พระยาอายกำกอง[1] (พม่า: စောအဲကံကောင်း, ออกเสียง: [sɔ́ ʔɛ́ ɡàɰ̃ ɡáʊɰ̃] ซอแอกานก้อง; 1313/14 – 1330) เป็นพระเจ้าเมาะตะมะเพียง 49 วันใน ค.ศ. 1330 นับเป็นกษัตริย์มอญพระองค์สุดท้ายที่สวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรสุโขทัย

พระยาอายกำกอง
စောအဲ
กษัตริย์แห่งเมาะตะมะ
ครองราชย์ป. เมษายน – มิถุนายน ค.ศ. 1330 (49 วัน)
ก่อนหน้าชีปอน
ต่อไปพระยาอายลาว
ประสูติค.ศ. 1313/14
675 ME
เมาะตะมะ
อาณาจักรเมาะตะมะ
สวรรคตป. มิถุนายน ค.ศ. 1330 (16 พรรษา)
692 ME
เมาะตะมะ
อาณาจักรเมาะตะมะ
ชายานางจันทะมังคะละ
ราชวงศ์ฟ้ารั่ว
พระราชบิดาพระเจ้าแสนเมือง
พระราชมารดาแม่นางตะปี
ศาสนาพุทธเถรวาท

พระยาอายกำกองประสูติราว ค.ศ. 1313/14 เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าแสนเมือง[2] (စောအို ซอโอ่) กษัตริย์รัชกาลที่ 3 ที่ประสูติแต่เจ้าหญิงซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระยาเลอไทย กษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งสุโขทัย ต่อมาพระราชบิดาของพระองค์ได้ตัดความสัมพันธ์กับสุโขทัยในราว ค.ศ. 1317/18

พระยาอายกำกองขึ้นสืบราชบัลลังก์เมื่อ ค.ศ. 1330 โดยความช่วยเหลือของพระนางจันทะมังคะละ อดีตพระมเหสีในพระเจ้ารามมะไตย (စောဇိတ် ซอเซ) กษัตริย์องค์ที่ 4 ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ที่ถูกชีปอน กษัตริย์รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นขุนนางคนสนิทของพระเจ้ารามมะไตยปลงพระชนม์ เมื่อขึ้นสืบราชบัลลังก์แล้วพระยาอายกำกองได้พยายามกลับมาสานสัมพันธ์กับอาณาจักรสุโขทัย ทำให้นางจันทะมังคะละซึ่งสถาปนาตนเป็นพระอัครมเหสีในพระยาอายกำกองไม่พอใจ และได้วางยาพิษปลงพระชนม์พระสวามี[1]เมื่อเดือนมิถุนายนปีเดียวกันขณะพระชนมายุราว 16 – 17 พรรษาโดยไร้รัชทายาท ทำให้นางจันทะมังคะละได้ไปเชิญพระเชษฐาต่างพระมารดาซึ่งเป็นเจ้าเมืองซิต้อง มาสืบราชบัลลังก์เป็นพระยาอายลาว (ဗညားအဲလော บะญาเอลอ) จากเหตุการณ์นี้ทำให้อาณาจักรสุโขทัยไม่พอใจและได้เข้าโจมตีอาณาจักรหงสาวดีแต่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป

พระชนม์ชีพช่วงต้น

แก้

ซอแอกานก้องเป็นพระราชโอรสองค์โตในแม่นางตะปีกับพระเจ้าแสนเมืองแห่งเมาะตะมะใน ค.ศ. 1313/14[note 1] พระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงแห่งสุโขทัย พระราชบิดามารดาได้สมรสทางการเมืองระหว่างสุโขทัยกับเมาะตะมะเมื่อ ค.ศ. 1311[3] พระองค์มีพระกนิษฐภคินีองค์เดียวนามว่าเจ้าหญิง May Hnin Aw-Kanya[3]

ในช่วงพระเยาว์ เจ้าชายเป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานของอาณาจักรที่พูดภาษามอญ พระราชบิดาแตกหักกับสุโขทัยใน ค.ศ. 1317/18[note 2] และเข้ายึดดินแดนของสุโขทัยที่ลำพูนกับชายฝั่งตะนาวศรีใน ค.ศ. 1321[3][4][5] แต่ว่าพระราชบิดาสวรรคตในช่วงที่ประสบความสำเร็จสูงในเดือนกันยายน ค.ศ. 1323[6] เนื่องจากซอแอมีพระชนมายุเพียงประมาณ 10 พรรษา ทำให้สอเซน พระปิตุลาพระชนมายุ 19 พรรษา ขึ้นครองราชย์แทน[6]

