นางอุ่นเรือน (มอญ: ဏင်ဥရိုန်; พม่า: နှင်းဥရိုင်, เสียงอ่านภาษาพม่า: [n̥ɪ́ɰ̃ ʔṵ jàiɰ̃]; ป. คริสต์ทศวรรษ 1260 – คริสต์ทศวรรษ 1310) เป็นเจ้าหญิงแห่งเมาะตะมะ และเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์ 2 พระองค์คือ พระเจ้าแสนเมือง และ พระเจ้ารามมะไตย

นางอุ่นเรือน
နှင်းဥရိုင်
เจ้าหญิงแห่งเมาะตะมะ
ครองราชย์ค.ศ. 1287 – คริสต์ทศวรรษ 1310
ประสูติป. คริสต์ทศวรรษ 1260
Tagaw Wun
จักรวรรดิพุกาม
สวรรคตใน ค.ศ. 1319
เมาะตะมะ
อาณาจักรเมาะตะมะ
คู่อภิเษกสมิงมังละ
พระราชบุตรพระเจ้าแสนเมือง
พระเจ้ารามมะไตย
ราชวงศ์ฟ้ารั่ว
ศาสนาพุทธเถรวาท

พระนางมีส่วนช่วยให้พระเชษฐาพระองค์ใหญ่คือ พระเจ้าฟ้ารั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหงสาวดีขณะยังเป็น มะกะโท เข้ายึดอำนาจการปกครองในเมือง เมาะตะมะ เมื่อ ค.ศ. 1285 ในอีกเกือบ 30 ปีต่อมาพระนางและพระสวามีคือ สมิงมังละ เจ้าเมือง มยองยา ได้เข้าล้มการปกครองของ พระเจ้ารามประเดิด กษัตริย์องค์ที่ 2 ผู้เป็นพระเชษฐาของนางอุ่นเรือนและสถาปนาพระโอรสองค์ใหญ่คือเจ้าชายสอโอขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อมา

พระประวัติ

แก้

อุ่นเรือนเกิดจากพ่อแม่สามัญชนที่โดนวู่น ตอนนั้นอยู่ในอาณาจักรพุกาม พระนางมีพี่ชายอย่างน้อยสองคนคือ มะกะโทและมะกะตา[1] พี่น้องมีภูมิหลังจากไทใหญ่และ/หรือมอญ[note 1]

ราชาธิราชระบุว่า อุ่นเรือนมีบทบาทสำคัญในการขึ้นครองอำนาจในช่วงต้นของพระเชษฐา มีรายงานว่ามะกะโทใช้ความงามของพระขนิษฐาเพื่อยึดตำแหน่งผู้ว่าราชการเมาะตะมะ เมืองหลักของภูมิภาค มะกะโทถามอุ่นเรือนให้เลือกสถานที่ทรงอาบน้ำในจุดริมแม่น้ำอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งผู้ว่าราชการอลิมามางจะเห็นพระนาง ผู้ว่าราชการตกหลุมรักอุ่นเรือน และขอสมรสกับพระนาง ในวันพิธีสมรส มะกะโทสังหารผู้ว่าราชการ และขึ้นครองเป็นเจ้าเมืองกบฏแห่งเมาะตะมะ[2][3] มะกะโทที่เปลี่ยนพระนามเป็นพระเจ้าฟ้ารั่วประกาศเอกราชจากพุกามใน ค.ศ. 1287 และรวมดินแดนที่พูดภาษามอญสามแห่งในพม่าตอนล่างในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1290[4]

นางอุ่นเรือนมีอำนาจร่วมกับพระเชษฐา พระเจ้าฟ้ารั่วทรงแต่งตั้งสมิงมังละ พระสวามีของนางอุ่นเรือน เป็นผู้ว่าราชการมย่องเมียะทางตะวันตกสุด ใน ค.ศ. 1307 เมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วถูกลอบปลงพระชนม์จากพระราชนัดดา นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละจึงยึดที่มั่นในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ[5] ทั้งสองไม่เคารพต่อมะกะตา พระเชษฐาผู้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ารามประเดิด ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1311 ทั้งคู่เสด็จไปเมืองหลวงและยึดราชบัลลังก์ขณะที่พระเจ้ารามประเดิดเสด็จออกล่าสัตว์ ภายหลังทัพของสมิงมังละสังหารพระเจ้ารามประเดิดที่นอกเขตเมือง[6]

