หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ
หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (อังกฤษ: United Nations Border Relief Operation: UNBRO) เป็นความพยายามในการบรรเทาทุกข์ที่ได้รับทุนจากชาติผู้บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามหลายปีตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ปฏิบัติการนี้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ถึง พ.ศ. 2544
ศูนย์ฯ เขาอีด่าง เป็นอีกหนึ่งศูนย์ภายใต้การดูแลของ UNBRO | |
ชื่อย่อ | UNBRO |
---|---|
ก่อตั้ง | 1 มกราคม 2525 |
ล่มสลาย | ธันวาคม 2544 |
วัตถุประสงค์ | ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม |
ที่ตั้ง | |
ภูมิภาคที่รับผิดชอบ | ชายแดนไทย–กัมพูชา |
ผู้แทนพิเศษเพื่อการประสานงานโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของกัมพูชา | โรเบิร์ต แจ็กสัน |
องค์กรปกครอง | สหประชาชาติ |
การก่อตั้ง
แก้ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 หลังจากที่เขมรแดงถูกขับไล่ออกจากอำนาจโดยกองกำลังเวียดนามที่รุกรานเข้ามา ชาวกัมพูชาหลายแสนคน กลุ่มเขมรแดงได้แสวงหาอาหารและที่พักพิงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการบรรเทาทุกข์จากนานาชาติ ในช่วงแรก หน่วยงานระหว่างประเทศที่เรียกว่า "คณะผู้แทนร่วม" ประกอบด้วย UNICEF, ICRC, UNHCR และ WFP รับผิดชอบในการแจกจ่ายอาหาร การดูแลสุขภาพ การสร้างค่ายและสุขอนามัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย[1][2] อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าก็ชัดเจนว่าความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มอบให้ในค่ายต่าง ๆ เช่น ค่ายผู้อพยพสระแก้ว ช่วยให้เขมรแดงฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ซึ่งเป็นผลมาจากโจมตีของเวียดนาม จนทำให้มีแนวโน้มว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ด้วยเหตุนี้และความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงานบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ ICRC และ UNICEF ลดบทบาทในการจัดการบริการบรรเทาทุกข์ผู้ลี้ภัยที่ชายแดน[3] ขณะที่ UNHCR ทำงานเฉพาะกับผู้พักอาศัยในศูนย์กักกัน เช่น ศูนย์เขาอีด่างและศูนย์พนัสนิคมเท่านั้น และไม่ได้ให้บริการในค่ายชายแดนแต่อย่างใด[4]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2525 หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ก่อตั้งขึ้นเพื่อประสานงานปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ชายแดนภายใต้การกำกับดูแลของผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อการประสานงานโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของกัมพูชา (OSRSG) ซึ่งในขณะนั้นนำโดย เซอร์ โรเบิร์ต แจ็คสัน[5] เดิมรู้จักกันในชื่อ "WFP-UNBRO" ผู้อำนวยการคนแรกคือผู้ประสานงาน UNDP ประจำกรุงเทพฯ วินสตัน อาร์. แพรตลีย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน WFP ด้วย เนื่องจากปฏิบัติการนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ในช่วงแรก UNICEF จึงตกลงที่จะให้ยืมหน่วยฉุกเฉินกัมพูชาเป็นเวลา 6 เดือน จนกว่า UNBRO จะสามารถจ้างคนของตนเองได้[6]
หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) เป็นหน่วยงานชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง หน่วยงานนี้มีคำสั่ง แต่ไม่มีกฎบัตรหรือสภาบริหารอิสระ นอกจากนี้ยังไม่มีงบประมาณอิสระอีกด้วย โดยต้องอาศัยการสนับสนุนจากประเทศผู้บริจาคจากสมัชชาใหญ่ ซึ่งได้รับการร้องขอผ่านคำมั่นสัญญาในการประชุมผู้บริจาคปีละสองครั้ง[7] หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติได้รับเงินบริจาคและสิ่งของเป็นหลักจากสหรัฐ คณะกรรมาธิการยุโรป ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และแคนาดา
