วันออกพรรษา
บทความนี้หรือส่วนนี้ของบทความต้องการปรับรูปแบบ ซึ่งอาจหมายถึง ต้องการจัดรูปแบบข้อความ จัดหน้า แบ่งหัวข้อ จัดลิงก์ภายใน และ/หรือการจัดระเบียบอื่น ๆ คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นปรับปรุงหรือจัดรูปแบบอื่น ๆ ในบทความให้เหมาะสม |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก |
วันออกพรรษา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันมหาปวารณา เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธแบบไทย-ลาว โดยเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาจำพรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท โดยเป็นวันที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรม คือ การปวารณาในวันนี้ วันออกพรรษา (ออกปุริมพรรษา1) จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

การปวารณา[1] ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระภิกษุโดยเฉพาะ เรียกว่า เป็นญัตติกรรมวาจา (สังฆกรรม) ประเภทหนึ่ง ให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอดไตรมาส (3 เดือน) สามารถว่ากล่าวตักเตือนและชี้ข้อบกพร่องแก่กันและกันได้โดยเสมอภาค เป็นวันที่พระพรรษาน้อยกว่าสามารถตักเตือนพระที่มีพรรษามากกว่าได้ ด้วยจิตที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพื่อให้พระสงฆ์ที่ถูกตักเตือนมีโอกาสรับรู้ข้อบกพร่องของตนและนำข้อบกพร่องมาแก้ไขปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็จะได้ชี้แจงแก้ไข หรือปรับความเข้าใจกัน เพราะสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่สงสัย อาจมีเรื่องราวซ่อนอยู่ หรืออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ รวมถึงเปิดโอกาสให้ขอโทษ ที่รู้ตัวว่าสร้างเดือดร้อนให้แก่หมู่คณะ และขออภัยที่เข้าใจผิด และเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันได้ เพื่อปรับความเข้าใจกัน
เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่ตนเองที่ตั้งใจปฏิบัติตนเป็นอุบาสก-อุบาสิกา ส่วนพระสงฆ์จำพรรษาและตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาส (3 เดือน) หรือในวันถัดไปคือ วันออกพรรษา(จริง) (คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยนิยมไปทำบุญตักบาตร เรียกว่า บุญเทศกาลบาตรเทโว หรือ บาตรเทโวโรหณะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก ลงมายังโลกมนุษย์หลังจากการโปรดเทพบุตร อดีตพระพุทธมารดา พระนางสิริมหามายา บนสวรรค์ดาวดึงส์ (ชั้นที่ 2) ในพรรษาที่ 7 เสด็จลงมายังเมืองสังกัสสะ[2] พร้อมกับทรงแสดงไตรโลกวิวรณปาฏิหาริย์ (ทรงปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้ง 3. สวรรค์,นรก,โลก) [3]
กฐินกาล คือ ช่วงเวลาที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ เริ่มตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (วันลอยกระทง) เป็นช่วงเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ในช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปี เป็นการนำผ้าจีวร ถวายพระพุทธรูปและพระสงฆ์ในวัดต่าง ๆ โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง
ความสำคัญแก้ไข
วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า "ปวารณา" แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย
การออกพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎกแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประเภทของการออกพรรษาของพระสงฆ์แก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อานิสงส์ของพระสงฆ์ที่จำครบพรรษาแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบไตรมาสได้ปวารณาออกพรรษาและได้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ หรือข้อยกเว้นพระวินัย 5 ข้อ[10] คือ
เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา (ออกจากวัดไปโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งเจ้าอาวาสหรือพระสงฆ์รูปอื่นก่อนได้) เที่ยวไปไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ 3 ผืน ฉันคณะโภชน์ได้ (โภชนะที่คณะรับนิมนต์ไว้) เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา (ยกเว้นสิกขาบทข้อนิสสัคคิยปาจิตตีย์บางข้อ) จีวรลาภอันเกิดในที่นั้นเป็นของภิกษุ (เมื่อมีผู้มาถวายจีวรเกินกว่าไตรครองสามารถเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องสละเข้ากองกลาง)
ประเพณีท้องถิ่นแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะแก้ไข
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงสู่โลกหลังจากเสด็จขึ้นไปจำพรรษาอยู่ในดาวดึงส์ถ้วนไตรมาส และแสดงอภิธรรมเทศนาโปรดพระมารดาในเทวโลกนั้นมาตลอดเวลา 3 เดือน เมื่อถึงวันมหาปวารณา คือวันสุดท้ายของการอยู่จำพรรษา จึงเสด็จมายังโลกมนุษย์โดยเสด็จมาทางบันไดสวรรค์ลงที่ประตูเมืองสังกัสสะ อันตั้งอยู่เหนือกรุงสาวัตถี วันที่เสด็จลงจากเทวโลกนั้นเรียกกันว่า “วันเทโวโรหณะ” ตรงกับวันมหาปวารณาเพ็ญเดือน 11 วันนั้นถือกันว่าเป็นวันบุญกุศล ที่สำคัญวันหนึ่งของพุทธบริษัท โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ”วันพระเจ้าเปิดโลก” วันรุ่งขึ้นจากวันนั้นเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 จึงมีการทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ กันเป็นการใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จลงจากเทวโลกของพระพุทธเจ้าโดยพุทธบริษัทได้พร้อมใจกันใส่บาตรแด่พระสงฆ์ที่อยู่ทั้งหมดในที่นั้นกับทั้งพระพุทธองค์ด้วยโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนภัตตาหารที่ถวายในวันนั้นส่วนใหญ่เป็นเสบียงกรัง ของตนตามมีตามได้ ปรากฏได้มีการใส่บาตรในวันนั้นแออัดมาก ผู้คนเข้าไม่ถึงพระสงฆ์จึงเอาข้าวสาลีของตนห่อบ้าง ทำเป็นปั้นๆ บ้างแล้วโยนเข้าถวายพระ นี่เองจึงเป็นเหตุหนึ่งที่นิยมทำข้าวต้มลูกโยน เป็นส่วนสำคัญของการตักบาตรเทโวโรหณะ เป็นประเพณีว่าถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 (บางแห่งก็ทำในขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ทุกๆ ปี ควรทำบุญตักบาตรให้เหมือนครั้งดั้งเดิมเรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ จนทุกวันนี้
ประเพณีรับบัวแก้ไข
ในจังหวัดสมุทรปราการจะมีประเพณีรับบัวหรือโยนบัว ซึ่งจัดในวันขึ้น14ค่ำเดือน11
ประเพณีชักพระแก้ไข
ทางภาคใต้จะมีประเพณีชักพระ หรือแห่พระ หรือลากพระ โดยจะมีการนำพระพุทธรูปขึ้นเรือแห่ไปตามลำน้ำให้ผู้คนทำบุญ โดยจะเรียกเรือที่ชักพระว่าเรือพนม บางท้องที่จะมีประเพณีโยนดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชาด้วย โดยประเพณีชักพระในปัจจุบันมีทั้งบนบกและในน้ำ เรียกว่าเรือพนมทางบกและเรือพนมทางน้ำ (เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนนิยมเดินทางทางบก แทนเดินทางทางน้ำอย่างในอดีตที่บ้านเรือนผู้คนอยู่จะตามริมน้ำ จึงเกิดการชักพระทางบกขึ้น) ซึ่งปกติจัดในวันแรม1ค่ำเดือน11
ประเพณีวันออกพรรษาแก้ไข
ในจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์จะมีประเพณีแห่ต้นกระธูป ,ในจังหวัดสกลนครจะมีประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง,ในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยจะมีประเพณีแห่ผาสาดลอยเคราะห์ ,ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมีประเพณีทอดพุ่มผ้าป่าหน้าบ้านและแห่รถพนมพระ ,ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จะมีประเพณีตักบาตรเทโวทางเรือ
