ไซหนับ เป็นบุตรคนที่สามของท่านหญิง ฟาติมะฮ์ (อ.) บุตรสาวของท่านศาสดามูฮัมมัด(ศ็อลฯ) และท่านอิมาม อาลี บิน อบีฏอลิบ(อ.) เธอเป็นหนึ่งในสตรีผู้มีเกรียรติในหมู่ ชีอะฮ์ และพวกเขาเรียกเธอว่า "ท่านหญิงไซนับ" ท่านหญิงเป็น น้องสาวของท่านอิมาม Hussein ibn Ali ผู้ที่ถูกสังหารในเหตการณ์กัรบาลา แต่ท่านหญิงภายหลังเหตุการกัรบาลาและหลังถูกจับเป็นเชลยและถูกจองจำ เธอมีบทบาทสำคัญในการปกป้องความชอบธรรมของพี่ชายของเธอ และปกป้องความชอบธรรมของบิดาของเธอ อาลี อิบนิ ฮุเซน (อิหม่ามท่านที่สี่ของ ชีอะห์ ) ก่อนการเดินทางไปกัรบาลาท่านหญิงแต่งงานกับ อับดุลลาห์ บิน ญะฟาร์ และท่านหญิงมีลูกชายสี่คนและลูกสาวอีกหนึ่งคน หลังจากที่พี่ชายถูกสังหารใน ในสงครามที่กัรบะลา ในปีคริสตศักราชที่ 680 (ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 61) ท่านหญิงไซหนับ มีบทบาทสำคัญในการปกป้องชีวิตของหลานชายของท่าน คืออาลี บิน ฮุเซน (อิมามซัยนุลอาบิดีน) และท่านหญิงถูกเรียกว่า "วีรสตรีแห่งกับบะลา " ด้วยเพราะความเสียสละและความกล้าหาญของเธอ ท่านหญิงไซหนับเสียชีวิตในปี ค.ศ. 681 เทียบเท่ากับปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 63 [1]

การต้ังชื่อ แก้

ท่านหญิงซัยนับ เกิดเมื่อวันที่ 5 ของ ญะมาดิลเอาวัล ในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่หก หรืออีกในทัศนะหนึ่งท่านหญิงเกิดในวันที่ 5 ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 6 ตรงกับปีคริสต์ศักราชที่ 628

ตามรางานฮะดิษของชีอะฮ์ ตอนที่ท่านหญิงไซหนับ ถือกำเนิด ท่านศาดา มูฮัมหมัด กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง ท่านหญิงฟาติมะฮ์ขอให้ท่านอิมามอาลีผู้เป็นสามีตั้งชื่อให้ ท่านอิมามอาลีกล่าวตอบว่า : "ฉันจะไม่ทำสิ่งใดล้ำหน้าบิดาของท่านโอ้ฟาติมะฮ์ เราจะรอจนกว่าท่านนบีกลับมาจากการเดินทาง" เมื่อท่านศาสดามูฮัมหมัดกลับมาและได้ยินข่าวการคลอดบุตรของท่านหญิงซะฮ์รอจากท่านอิมามอาลี ท่านศาสดากล่าวว่า: "บุตรของฟาติมะฮ์คือบุตรของฉัน แต่อัลลอฮ์จะเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับพวกเขาเอง" (Naskh al- Tawarikh, vol. Zainabiya, p. 47) หลังจากนั้น ญิบรออีล ได้ลงมาและนำสลามและความสิริมงคลจากพระเจ้ามาส่งมอบให้ท่านศาสดาพร้อมกับกล่าวว่า : จงตั้งชื่อเด็กหญิงคนนี้ว่าไซหนับ ซึ่งชื่อนี้ได้ถูกเขียนไว้บนแผ่นจารึกที่ปลอดภัยแล้ว จากนั้นท่านศาสดามูฮัมหมัดได้รับท่านไซนับมาอุ้มและจูบพร้อมกับกล่าวว่า: ฉันขอให้ทุกคนเคารพเด็กผู้หญิงคนนี้ซึ่งนางจะเป็นเหมือน Khadijah ( Khasas al-Zainabiya, p. 15) คนต่อไป แต่บางรายงานกล่าวว่า ท่านหญิงฟาติมะฮ์ได้ตั้งชื่อท่านหญิงเหมือนกับชื่อลูกพี่ลูกของท่านหญิง (ไม่ทราบแหล่ง) ไซหนับ : คือชื่อต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม (ดาห์ร่า) เป็นไม้ยืนต้นที่สวยงามและมีกลิ่นหอม (Muntahi Al-Arb) (Anandraj) (จากหนังสืออักรอบุลมะวาริด) (หนังสือ Nazim Al-Atab) และในหนังสือซะคีเราะฮ์ของ Khwarazmshahi หมายถึงความบริสุทธิ์ของการแสดงออกของผู้คน: ในการแสดงความบริสุทธิ์และความงามของรูปลักษณ์ของผู้คนที่จะใช้คำว่า ซัยนับ (หนังสือ Khwarizmshahi) (แหล่งต้นฉบับ: Dehkhoda Dictionary) (แหล่งต้นฉบับ: dictionary.abadis.ir)