ขอบเขตการดำเนินงาน
แก้หลักการชี้นำ
แก้หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ดำเนินงานบนพื้นฐานของหลักการทำงานห้าประการ ซึ่งระบุไว้ในบันทึกภายในเกี่ยวกับแนวปฏิบัตินโยบายลงวันที่กรกฎาคม พ.ศ. 2525[8] หลักการเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและปรับปรุงในบันทึกภายในเกี่ยวกับแนวปฏิบัตินโยบายลงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2532[9]
ประการแรก UNBRO เป็นปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมที่เป็นกลางในด้านศาสนา การเมือง และแนวร่วมชาตินิยม ซึ่งหมายความว่าจะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกันแก่ผู้พักอาศัยประจำในค่ายที่ได้รับความช่วยเหลือจาก UNBRO ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงความเกี่ยวข้องทางการเมือง
ประการที่สอง ค่าย UNBRO จะได้รับการจัดการโดยชาวเขมรตามสถานการณ์ที่ชายแดนจะเอื้ออำนวย UNBRO รับรองการบริหารพลเรือนที่ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงและรองผู้บริหารระดับสูง สมาคมสตรีเขมร หัวหน้าส่วน และคณะกรรมการบริหารต่าง ๆ
ประการที่สาม บทบัญญัติของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจะต้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในทุกแง่มุมของชีวิตในค่ายให้มากที่สุด ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีการบังคับใครออกจากค่าย UNBRO ด้วยเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น ควรมีการรับประกันเสรีภาพในการคิด เสรีภาพในการพูด และเสรีภาพในการเข้าถึงการศึกษาและข้อมูลสำหรับทุกคน ค่ายควรปราศจากการบังคับทางการเมืองหรือการบังคับในรูปแบบอื่น ๆ และควรให้การคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ผู้อาศัยในค่ายโดยตำรวจเขมรและระบบยุติธรรมภายใน
ประการที่สี่ UNBRO ให้ความช่วยเหลือเฉพาะพลเรือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า UNBRO คาดหวังว่าค่ายต่าง ๆ จะปลอดจากอิทธิพลทางทหารทุกรูปแบบ และจะไม่มีกิจกรรมทางทหารใด ๆ เกิดขึ้นในหรือผ่านค่ายของ UNBRO ไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม
ประการที่ห้า เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นที่เท่าเทียมกันของ UNBRO ในการรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานตลอดจนหลักการด้านมนุษยธรรม[10]
การบริการ
แก้ในช่วงไม่กี่ปีแรกของการดำเนินการ หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ถือเป็นองค์การด้านโลจิสติกส์โดยพื้นฐาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ด้วยเช่นกัน:[11]
- การแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์พื้นฐาน: ผู้อยู่อาศัยในค่ายได้รับน้ำและอาหารและฟืนประจำสัปดาห์ มุ้ง เสื่อ ผ้าห่ม ถัง และอุปกรณ์ทำอาหารพื้นฐาน โดยจะได้รับเมื่อลงทะเบียนกับฝ่ายบริหารค่าย นอกจากนี้ยังมีไม้ไผ่ ฟาง ลวด และตะปูจำนวนจำกัดสำหรับใช้สร้างบ้านหลังเล็ก[12]
- การบำรุงรักษาร้านขายยาชายแดนกลาง
- การศึกษาระดับประถมศึกษา
- ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน การตระหนักรู้เกี่ยวกับทุ่นระเบิด และข้อมูลการส่งกลับประเทศ
- ช่วยเหลือหมู่บ้านไทยที่ได้รับผลกระทบ