ประเพณีจุดประทีปคืนวันออกพรรษาแก้ไข
เป็นประเพณีที่จุดเทียนหรือไต้น้ำมัน โดยจะจุดในคืนวันออกพรรษา เป็นรูปต่างๆที่มองจากบนฟ้าจะเห็นเป็นรูปหรือข้อความต่างๆ ซึ่งจะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น ธรรมจักร ดอกบัว ใบโพธิ์ เป็นต้น เชื่อกันว่าเป็นการจุดไฟถวายเพื่อให้พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นจากสวรรค์ โดยจำลองเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากทรงโปรดพุทธมารดา โดยที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาในวันออกพรรษาและจะเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ถึงในเวลาเช้าโดยมีประชาชนมารับเสด็จต่างพากันมาใส่บาตรพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงถือกันว่าในช่วงเวลากลางคืนพระองค์จะยังทรงเสด็จอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ จึงต่างพากันจุดประทีปเพื่อรับเสด็จ โดยประเพณีชาวไทใหญ่ที่แม่ฮ่องสอน จะมีการจัดขบวนแห่เทียนหลู่เตียนเหง(เทียนพันเล่ม) ประเพณีแห่จองพารา (ปราสาทพระพุทธเจ้า) เพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า โดยชาวไทใหญ่จะเรียกประเพณีนี้ว่า ปอยออกหว่า หรือ ปอยเหลินสิบเอ็ด,วัดพระธาตุดอยเว้า อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จะมีประเพณีปอยต้นแป๊ก(ต้นเกี้ยะ), ส่วนทางภาคอีสาน จะมีประเพณีจุดไต้น้ำมัน เป็นเวลา3วัน ในวันขึ้น14ค่ำเดือน11เรียกว่าการไต้น้ำมันน้อย ในวันขึ้น15ค่ำเดือน11,เรียกว่าการไต้น้ำมันใหญ่ ในวันแรม1ค่ำเดือน11เรียกว่าการไต้น้ำมันล้างหางประทีป,ประเพณีจุดไฟตูมกา ในจังหวัดยโสธร, ประเพณีจุดประทีปตีนกาจังหวัดกาญจนบุรี, และหลายพื้นที่ที่ติดแม่น้ำ เช่น จังหวัดหนองคายและนครพนม ก็จะมีประเพณีไหลเรือไฟและลอยกระทงสายหรือที่เรียกอีกอย่างว่าไข่พญานาคในคืนวันออกพรรษา,
ประเพณีเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดกแก้ไข
การเทศน์มหาชาติ คือ เทศนาเวสสันดรชาดก เป็นบุญพิธีที่นิยมจัดให้มีกันมาแต่โบราณ ส่วนมากจัดให้มีในวัดเป็นหน้าที่ของชาวบ้านและวัดนั้น ๆ จะตกลงร่วมกันจัด ปกตินิยมให้มีหลังฤดูทอดกฐิน ผ่านไปแล้วจนตลอดฤดูหนาว นิยมจัดเป็นงานสองวัน คือ วันเทศน์เวสสันดรชาดกทั้ง 13 กัณฑ์วันหนึ่ง และวันเทศน์จตุราริยสัจจกถา ท้ายเวสสันดรชาดกอีกวันหนึ่ง
วันแรกเริ่มงานด้วยพิธีทำบุญตักบาตรพระทั้งวัด หรือเลี้ยงพระตามจำนวนที่เห็นสมควร แล้วเริ่มเทศน์เวสสันดรชาดก ตามแบบเทศน์ต่อกันไปจนสุด 13 กัณฑ์ ถึงเวลากลางคืนบางแห่งจัดปีพาทย์ประโคมระหว่างกัณฑ์หนึ่ง ๆ ตลอดทั้ง 13 กัณฑ์ด้วย
ประเพณีถวายผ้ากฐินทานแก้ไข
เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ไปจนถึงกลางเดือน 12 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 - วันลอยกระทง) คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง คือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน แล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอ เหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่น ตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว)
วันออกพรรษาในปฏิทินจันทรคติไทยแก้ไข
อย่างไรก็ตาม บางประเทศที่นับถือพุทธศาสนาอาจกำหนดวันไม่ตรงกับของไทยในบางปี เนื่องจากประเทศไทยมีการคำนวณที่ต่างจากประเทศโดยทั่วไปและนิยมใช้ปฏิทิน100ปีไทยเป็นหลักซึ่งไม่เที่ยงตรงและไม่ได้รับการปรับตามจริง เนื่องจากรอบการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก 1 รอบ ใช้เวลา 29 วันครึ่ง ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปได้