แม้ว่าสมิงมังละตอนแรกต้องการขึ้นครองราชย์ นางอุ่นเรือนคัดค้าน เหตุผลของพระนางคือ สมิงมังละมีพระชนมายุมากเกินไปแล้ว และพระเจ้าแสนเมือง พระราชโอรสองค์โตที่มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าฟ้ารั่ว น่าจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากข้าราชบริพารมากกว่า[7] ในที่สุดสมิงมังละยอมทำตามความต้องการของพระมเหสี และพระเจ้าแสนเมืองขึ้นครองราชย์ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1311[8] (กระนั้นสมิงมังละยังคงมีอำนาจในเบื้องหลัง พระองค์สร้าง "พระราชวัง" ที่เนินใกล้เคียง พร้อมปีกอาคารสำหรับให้พระสนมของพระองค์อยู่อาศัย และประทับอยู่ที่นั่นเหมือนเป็นกษัตริย์[9])

นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละสิ้นพระชนม์ในวัยชราในช่วงกลางถึงกลายคริสต์ทศวรรษ 1310[note 2] ทั้งคู่มีพระราชโอรสอย่างน้อยสามพระองค์[9] โดยพระเจ้าแสนเมืองและพระเจ้ารามมะไตย พระราชโอรสสองพระองค์ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเมาะตะมะ[8]

หมายเหตุ

แก้
  1. ทั้งสองมีพระนามภาษามอญ แม้ว่าไม่มีพงศาวดารหลักอันใด (ราชาธิราชและพงศาวดารมอญฉบับปากลัด) ระบุเกี่ยวกับเชื้อชาติ นักวิชาการอาณานิคมของอังกฤษ (ดู: Phayre 1967: 65, Harvey 1925: 110) สันนิษฐานว่าทั้งคู่เป็นชาวไทใหญ่ นักวิชาการในเวลาต่อมาดูเหมือนจะแย้งเรื่องนี้: (Htin Aung 1967: 78) ระบุว่าทั้งคู่อาจมีภูมิหลังเป็นทั้งชาวมอญและไทใหญ่ ในขณะที่ (Aung-Thwin และ Aung-Thwin 2012: 118) กล่าวว่าพวกเขามีพื้นเพเป็นชาวมอญหรือชาวไทใหญ่
  2. (Pan Hla 2005: 38): นางอุ่นเรือนกับสมิงมังละสิ้นพระชนม์หลังพระราชนัดดา พระยาอายกำกอง และ May Hnin Aw-Kanya ถือกำเนิด และก่อนปี 682 ME (1320/21) เนื่องจากพระยาอายกำกองเสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1313 Aw-Kanya น่าจะเสด็จพระราชสมภพใน ค.ศ. 1314 หรือหลังจากนั้น

อ้างอิง

แก้
  1. Pan Hla 2005: 16
  2. Harvey 1925: 110
  3. Pan Hla 2005: 21–23
  4. Harvey 1925: 110–111
  5. Pan Hla 2005: 36
  6. Pan Hla 2005: 37
  7. Pan Hla 2005: 37–38
  8. 8.0 8.1 Pan Hla 2005: 39
  9. 9.0 9.1 Pan Hla 2005: 38

บรรณานุกรม

แก้
  • Aung-Thwin, Michael A.; Maitrii Aung-Thwin (2012). A History of Myanmar Since Ancient Times (illustrated ed.). Honolulu: University of Hawai'i Press. ISBN 978-1-86189-901-9.
  • Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
  • Pan Hla, Nai (1968). ราชาธิราช (ภาษาBurmese) (8th printing, 2004 ed.). Yangon: Armanthit Sarpay.{{cite book}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  • Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.