- การสนับสนุนด้านวัสดุสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านบริการสังคมที่ดำเนินการโดยกัมพูชา สำหรับครอบครัวที่ขัดสนและสำหรับโครงการต่าง ๆ ในชุมชน เช่น การรู้หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย การศึกษาด้านพุทธศาสนา และกิจกรรมเยาวชนและกีฬา[13]
การคุ้มครองและความปลอดภัย
แก้แนวคิดเรื่องการคุ้มครองถือเป็นหัวใจสำคัญของวัตถุประสงค์ของหน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ในประเทศไทย เนื่องจากพลเรือนชาวกัมพูชาตกเป็นเหยื่อสงครามเป็นแรงผลักดันให้มีการจัดตั้งปฏิบัติการบรรเทาทุกข์บริเวณชายแดนตั้งแต่แรก แม้จะยอมรับว่า "ความปลอดภัยทางกายภาพเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับประกันได้และมีความเสี่ยงอยู่เสมอ" ในค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดน แต่ UNBRO ก็ได้กำหนดนิยามการคุ้มครองอย่างกว้าง ๆ ว่าเป็นเป้าหมายที่กิจกรรมทั้งหมดขององค์กรจะมุ่งไปที่เป้าหมายนั้น ซึ่งรวมถึงการคุ้มครองจากการถูกข่มเหงจากแหล่งทหาร การบังคับทางร่างกายหรือทางการเมือง การตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรม การกรรโชกทรัพย์ และ/หรือภัยคุกคามจากการแก้แค้นอย่างรุนแรง ตลอดจนการคุ้มครองจากผลกระทบเชิงลบของการแออัดยัดเยียด การว่างงาน โอกาสทางการศึกษาที่จำกัด เป็นต้น[14]
UNBRO ดูแลความปลอดภัยภายในค่าย แม้ว่าการโจรกรรมและความรุนแรงจะเกิดขึ้นกับค่ายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขมรแดง[15] UNBRO ประสานงานองค์กรต่าง ๆ ที่ให้การคุ้มครองบนชายแดน โดย ICRC ให้ความสำคัญโดยเฉพาะกับอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมทางการเมือง และการละเมิดสิทธิมนุษยชน และตำรวจเขมรก็ดูแลหน้าที่ตำรวจแบบดั้งเดิมภายในค่าย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 และ พ.ศ. 2530 ความปลอดภัยในค่ายเป็นความรับผิดชอบของหน่วยพิเศษทหารพรานไทยที่เรียกว่ากองกำลังพิเศษ 80 อย่างไรก็ตาม หน่วยนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางจนถูกยุบและแทนที่ด้วยหน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา (DPPU นคก.88 ซึ่งเป็นหน่วยกึ่งทหารที่ได้รับการฝึกเป็นพิเศษ จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2531 โดยเฉพาะเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับค่ายชายแดน) หน่วยนี้รับผิดชอบในการปกป้องขอบเขตค่ายและป้องกันไม่ให้โจรเข้ามาในค่าย[16]
UNBRO ยังคงรักษาทีมเจ้าหน้าที่คุ้มครองขนาดเล็ก ซึ่งมีหน้าที่ติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในค่าย ติดตามกรณีที่ผู้คนตกเป็นเหยื่อโดยตั้งใจหรือจากความยากจน การละเลย หรือ "ระบบล้มเหลว" และสนับสนุนให้ผู้คนมาหาพวกเขาเมื่อพวกเขารู้สึกว่าสิทธิมนุษยชนของตนถูกละเมิด[17] UNBRO รับผิดชอบการสื่อสารภาคสนามและการประสานงานด้านความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ของ UN และหน่วยงานอาสาสมัครที่ทำงานอย่างเป็นทางการที่ชายแดน (กล่าวคือ ทำงานในโครงการภายใต้ข้อตกลงกับ UNBRO)[9]
การแจกจ่ายอาหารและการดูแลสุขภาพ
แก้หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) รับผิดชอบการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการแจกจ่ายเสบียงให้กับกองทหารไทยและหน่วยต่อต้านของเขมรอย่างกว้างขวาง[18] ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 UNBRO ได้กำหนดมาตรฐานอาหารพื้นฐานรายสัปดาห์เพื่อให้มีปริมาณแคลอรีที่เพียงพอต่อการบริโภคในแต่ละวันตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ โดยแจกจ่ายข้าว ปลากระป๋อง หรือปลาแห้ง ไข่ 1 ฟอง และผัก 1 ชนิดต่อคนต่อสัปดาห์ ถั่วแห้ง น้ำมัน เกลือ และแป้งสาลีเดือนละครั้ง[19] ปริมาณที่แน่นอนของอาหารรายสัปดาห์และรายเดือนในปี พ.ศ. 2533 มีดังนี้:
- ข้าว: 3.4 กิโลกรัม/สัปดาห์
- ไข่: 100 กรัม/สัปดาห์
- ผัก: 500 กรัม/สัปดาห์
- ผลิตภัณฑ์จากปลา: 210 กรัม/สัปดาห์
- ถั่วเมล็ดแห้ง: 500 กรัม/เดือน
- น้ำมัน: 700 กรัม/เดือน
- เกลือ: 280 กรัม/เดือน
- แป้งสาลี: 700 กรัม/เดือน[20]
ปันส่วนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการแคลอรี่ขั้นต่ำรายวัน 2,457 แคลอรี่ต่อคน ซึ่งเป็นความต้องการแคลอรี่ในกรณีฉุกเฉินที่กำหนดโดย UN ตามรายงานของ WHO ในปี พ.ศ. 2528 เกี่ยวกับความต้องการโปรตีนและพลังงาน[21] เมื่อระบบการแจกจ่ายโดยตรงเริ่มต้นในปี 1987 พลังงานที่จัดหาโดยปันส่วนพื้นฐานของ UNBRO คือ 2,237 แคลอรี่ต่อคนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2534 ข้อจำกัดด้านงบประมาณบังคับให้ UNBRO ต้องลดปันส่วนพื้นฐานนี้ลงเหลือ 2,027 แคลอรี่ต่อคนต่อวัน[22] การแจกจ่ายอาหารรวมถึงสบู่ 120 กรัมต่อเดือน
UNBRO ยังดูแลการจัดหาน้ำในค่ายผู้ลี้ภัยตามชายแดนด้วย ซึ่งค่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีแหล่งน้ำดื่มธรรมชาติ รถบรรทุกที่รัฐบาลไทยจัดหาให้ 650,000 ลิตรจะขนน้ำคลอรีนไปยังถังเก็บน้ำในค่ายทุกสัปดาห์[23] นอกจากนี้ UNBRO ยังจัดหาอุปกรณ์ก่อสร้างให้กับผู้ลี้ภัยและดำเนินโครงการเกษตรกรรมเพื่อผลิตผักสดในค่าย[24]
UNBRO มอบหมายความรับผิดชอบด้านบริการทางการแพทย์พื้นฐาน สุขาภิบาล โปรแกรมสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม อาหารเสริม และบริการอื่น ๆ ให้แก่องค์การนอกภาครัฐจำนวนมากที่ปฏิบัติการอยู่ที่ชายแดนในขณะนั้น[24]
การศึกษา
แก้ในปี พ.ศ. 2531 ด้วยข้อตกลงของรัฐบาลไทย หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ได้เปิดตัวโครงการความช่วยเหลือทางการศึกษาครั้งสำคัญ โดยมุ่งเน้นที่ระดับประถมศึกษาและให้การสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตร การพิมพ์สื่อการสอน การศึกษาระดับประถมศึกษา การศึกษาพิเศษ การรู้หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ การฝึกอบรมครู การฝึกอบรมผู้ฝึกอบรมครู การจัดหาอุปกรณ์ และการก่อสร้างและอุปกรณ์ในห้องเรียน นอกจากนี้ UNBRO ยังขยายการสนับสนุนโครงการบริการสังคมที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบางและถูกละเลยเป็นอย่างมาก และริเริ่มโครงการใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาทักษะชีวิตที่จะเป็นประโยชน์ในกัมพูชาเมื่อถูกส่งตัวกลับประเทศ ในโครงการทั้งหมดนี้ UNBRO พยายามที่จะตัดเนื้อหาทางการเมืองออกไป และให้แน่ใจว่าบริการต่าง ๆ จะได้รับอย่างเท่าเทียมกันแก่ผู้อยู่อาศัยในค่ายทุกคนโดยไม่คำนึงถึงแนวทางทางการเมืองของพวกเขา UNBRO ส่งเสริมจริยธรรมแห่งความเท่าเทียมกันและระบบรางวัลตามผลงาน[25]
ผู้รับผลประโยชน์
แก้ณ เดือนมกราคม พ.ศ. 2525 หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ให้บริการแก่ผู้รับประโยชน์จำนวน 290,000 ราย ในสามกลุ่ม คือ:
ตอนกลาง
แก้ชาวกัมพูชา 155,000 คนในค่าย 9 แห่งในตอนกลางของชายแดนซึ่งทอดยาวจากบ้านสะแงไปจนถึงทับปริก ในค่าย 5 แห่งในภาคกลาง (หรือภาคตะวันตกเฉียงเหนือ) ได้แก่
- ค่ายผู้อพยพบ้านสังแก (Ban Sangae) – บ้านสังแก อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
- ค่ายผู้อพยพโคกทหาร (Kok Tahan) – บ้านโคกทหาร อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
- ค่ายผู้อพยพพนมฉัตร (Phnom Chat) – บ้านทัพสยาม อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
- ค่ายผู้อพยพหนองเสม็ด (Nong Samet) – บ้านหนองเสม็ด อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
