จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี (เปอร์เซีย: شهبانو فرح پهلوی) เป็นพระอัครมเหสีในพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน และจักรพรรดินีพระองค์เดียวของอิหร่านในยุคปัจจุบัน หลังจากการปฏิวัติอิหร่าน พระองค์ได้ใช้พระชนม์ชีพส่วนใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[3]
สมเด็จพระจักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน | |
---|---|
พระอัครมเหสีแห่งอิหร่าน (ชาห์บานู) | |
![]() พระฉายาลักษณ์อย่างเป็นทางการ ค.ศ.1973 | |
สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน | |
ระหว่าง | 21 ธันวาคม 1959 – 20 มีนาคม 1961 |
ก่อนหน้า | โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี |
สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน | |
ระหว่าง | 20 มีนาคม 1961[1] – 11 กุมภาพันธ์ 1979 |
ราชาภิเษก | 26 ตุลาคม 1967 |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
พระราชสมภพ | กรุงเตหะราน[2] จักรวรรดิอิหร่าน ฟาราห์ ดีบา | 14 ตุลาคม ค.ศ. 1938
คู่อภิเษก | พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (อภิเษกสมรส ค.ศ.1959 ; สวรรคต ค.ศ.1980) |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | ปาห์ลาวี (อภิเษกสมรส) |
พระราชบิดา | โซห์รับ ดีบา |
พระราชมารดา | ฟาริเดห์ ฆอตไบ |
ลายพระอภิไธย | ![]() |
ฟาราห์พระราชสมภพมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ความมั่งคั่งเหล่านั้นลดลงเมื่อบิดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในขณะที่ฟาราห์ศึกษาด้านสถาปัตยกรรมในกรุงปารีส ก็ทรงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพระเจ้าชาห์ที่สถานทูตอิหร่าน และต่อมาก็ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1959 การอภิเษกสมรสสองครั้งก่อนหน้าของพระเจ้าชาห์นั้นมิได้ให้กำเนิดพระราชโอรส ซึ่งพระโอรสมีความจำเป็นสำหรับการสืบราชบัลลังก์ ดังนั้นการที่พระนางฟาราห์มีพระสูติกาลเจ้าชายเรซา มกุฎราชกุมารในเดือนตุลาคมปีถัดมา ได้สร้างความปีติยินดีมาสู่ราชวงศ์อย่างมาก จักรพรรดินีฟาราห์ทรงแสวงหาความสนพระทัยในเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่ในครัวเรือน แม้ว่าพระนางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเกี่ยวข้องในบทบาททางการเมือง พระนางจึงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการกุศลมากมาย และทรงก่อตั้งมหาวิทยาลัยรูปแบบอเมริกันแห่งแรก ที่อนุญาตให้สตรีเข้าเป็นนักศึกษาจำนวนมาก พระนางยังทรงเป็นคนกลางอำนวยความสะดวกในการซื้อคืนวัตถุโบราณของอิหร่านมาจากพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ
ในปีค.ศ. 1978 มีสัญญาณชัดเจนว่าการปฏิวัติกำลังเกิดขึ้น จักรพรรดิและจักรพรรดินีจึงเสด็จออกจากประเทศในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 หลังจากทรงได้รับการตัดสินโทษประหารชีวิต ด้วยเหตุนี้นานาประเทศจึงไม่เต็มใจที่จะต้อนรับพระราชวงศ์อิหร่าน ยกเว้นแต่เพียงอียิปต์ในสมัยประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตที่ให้พระราชวงศ์อิหร่านลี้ภัยในประเทศ พระพลานามัยของพระเจ้าชาห์เริ่มทรุดลง และสวรรคตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1980 หลังจากนั้น จักรพรรดินีฟาราห์เริ่มประกอบพระราชกรณียกิจทางการกุศลใหม่อีกครั้ง และทรงประทับอยู่ทั้งวอชิงตัน ดี.ซี และปารีส
ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
แก้จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี มีพระนามเดิมว่า ฟาราห์ ดีบา พระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1938 [4] ณ กรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน มีเชื้อสายอเซอรี[5][6] ถือกำเนิดในครอบครัวชั้นสูง.[7][8][9] เป็นธิดาของกัปตัน โซห์รับ ดีบา และนางฟาริเดห์ ฆอตไบ ในความทรงจำของฟาราห์ ปาห์ลาวี ได้เขียนถึงพระบิดา ว่าเป็นคนพื้นเมืองอาเซอร์ไบจาน (อิหร่าน) ส่วนพระมารดานั้นมีพื้นเพมาจากจังหวัดกิลาน ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแคสเปียน[4]
ผ่านทางพระบิดาของพระองค์ ฟาราห์ทรงมาจากพื้นฐานที่ค่อนข้างร่ำรวย ในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 19 พระอัยกาของพระองค์เคยเป็นนักการทูตที่ประสบความสำเร็จ โดยทำงานในฐานะเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำราชสำนักราชวงศ์โรมานอฟที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย พระบิดาของพระองค์เป็นนายทหารในกองกำลังติดอาวุธแห่งราชอาณาจักรอิหร่าน และจบการศึกษาจากสถาบันการทหารอันทรงเกียรติกองทัพฝรั่งเศสที่แซงต์-ครี
ฟาราห์ทรงมีความสุขอย่างมากที่ได้ใกล้ชิดผูกพันกับพระบิดาของพระองค์และด้วยการเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดของเขาในปีค.ศ. 1948 ได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อพระองค์อย่างลึกซึ้ง สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ครอบครัวของพระองค์ตกอยู่ในฐานะทางการเงินที่ลำบาก ในกรณีที่เกิดขึ้นเหล่านี้ พวกเขาถูกบังคับให้ย้ายออกจากวิลลาขนาดใหญ่ในทางตอนเหนือของเตหะรานไปอาศัยในอพาร์ตเมนต์ร่วมกับหนึ่งในพี่ชายของนางฟาริเดห์ ฆอตไบ พระมารดา
การศึกษาและการหมั้นหมาย
แก้จักรพรรดินีฟาราห์ได้รับการศึกษาภายในประเทศในโรงเรียนอิตาเลียนที่เตหะราน จากนั้นย้ายไปยังโรงเรียนฌาณส์ เดอ อาร์ก ฝรั่งเศสจนกระทั่งมีพระชนพรรษา 16 พรรษา และหลังจากนั้นได้เข้าศึกษาในโรงเรียนราซี[10] พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในวัยเยาว์และทรกลายเป็นกัปตันทีมบาสเก็ตบอลประจำโรงเรียนของพระองค์ หลังจากทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนราซี พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในสถาปัตยกรรมโดยทรงเข้าศึกษาต่อที่สถาบันศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งทรงเป็นนักศึกษาของอัลแบร์ แบซซัน
นักศึกษาชาวอิหร่านหลายคนได้รับการศึกษาจากต่างประเทศในช่วงนี้ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐ ดังนั้นเมื่อชาห์ในฐานะทรงเป็นประมุขแห่งรัฐต้องเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ พระองค์มักโปรดฯให้นักศึกษาชาวอิหร่านในพื้นที่นั้นเข้าเฝ้า เป็นช่วงของการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในปี ค.ศ. 1959 ที่สถานเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงปารีส ซึ่งนางสาวฟาราห์ ดีบาได้เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีครั้งแรก
หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับมายังเตหะรานในฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1959 พระเจ้าชาห์และนางสาวฟาราห์ ดีบาได้เริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมการในส่วนของพระราชธิดาซึ่งก็คือ เจ้าหญิงชาห์นาซ ปาห์ลาวี ทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959