รัชสมัย

แก้

พระยาอายกำกองขึ้นครองราชย์ที่เมาะตะมะ โดยมีนางจันทะมังคะละเป็นอัครมเหสี กษัตริย์ตอนพระชนมพรรษา 16 พรรษาไม่รู้สึกสบายพระทัยกับนางจันทะมังคะละผู้ที่พระองค์ถือเป็นทั้งพระปิตุจฉากับพระมเหสี และใช้เวลาอยู่กับพระสนมเป็นเวลาจำนวนมาก[7] ในช่วงต้นรัชกาล ดูเหมือนว่าพระองค์หรือราชสำนักของพระองค์ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสุโขทัยได้แล้ว พงศาวดารราชาธิราชบรรยายถึงความสัมพันธ์นี้ว่าเป็นพันธมิตร[8] แต่ก็อาจจะเป็นการต่ออายุ "การขึ้นตรง" ต่อสุโขทัย[9]

นางจันทะมังคะละไม่พอพระทัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระนางปลงพระชนม์กษัตริย์วัยหนุ่มด้วยการถวายซุปเนื้อต้มซึ่งใส่ยาพิษ พระองค์ครองราชย์ได้เพียง 49 วัน[7]

ผลที่ตามมา

แก้

พระมเหสีผู้ทรงอำนาจแต่งตั้งให้ผู้ว่าราชการ พระยาอายลาวแห่งพะโค ขึ้นครองราชย์ พระนางทำให้ตนเองเป็นอัครมเหสีของพระยาอายลาวอีกครั้ง รัชสมัยใหม่นี้ต้องเผชิญกับความพิโรธของกษัตริย์สุโขทัยผู้โกรธแค้นที่พระนางสังหารพระยาอายกำกอง กองทัพสุโขทัยเข้ารุกรานใน ค.ศ. 1330–1331 แต่กลับพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด[8]

พงศาวลี

แก้

หมายเหตุ

แก้
  1. พงศาวดารราชาธิราชไม่สอดคล้องกัน พงศาวดาร (Pan Hla 2005: 42) ระบุว่าพระยาอายกำกองเสด็จพระราชสมภพในปี 665 ME (29 มีนาคม ค.ศ. 1303 ถึง 27 มีนาคม ค.ศ. 1304) และสวรรคตในปีที่ 27 (26 พรรษา) ในปี 692 ME (29 มีนาคม ค.ศ. 1330 ถึง 28 มีนาคม ค.ศ. 1331) แต่เรื่องเล่าก่อนหน้านี้ในพงศาวดารเดียวกัน (Pan Hla 2005: 38–39) ระบุว่าพระราชบิดามารดาของพระยาอายกำกองสมรสกันหลังพระราชบิดาขึ้นครองราชย์เมื่อแรม 6 ค่ำ เดือนดะกู้ 673 ME (10 เมษายน ค.ศ. 1311) นั่นหมายความว่าพระยาอายกำกองไม่อาจเสด็จพระราชสมภพในปี 665 ME แต่อาจเป็นปี 675 ME (29 มีนาคม ค.ศ. 1313 ถึง 28 มีนาคม ค.ศ. 1314)
  2. (Mon Yazawin 1922: 44) : หกปีในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมือง = ค.ศ. 1317/18

อ้างอิง

แก้
เชิงอรรถ
  1. 1.0 1.1 ประชุมพงศาวดารเล่ม 2, หน้า 25
  2. ราชาธิราช, หน้า 51
  3. 3.0 3.1 3.2 Pan Hla 2005: 38
  4. Harvey 1925: 111
  5. Phayre 1967: 66
  6. 6.0 6.1 Pan Hla 2005: 39, 41
  7. 7.0 7.1 Pan Hla 2005: 42
  8. 8.0 8.1 Pan Hla 2005: 43
  9. Phayre 1967: 67
บรรณานุกรม