- ค่ายผู้อพยพหนองจาน (Nong Chan) – บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
UNBRO ได้รับอนุญาตให้ทำการนับจำนวนคนบ่อยครั้งและแจกจ่ายอาหารโดยตรง UNBRO ยังแจกจ่ายอาหารในค่ายเขมรแดง 2 แห่งทางตอนใต้ของอรัญประเทศ ได้แก่
- ค่ายผู้อพยพหนองปรือ (Nong Prue) – บ้านหนองปรือ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
- ค่ายผู้อพยพทับพริก (Tap Prik) – บ้านหนองปรือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
แม้ว่าในตอนแรกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการนับจำนวนคนก็ตาม ภาคกลางยังรวมถึง NW82 ซึ่งเป็นค่ายย่อยที่ตั้งอยู่ที่ค่ายผู้อพยพหนองเสม็ด ซึ่งเป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม 800 คน ที่ได้รับความช่วยเหลือจาก ICRC
ตอนเหนือและตอนใต้
แก้ประกอบด้วยชาวกัมพูชา 70,000 คนทางตอนเหนือและตอนใต้
- ค่ายผู้ลี้ภัย 8 แห่งในภาคเหนือ มีจำนวนรวม 28,000 คน ได้แก่
- ค่ายผู้อพยพบ้านบาระแนะ (Ban Baranae) – บ้านบาระแนะ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
- ค่ายผู้อพยพโอบก (O'Bok) – ช่องโอบก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
- ค่ายผู้อพยพแนงมุต (Naeng Mut) – บ้านแนงมุต อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
- ค่ายผู้อพยพช่องจอม (Chong Chom) – อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
- ค่ายผู้อพยพบ้านจรัส (Ban Charat) – บ้านจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
- ค่ายผู้อพยพสำโรงเกียรติ (Samrong Kiat) – บ้านสำโรงเกียรติ อำเภอขุนหาร จังหวัดศรีสะเกษ
- ค่ายผู้อพยพน้ำยืน (Nam Yuen) – อำเภอน้ำยืน จังหวุดอุบลราชธานี
- แพดอูร์น (Paet Urn) – อำเภอน้ำยืน จังหวุดอุบลราชธานี
- ค่ายผู้ลี้ภัย 3 แห่งในภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยผู้รับความช่วยเหลือ 42,000 คน ได้แก่
- พื้นที่อพยพสุขสันต์ (Sok Sann) – อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด[26]
- ค่ายผู้อพยพบ่อไร่ (Borai) – อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด[26]
- ตาหลวน (Ta Luan) – จังหวัดตราด
ชาวไทยตามแนวชายแดน
แก้ชาวชายแดนไทยจำนวน 65,000 คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งยัง ได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารจาก UNBRO ผ่านโครงการหมู่บ้านไทยที่ได้รับผลกระทบ (Affected Thai Village Program)[27]
หลังจากการโจมตีในฤดูแล้งของเวียดนามในปี พ.ศ. 2527–2528 จำนวนค่ายผู้ลี้ภัยที่บริหารโดยหน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ลดลงจาก 21 ค่ายเหลือเพียง 11 ค่าย เนื่องจากประชากรผู้ลี้ภัยถูกควบรวมเข้าในค่ายที่ใหญ่กว่า เช่น พื้นที่อพยพที่ 2[28]
การบริหาร
แก้องค์กรนี้บริหารโดยโครงการอาหารโลก (WFP) ในช่วงแรก ในปี พ.ศ. 2531 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้เข้ามาบริหารหน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ต่อจาก WFP ในปี พ.ศ. 2534 เลขาธิการสหประชาชาติได้ตัดสินใจว่าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จะเข้ามารับช่วงแทนที่ UNDP ในฐานะหน่วยงานบริหาร โดยผู้แทน UNHCR ในประเทศไทยจะมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ UNBRO แต่รองผู้อำนวยการ UNBRO ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเพียงคนเดียว ทำหน้าที่บริหารงานประจำวัน ก่อนที่ UNBRO จะถูกยกเลิกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544[29]
ผลการดำเนินงาน