การแต่งงาน แก้

ท่านหญิงซัยนับได้แต่งงานกับหลานชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ของบิดาของเธอ อับดุลลาห์ บิน ญะฟัร อิบนิ อาบีตอลิบ ซึ่งมีอายุมากกว่าท่านหญิงห้าปี

นักประวัติศาสตร์นับจำนวนบุตรของท่านหญิงซัยนับและกล่าวถึงชื่อของบรรดาลูก ๆ ของท่านหหญิงแตกต่างกัน ฏอบาร์ซี รายงานจากนักวิชาการชีอะห์ว่า จำนวนบุตรของท่านหญิงมีสี่คนทีชื่อดังต่อไปนี้คือ อาลี,ญะอ์ฟัร,อูนุลอักบัรและอุมมุลกุลซูม

นักวิชาการบางท่านก็เขื่อว่าท่านหญิงซัยนับมีบุตรชายห้าคนกับอับดุลลาห์สามีของเธอ ได้แก่ อาลี,อูน,อัคบาร์,อับบาส,มูฮัมหมัด และเด็กหญิงชื่อ อุมมุลกุลซูม [2] อับบาส อูน และ มุฮัมมัด ถูกสังหารในเหตุการณ์กัรบะลา [3]

ชีวประวัติ แก้

ชีวิตของท่านหญิงประสบกับความทุกข์ยากมากมาย เมื่อท่านหญิงอายุได้ 5 ขวบ ท่านสูญเสียปู่ มูฮัมหมัด บิน อับดุลลาห์ และในไม่กี่เดือนต่อมา ท่านหญิงสูญเสียแม่ ท่านหญิง ฟาติมะฮ์ซะฮ์รอ จากเหตุการณ์อันน่าเศร้าใจ และอีก 9 ปีท่านหญิงสูญเสียบิดา ท่านอิมาม อาลี อิบัน อาบีตาลิบ (ถูกสังหารโดยน้ำมือของอิบนิมุลญัม มุรอดีย์) และท่านหญิงยังได้เห็นการถูกสังหารของพี่ชาย อิมามฮัสซัน อัลมุจตะบา จนกระทั่งท่านหญิงเดินทางมาที่ กันบะลา และเผชิญเหตุการณ์ในวัน อาชูรอ และการถูกจองจำใน ซีเรีย และความทุกข์ทรมานมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการสูญเสียพี่น้องและญาติพี่น้องสิบแปดคน ในเวลาเพียงหนึ่งวัน ด้วยเหตุนี้เองท่านหญิงไซหนับจึงได้ฉายา "มารดาแห่งความทุกข์"