อภิเษกสมรสและพระโอรสธิดา
แก้พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1959 ขณะนั้นทรงมีพระชนพรรษา 21 พรรษา ซึ่งเป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนทั่วโลก ฉลองพระองค์ของพระราชินีฟาราห์ถูกออกแบบโดยอีฟ แซงต์ โลรองต์ ซึ่งเป็นนักออกแบบในเครือคริสเตียนดิออร์[11] และพระองค์ได้ทรงเทริด เพชรนูร์-โอล-อิน
หลังจากพระราชพิธีที่เอิกเกริกและงานเฉลิมฉลองได้ผ่านพ้นไป พระราชินีพระองค์ใหม่ก็ทรงมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องมีพระประสูติการพระราชโอรสถวายพระเจ้าชาห์ให้ได้ กฎมณเฑียรบาลของอิหร่านในขณะนั้นไม่อนุญาตให้เชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน (สตรี) ขึ้นครองราชย์ได้ แม้ว้าพระเจ้าชาห์จะทรงอภิเษกสมรสมาก่อนแล้วถึงสองครั้งแต่พระราชินีองค์ก่อน ๆ ก็ให้มีพระประสูติกาลแต่พระธิดาเท่านั้น ครั้งนี้ได้สร้างความกดดันแก่พระราชินีพระองค์ใหม่ พระเจ้าชาห์เองก็ทรงวิตกกังวลในรัชทายาทชายเช่นเดียวกับรัฐบาลของพระองค์[12] นอกจากนี้ยังเป็นที่ทราบอีกว่าการหย่าร้างของพระเจ้าชาห์กับสมเด็จพระราชินีโซรยาซึ่งทรงเป็นพระราชินีพระองค์ก่อนมีเหตุมาจากการที่พระราชินีทรงมีบุตรยาก[13] แต่หลังจากที่รอคอยมานานพระราชินีก็มีพระประสูติกาลพระราชโอรสเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1960
ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดารวมกันทั้งหมด 4 พระองค์ ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา | |
เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวี มกุฎราชกุมารแห่งอิหร่าน | ค.ศ. 1960 |
31 ตุลาคมยังทรงดำรงพระชนม์ชีพ | อภิเษกสมรส วันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1986 กับ ยัสมิน อาเตมัด-อามินี มีพระธิดา 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงนูร์ ปาห์ลาวี เจ้าหญิงอีมาน ปาห์ลาวี เจ้าหญิงฟาราห์ ปาห์ลาวี | |
เจ้าหญิงฟาราห์นาซ ปาห์ลาวี | ค.ศ. 1963 |
12 มีนาคมยังทรงดำรงพระชนม์ชีพ | ไม่ทรงอภิเษกสมรส | |
เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวีที่ 2 | ค.ศ. 1966 |
28 เมษายนค.ศ. 2011 |
4 มกราคมไม่ทรงอภิเษกสมรส แต่ทรงมีพระธิดา 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงอีร์ยานา ไลลา | |
เจ้าหญิงไลลา ปาห์ลาวี | ค.ศ. 1970 |
27 มีนาคมค.ศ. 2001 |
10 มิถุนายนไม่ทรงอภิเษกสมรส |
ในฐานะของสมเด็จพระราชินีและจักรพรรดินี
แก้บทบาทของสมเด็จพระราชินีพระองค์ใหม่อาจจะทรงมีในกิจการของรัฐหรือรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ภายในราชสำนัก บทบาทในสาธารณะของพระองค์เป็นเรื่องรองมาจากเรื่องที่เร่งด่วนมากคือการสืบราชสันตติวงศ์ที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์มกุฎราชกุมารประสูติ สมเด็จพระราชินีพระองค์ใหม่ทรงเป็นอิสระในการอุทิศเวลาของพระองค์ในพระกรณียกิจอื่นและการแสวงหาความรู้อย่างเป็นทางการ
เหมือนกับพระมเหสีพระองค์อื่นๆ พระราชินีพระองค์ใหม่ทรงเริ่มจำกัดพระองค์เองให้เป็นบทบาททางพิธีการ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเข้าร่วมการเปิดสถาบันการศึกษาและการแพทย์ต่างๆโดยไม่ทรงเข้าไปก้าวก่ายเกินเลยในประเด็นขัดแย้ง อย่างไรก็ตามในขณะที่เวลาผ่านไปสถานะนี้ได้เปลี่ยนแปลง สมเด็จพระราชินีทรงมีความสนพระทัยอย่างมากในกิจการของรัฐบาลที่ซึ่งเกี่ยวกับปัญหาและเป็นเหตุให้พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัย พระองค์ทรงใช้ความใกล้ชิดและอิทธิพลของพระองค์ต่อพระเจ้าชาห์ ผู้เป็นพระสวามี เพื่อรับประกันการระดมเงินทุนและให้ความสนใจมุ่งเน้นไปที่สาเหตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ของสิทธิสตรีและการพัฒนาทางวัฒนธรรม