แก้เจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากและอันตรายในพื้นที่ซึ่งมักเป็นเขตสงคราม ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2526 ผู้อำนวยการ วินสตัน แพรตลีย์ ได้บรรยายถึงสถานการณ์ดังกล่าวให้ผู้บริจาคในนิวยอร์กฟังดังนี้:
- "ฝ่ายบริหารและผู้นำพลเรือนของเขมร...ได้หลีกทางให้กับผู้นำทางทหารหรือกองกำลังกึ่งทหารอย่างรวดเร็ว ซึ่งการปรากฏตัวที่เห็นได้ชัดและแข็งขันของพวกเขาได้เปลี่ยนนิคมใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่ให้กลายเป็นค่ายทหาร อาวุธและอุปกรณ์ทางทหารปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนและโบกสะบัดไปมาระหว่างเจ้าหน้าที่ UNBRO และหน่วยงานอาสาสมัครในขณะที่พวกเขาพยายามให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ เป็นผลให้การควบคุมและกำหนดทิศทางการแจกจ่ายอาหารและการให้บริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพน้อยลง ไม่มั่นคง และมักจะเป็นอันตราย เจ้าหน้าที่ UNBRO ถูกละเมิดสิทธิและถูกจ่อปืนขู่ ระหว่างการปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ UNBRO และหน่วยงานอาสาสมัครต้องเผชิญกับความเสี่ยงส่วนบุคคลอย่างร้ายแรงอันเป็นผลจากการยิงปืนใหญ่และการดำเนินการทางทหารอื่นๆ...[30]"
นักวิจารณ์สรุปว่า UNBRO มีจุดประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากหลักมนุษยธรรม นั่นคือ เป็นตัวกลางในการให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านเวียดนามที่ปฏิบัติการอยู่ในค่ายผู้อพยพที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการของ UNBRO ซึ่งทำให้ความพยายามของเวียดนามในการมีบทบาทที่เด็ดขาดในทางการเมืองภายในของกัมพูชามีความซับซ้อนมากขึ้น[31][32] นอกจากนี้ UNBRO ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าล้มเหลวในการให้การปกป้องที่เหมาะสมแก่ผู้อยู่อาศัยในค่ายผู้อพยพจากการโจรกรรมและความรุนแรง[33][34][35]
รัฐสมาชิกสหประชาชาติและหน่วยงานที่ไม่ใช่ของรัฐส่วนใหญ่ยังคงถือว่า UNBRO เป็นปฏิบัติการต้นแบบของสหประชาชาติที่ให้การสนับสนุนที่จำเป็นแก่พลเรือนชาวกัมพูชาอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มทุนมากกว่า 350,000 คน และมีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตผู้คนนับพันที่อาศัยอยู่ภายใต้การควบคุมอันเข้มงวดของเขมรแดงหรือที่ถูกกองกำลังเวียดนามโจมตี[36]
ระหว่างปี พ.ศ. 2537 ถึง พ.ศ. 2544 หน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) ได้ส่งเอกสารจำนวน 252 กล่องไปยังศูนย์จัดเก็บนอกสถานที่ซึ่งถูกใช้งานโดยสหประชาชาติในกรุงเทพฯ สามครั้ง ในปี พ.ศ. 2541, 2542 และ 2544 และรองผู้อำนวยการ UNBRO ได้อนุญาตให้ทำลายเอกสารเหล่านี้[37]
อ้างอิง
แก้- ↑ Stedman SJ, Tanner F. Refugee Manipulation: War, Politics, and the Abuse of Human Suffering. Washington, D.C.: Brookings Institution Press, 2003, p. 33.
- ↑ Shawcross W. The Quality of Mercy: Cambodia, Holocaust, and Modern Conscience. New York: Simon and Schuster, 1984, pp. 158-159.
- ↑ WFP, Committee on Food Aid Policies and Programs, "Kampuchean Emergency Operation: An Information Note," Rome, April 1982, p. 2.
- ↑ Committee for the Coordination of Services to Displaced Persons in Thailand. The CCSDPT Handbook: Refugee Services in Thailand, 1983. Bangkok: Craftsman Press, 1983.
- ↑ Shawcross, pp. 404-409.
- ↑ Robinson WC, Double Vision: A History of Cambodian Refugees in Thailand. Bangkok, Thailand: Asian Research Center for Migration, Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University, 1996, p. 99.