เนื่องจากความเจ็บป่วยของหลานชายของท่านหญิงคือท่านอิมาม อาลี บิน ฮุเซน ซึ่งในหมู่ชีอะฮ์เรียกว่า อิมามซัยนุลอาบิดีน ท่านหญิงกลายเป็นผู้นำกองคาราวานเชลย ท่านหญิงได้กล่าวคำเทศนาในวังของยะซีดเพือปกป้องพี่ชายของนางอิมามฮุเซน ท่านอิมาม อาลี บิน ฮุเซน ก็เช่นได้ขึ้น มิมบัร และกล่าวคำเทศเพื่อป้องกันตัวเองและบิดาของท่าน ยาซิดหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้และได้รับความกดดันจากประชาชนและความสำนึกผิดของประชาชน จนพวกรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปและส่งคืนเชลยทั้งหลายกลับไปยัง มะดีนะฮ์ อย่างสมเกียรติ

สุนทรพจน์ในวังยะซีด แก้

 
Zeinabia Hill ในกัรบะลาอ์

หลังจากเหตุการณ์กัรบะลาอ์ ท่านหญิงไซนับกล่าวสุนทรพจน์ที่โด่งดังและร้อนแรงต่อหน้า ยาซิด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบทสุนทรพจน์ที่สำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดในการปกป้องความชอบธรรมของอิมามฮุเซน บิน อาลี ไซนับบุตรสาวของ ท่านอิมาม อาลี บิน อบีฏอลิบ ยืนขึ้นยืนในที่ประชุมและกล่าวว่า: ... โอ้ ยาซิดเจ้าคิดหรือว่าเจ้าได้ปิดแผ่นดินและขอบฟ้าให้แคบลง และปิดทางท้ังหมดจนทำให้เราถูกจับไปเป็นเชลย เหมือนเป็นทาส และคิดพวกเราต่ำต้อยและเจ้าสูงส่ง ณ ที่อัลลอฮ์กระ และเจ้าคิดว่าเจ้ามีสถานะอันสูงส่ง ณ ที่อัลลอฮ์กระนั้นหรือ ... ในไม่ช้าเจ้าจะได้เข้าร่วมกับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และหวังว่าเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าจะเสียใจจนได้แต่หวังว่าจะเป็นใบ้และเป็นบ้า จะเสียใจว่าไม่น่าพูดในสิ่งที่เคยพูดและไม่น่าทำในสิ่งที่เคยทำไว้เลย ... ขอสาบานต่ออัลลอฮ์จะไม่ถูกถลกเว้นแต่ผิวหนังของเจ้า จะไม่เฉือนนอกจากจะเฉือนเนื้อตัวเอง .. โอ้ยะซีด แสดงความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเจ้าออกมาให้หมดเถิด ทำทุกอย่างที่อยากจะทำเถิด พยามเถิดในสิ่งที่อยากจะทำ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์เจ้าจะไม่มีวันลบชื่อพวกเราได้หรอก ... เจ้าจะไม่มีวันลบความน่ารังเกียจที่ทำไว้ได้หรอก ... วันหนึ่งที่อำนาจและผู้คนรอบข้างเจ้าเหลือน้อยลง วันที่เสียงร้องไปสู่สัจธรรมดังขึ้น วันนั้นเจ้าจะพบกับความเลวร้าย ขอความเมตตาจากอัลลอฮ์จงห่างไกลจากผู้กดขี่ทั้งหลายเถิด [4]

การเสียชีวิต แก้

หลุมฝังศพของท่านหญิงไซหนับ ในอยู่เขตชานเมืองของ ดามัสกัส ซีเรีย ตามรายงานที่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการกล่าวว่า ท่านหญิงเสียชีวิตในวันที่ 15 เดือน Rajab ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 62