ปี | วันที่ | วันที่ | วันที่ |
---|---|---|---|
ปีชวด | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2539 | 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551 | 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563 |
ปีฉลู | 16 ตุลาคม พ.ศ. 2540 | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552 | 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564 |
ปีขาล | 5 ตุลาคม พ.ศ. 2541 | 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565 |
ปีเถาะ | 24 ตุลาคม พ.ศ. 2542 | 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554 | 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566 |
ปีมะโรง | 13 ตุลาคม พ.ศ. 2543 | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567 |
ปีมะเส็ง | 2 ตุลาคม พ.ศ. 2544 | 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 | 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568 |
ปีมะเมีย | 21 ตุลาคม พ.ศ. 2545 | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557 | 26 ตุลาคม พ.ศ. 2569 |
ปีมะแม | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2546 | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558 | 15 ตุลาคม พ.ศ. 2570 |
ปีวอก | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2547 | 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559 | 3 ตุลาคม พ.ศ. 2571 |
ปีระกา | 18 ตุลาคม พ.ศ. 2548 | 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 | 22 ตุลาคม พ.ศ. 2572 |
ปีจอ | 7 ตุลาคม พ.ศ. 2549 | 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 | 11 ตุลาคม พ.ศ. 2573 |
ปีกุน | 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 | 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562 | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2574 |
เชิงอรรถแก้ไข
หมายเหตุ 1: ออกปุริมพรรษา คือการออกพรรษาต้น เป็นการเข้าและออกพรรษาตามปกติตามพระวินัยพุทธานุญาต พระสงฆ์ที่ออกพรรษาต้นจะได้รับกรานกฐินและได้รับอานิสงส์กฐิน แต่สำหรับพระสงฆ์ที่ออกพรรษาในกรณียกเว้นคือ ออกปัจฉิมพรรษา จะไม่มีโอกาสได้รับกฐินและอานิสงส์กฐิน เพราะจำพรรษาในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 จึงต้องจำครบ 3 เดือน และต้องออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นเวลาหมดกฐินกาลพอดี (วันรับกฐินได้จะนับวันวันถัดจากวันออกพรรษาแล้ว 1 วัน)
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ "วิธีปวารณา". พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=6371&Z=6395&pagebreak=0. เข้าถึงเมื่อ 3-10-52
- ↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส "สาริปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖". พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=10137. เข้าถึงเมื่อ 3-10-52
- ↑ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต. (2548). "พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด". กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียงเพียรเพื่อพุทธศาสน์.
- ปัณณวัฒน์. ปฏิทิน 100 ปี พ.ศ. 2468-2568 คัมภีร์พยากรณ์คู่บ้าน. กรุงเทพฯ : ไพลิน, 2550. ISBN 974-455-535-1
ดูเพิ่มแก้ไข
- วันเข้าพรรษา
- วันมหาปวารณา พิธีกรรมการออกพรรษาของพระสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก
- กฐิน อานิสงส์สำหรับพระสงฆ์ผู้จำครบพรรษา