- ↑ French LC. Enduring Holocaust, Surviving History: Displaced Cambodians on the Thai-Cambodian Border, 1989-1991. Harvard University, 1994, p. 25.
- ↑ UNBRO Report for July 1982, pp. 9-11, quoted in Robinson, 1996, pp. 102-103.
- ↑ 9.0 9.1 "UNBRO in the Thai / Cambodian Border Refugee Camps". www.websitesrcg.com.
- ↑ French 1994, p. 84.
- ↑ "Benson C. The Changing Role of NGOs in the Provision of Relief and Rehabilitation Assistance: Case Study 2: Cambodia / Thailand. London: Overseas Development Institute, 1993, pp. 15-16". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-20. สืบค้นเมื่อ 2024-10-01.
- ↑ French 1994, p. 91.
- ↑ UNBRO Assisted Encampments on the Thai-Cambodian Border (Briefing Paper). Bangkok: United Nations, 1992, p. 3.
- ↑ French 1994, p. 101. Quotation from an internal memo on UNBRO's Protection Mandate, dated November 1988.
- ↑ Maat RB. "The Weight of These Sad Times: End of Mission Report on the Thai-Kampuchean Border, December 8th, 1979 – April 30th, 1989." Bangkok: UNBRO, 1989.
- ↑ French 1994, p. 104.
- ↑ French 1994, p. 97.
- ↑ Mason, Linda and Brown, Roger, Rice, Rivalry and Politics: Managing Cambodian Relief. Notre Dame: University of Notre Dame Press, 1983.
- ↑ "Reynell, J., "Socio-economic Evaluation of the Khmer camps on the Thai/Kampuchean Border," Oxford University Refugee Studies Programme. Report Commissioned by World Food Programme, Rome, 1986". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-04. สืบค้นเมื่อ 2024-10-01.
- ↑ French, 1994, pp. 134-140.
- ↑ "Energy and Protein Requirements: Report of a Joint FAO/WHO/UNU Expert Consultation.'" World Health Organization, Geneva 1985.
- ↑ Reynell J., Political Pawns: Refugees on the Thai-Kampuchean Border. Oxford: Refugee Studies Programme, 1989, pp.75-76.
- ↑ Burrows, R. United Nations Border Relief Operation for Cambodians in Thailand: Displacement and Survival. Bangkok, Thailand: United Nations Border Relief Operation, 1994.
- ↑ 24.0 24.1 Robinson WC. Terms of Refuge: The Indochinese Exodus & the International Response. London; New York, New York: Zed Books; Distributed in the USA exclusively by St. Martin's Press, 1998, pp. 82-90.
- ↑ French 1994, p. 102.
- ↑ 26.0 26.1 "ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านทับทิมสยาม". tabtimsiam01.atspace.com.
- ↑ Robinson, 1998, pp. 82-90.
- ↑ Robinson, 1996, pp. 110-111.
- ↑ Records of the United Nations Border Relief Operation (UNBRO).
- ↑ Burrows, p. 57.
- ↑ Terry, F., Condemned to Repeat?: The Paradox of Humanitarian Action, Cornell University Press 2002, p. 125.
- ↑ Miles, S. H., "The Samet Report: A Description of the Medical Program of the American Refugee Committee at the Kampuchean Encampment near Ban Nong Samet Village," American Refugee Committee internal document, Minneapolis MN, 1981, p. 3.
- ↑ PoKempner, Dinah (1992). Political Control, Human Rights, and the UN Mission in Cambodia. New York: Human Rights Watch. pp. 28–29. ISBN 978-1-56432-085-8.
- ↑ Lawyers Committee for Human Rights (U.S.). Seeking shelter: Cambodians in Thailand : a report on human rights. New York: Lawyers Committee for Human Rights, 1987.
- ↑ Santoli A, Eisenstein LJ, Rubenstein R, Helton AC, Lawyers Committee for Human Rights. Refuge denied: problems in the protection of Vietnamese and Cambodians in Thailand and the admission of Indochinese refugees into the United States. No.: ISBN 0-934143-20-X, 1989.
- ↑ Refugee Warriors at the Thai-Cambodian Border." Refugee Survey Quarterly 2000;19 (1) :23-37 เก็บถาวร 17 กรกฎาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Records of the United Nations Border Relief Operation (UNBRO).