นักวิชาการบางคนเชื่อว่าท่านเสียชีวิตจากการถูกวางยาพิษของยาซิด เพราะหลังจากกลับมาที่มะดีนะฮ์ ท่านหญิงร้องคร่ำครวญ และกล่าวสุนทรพจน์เพื่อปกป้องพี่ชายที่ถูกสังหาร สิ่งนี้ถือเป็นอันตรายต่อผู้ปกครองในสมัยนั้น [ต้องการอ้างอิง]

นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งเกี่ยวกับสถานที่ฝังศพของทานหญิง นักประวัติศาสตร์หลายคน รวมทั้ง Massoudi ได้เขียนว่าท่านหญิงเสียชีวิตในมะดีนะฮ์ และสถานที่ฝังศพของท่านญิงคือ บาเกียะอ์ ใน มะดีนะฮ์ บางคนยังเชื่อว่า หลังเเหตุการณ์ฮุรเราะฮ์ในปีฮิจเราะฮ์ที่ 62 ท่านหญิงได้อพยพไปยังดามัสกัสกับสามี อับดุลลาห์ อิบนิ ญะฟัร ซึ่งเขามีที่ดินใน ดามัสกัส และเสียชีวิตในวันที่ 15 ราญับ 1362 ในกรุงดามัสกัส

ท่านหญิงไซหนับ เสียชีวิตในช่วงอายุเดียวกันกับพี่ชายของท่าน อิมามฮุเซนคือเสียชีวิตเมื่ออายุ 56 ปี [5]

หลุมฝังศพของท่านหญิงซัยนับ แก้

หมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานของไซนับเป็นที่รู้จักในอดีตในชื่อรอวียะฮ์และปัจจุบันถูกเรียกว่าซัยนะบียะฮ์ ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านเชื่อมต่อกับเมืองดามัสกัสและตั้งอยู่ห่างจากสนามบิน ดามัสกัส ไปทางตะวันออกประมาณ 7 กิโลเมตร

ในถนนสายหลักของเมืองนี้ โดม และหอคอยสุเหร่าของหลุมฝังศพของท่านหญิงสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดมเป็นอาคารสีทอง และด้านตะวันออกและตะวันตกมี หอคอย ประดับด้วยกระเบื้อง สองหลัง

ฮะรัมของท่านหญิงตกแต่งด้วย กระเบื้องโมเสก ในยุคร่วมสมัยของ ซึ่งการ ปูกระเบื้อง นี้ทำโดย Ali Panjehpour ศิลปินชาวอิสฟาฮานประมาณ 10 ปีที่แล้วในสไตล์ อิสฟาฮาน

ที่ทางเข้าประตูด้านตะวันตกของหลุมฝังศพของท่านหญิงไซหนับและทางด้านขวาภายในห้องเล็ก ๆ มีหลุมฝังศพอีกสามแห่ง หนึ่งในนั้นคือหลุมฝังศพของ Hussein Yousef Maki Ameli ซึ่งเสียชีวิตในปี 1397 และอีกแห่งคือ Mohsen Al- Amin Ameli นักเขียนชื่อดังผลงาน อะอ์ยานุชีอะฮ์ และคนที่สามคือลูกสาวของ Mirza Taghi Behbahani

พื้นที่ของ หลุมฝังศพ ของท่านหญิงไซหนับ และลานภายในเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มี ห้องโถง โดม และ หลุมฝังศพ อยู่ตรงกลาง และมีทางเข้าสี่ทาง เพดานและตัวหลุมฝังศพประกอบจากสามส่วนด้วยกันที่ถูกสร้างเป็นแบบไต่ระดับเป็นชั้นบันไดที่มีโดมอยู่ตรงกลาง บนโดมนี้มีการเขียนประโยคจาก อัลกุรอาน และปิดทองโดยสาธารณรัฐอิสลามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทางด้านตะวันออกของอาคารนี้ ห้องละหมาด Zeinabia สร้างขึ้นโดย Fahri Zanjani ตัวแทนของ Seyyed Ali Khamenei ในซีเรีย ในห้องจะให้ในการนมาซวันศุกร์ อ่านดุอา และนมาซญะมาอะฮ์ ห้องโถงหลังนี้ใหญ่มาก พื้นที่ทั้งหมดของประมาณหนึ่งหมื่นตารางเมตร มีห้องทั้งหมด 114 ห้องในหลุมฝังศพ โดย 64 ห้องอยู่ในลานขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลืออยู่ในลานที่สองและรอบ ๆ husseiniyahs

