox For A July 1, 2011 Release". MTV. Viacom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-14. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ Bryant, Adam (2008-12-02). "Shia LaBeouf to Become John Grisham's Associate". TV Guide. OpenGate Capital. สืบค้นเมื่อ 2009-03-23.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Sidman, Amanda (2009-06-01). "Shia LaBeouf will be John Grisham's latest legal beagle". New York Daily New. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-22. สืบค้นเมื่อ 2010-02-21.
- ↑ 61.0 61.1 61.2 Sach, Adam (April 2010), "He's So Money", GQ
{{citation}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help) - ↑ Fleming, Mike (2010-01-11). "Surprise! Shia LaBeouf Signs With CAA". Deadline Hollywood Daily. Media Corporation. สืบค้นเมื่อ 2010-03-27.
- ↑ "Shia LaBeouf trivia". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-23. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ↑ 64.0 64.1 Randall, Laura (2007-04-13). "Shia LaBeouf's hot, and he's caught Spielberg's eye". Philadelphia Daily News. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Topel, Fred (2007-04-12). "Shia LaBeouf talks Transformers". CraveOnline. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-10. สืบค้นเมื่อ 2007-04-13.
- ↑ Hollywood, Access (2007-11-04). "Shia LaBeouf arrested at Chicago Walgreens". MSNBC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-14. สืบค้นเมื่อ 2008-07-12.
- ↑ "Shia Transforms Rap Sheet". E! News. 2007-12-12. สืบค้นเมื่อ 2008-02-14.
- ↑ เบี้ยวขึ้นศาลเฉย ออกหมายจับ"ลาบัฟ" เก็บถาวร 2008-05-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน siamdara.com
- ↑ "Shia LaBeouf Dating Lauren Hastings". A Socialite's Life. 2008-05-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-01. สืบค้นเมื่อ 2008-07-12.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- ไชอา เลอบัฟ ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Shia LaBeouf Interview เก็บถาวร 2008-08-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ ThinkTalk