หลุมฝังศพของท่านหญิงไซหนับ อยู่ตรงกลางของหลุมฝังศพที่มีมะกอมเป็นสีเงินและรอบ ๆ นั้นมีเสากระเบื้องแปดเสาซึ่งเป็นที่ตั้งของโดม ผนังของหลุมฝังศพเป็นสีขาวครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นกระจกเงา และเป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมอิสลามของอิหร่าน อาคารภายในและภายนอกอาคาร เช่นเดียวกับหออะซานและโดม มีอายุประมาณยี่สิบปี แต่การพัฒนารอบ ๆ ลานภายในและการตกแต่งทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงโดยความร่วมมือของสาธารณรัฐอิสลาม ตามคำกล่าวของ Hossein Emadzadeh ในหนังสือ ชีวประวัติของ 14 มะอ์ซูม การสร้างสุสานของท่านหญิงไซหนับ ได้รับการจัดระเบียบใหม่ ปิดทอง และตกแต่งใน สมัยของ Mohammad Reza Shah Pahlavi และตามคำสั่งของ Farah Pahlavi ราชินีแห่งอิหร่าน และค่าบำรุงรักษา ถูกส่งโดย Farah ทุกเดือน [6]

ฉายานาม แก้

  • อุมมุลมะซออิบ
  • อุมุรรอซายา
  • อุมมุลนาวาอิบ [7]

ชื่อ แก้

  • อัมมะตุสซาดาต
  • Aqila Bani Hashem
  • ศิดดีเกาะฮ์ ซุฆรอ
  • เอาลิยามุค็อดดิเราะฮ์
  • อาลิมะฮ์ ฆ็อยเราะ มุอัลลิมะฮ์
  • ซิรุอาบีฮา
  • มะอ์ซูมะฮ์
  • อุมมุกุลซูม
  • อิสมะตุซซุฆรอ
  • ผู้พิทักษ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ
  • นามุซุลกุบรอ
  • ชะรีกะตุลฮุเซน
  • Arefeh
  • กามีละฮ์
  • อาลีมะฮ์
  • มุคบิเราะฮ์
  • มุฮัดดะซะฮ์
  • มะฮ์บูบ อัลมุสตอฟา
  • บากียะฮ์
  • อัลบาลีเฆาะฮ์
  • ฟาฎิละฮ์

บทความเกี่ยวข้อง แก้

แหล่งอ้างอิง แก้

  1. Esposito, J.L., ed., The Oxford Dictionary of Islam, New York:2003
  2. ابن عساکر، اعلام النسا، ص۱۹۰؛ ریاحین الشریعه، ج۳، ص۴۱
  3. مفید، الارشاد فی معرفة حجج الله علی العباد، ۱۴۱۳ق، ج۲، ص۱۲۵
  4. متن سخنرانی حضرت زینب (س) در شام بر اساس نص لهوف
  5. رحلت حضرت زینب سلام الله علیها حوزه
  6. عمادزاده، حسین، ۱۳۳۹: زندگانی چهارده معصوم، تهران: نشر طلوع، ۱۳۶۰ صفحه.
  7. "کنیه و القاب حضرت زینب". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-03. สืบค้นเมื่อ 2022-03-30.
  • سید احمد موسوی ( سید احمد موسوی ( سید احمد موسوی (คุณธรรมของ Zeinab, เตหะราน: Nik Maaref, p. سید احمد موسوی ( سید احمد موسوی (ชะบัก سید احمد موسوی (

การเชื่อมโยงภายนอก แก้