ในที่สุดสมเด็จพระราชินีทรงเข้ามารับผิดชอบในพนักงาน 40 คนที่จัดการคำขอความช่วยเหลือต่างๆในช่วงปัญหา พระองค์ทรงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มองเห็นได้อย่างมากที่สุดในรัฐบาลของจักรวรรดิและทรงรับองค์การการศึกษาจำนวน 24 องค์การไว้ในพระราชินูปถัมภ์, การแพทย์และวัฒนธรรม บทบาททางมนุษยธรรมของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงได้รับความนิยมในช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970[14] ในช่วงนี้พระองค์เสด็จประพาสภายในประเทศอิหร่าน เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ห่างไกลบางส่วนและทรงพบปะกับพลเมืองในท้องถิ่น
รัฐบาลกลางในกรุงเตหะรานตระหนักถึงความนิยมของประชาชนต่อพระองค์ จึงทำให้ในปีค.ศ. 1967 พระเจ้าชาห์ได้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์เองขึ้น และได้สถาปนาพระราชินีขึ้นเป็นจักรพรรดินี (ชาห์บานู, شاهبانو) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิหร่านสมัยใหม่และยังทรงสถาปนาให้เป็น "จักรพรรดินีนาถ" ในกรณีที่พระองค์สวรรคตหรือไม่สามารถปกครองประเทศได้ก่อนที่มกุฎราชกุมารจะเจริญพระชนมายุครบ 21 พรรษา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ในตะวันออกกลาง[14]
ระยะการดำรงพระอิสริยยศของพระนางฟาราห์ในฐานะจักรพรรดินีโดยปราศจากข้อโต้แย้ง สาเหตุที่พระองค์ทรงปกป้องและบทบาทของพระองค์ในรัฐบาลบางครั้งนั้นได้เข้ามาขัดแย้งกับคนบางกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายอนุรักษนิยมทางศาสนา ความไม่พอใจของคนกลุ่มนี้ที่พุ่งเป้าหมายไปที่รัฐบาลปาห์ลาวีทั้งหมดและไม่ใช่เพียงแค่องค์จักรพรรดินีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
พระองค์พร้อมกับรัฐบาลปาห์ลาวีได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการตักตวงผลประโยชน์มากเกินไป เวลาสองครั้งที่รัฐบาลได้สร้างความโกรธแค้นคือ พระราชพิธีครองราชสมบัติในปีค.ศ. 1967 และที่มากที่สุดคือ พระราชพิธีเฉลิมฉลองราชาธิปไตยแห่งอิหร่านครบ 2,500 ปีที่ถูกจัดขึ้นในปีค.ศ. 1971 ในนครโบราณแพร์ซโพลิส ในขณะที่องค์จักรพรรดินีเองทรงออกมาปกป้องว่าพระราชพิธีนี้เปรียบเหมือนตู้แสดงความงดงามของประวัติศาสตร์อิหร่านและความก้าวหน้าทันสมัย นักวิจารณ์อ้างว่าค่าใช้จ่ายในพระราชพิธีนี้(ซึ่งแม้ว่ามีข้อพิพาทอย่างแน่นอนถึงสิบล้านดอลลาร์)สูงเกินไป ได้นำมาซึ่งความกดดันทางการคลังให้เกิดขึ้นในประเทศ
พระราชกรณียกิจทางศิลปะและวัฒนธรรม
แก้ในช่วงต้นรัชกาล องค์จักรพรรดินีทรงสนพระราชหฤทัยและมีบทบาทส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมในอิหร่าน โดยผ่านพระราชินูปถัมภ์ของพระองค์ หลายองค์กรถูกจัดตั้งขึ้นและส่งเสริมเพื่อทำตามพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะทรงนำสิลปวัฒนธรรมอิหร่านร่วมสมัยและทรงให้ความสำคัญทั้งในอิหร่านและโลกตะวันตก
นอกเหนือไปจากความพยายามของพระองค์เอง องค์จักรพรรดินีทรงพยายามที่จะหาทางบรรลุเป้าหมายด้วยความช่วยเหลือต่างๆของมูลนิธิและที่ปรึกษา กระทรวงของพระองค์สนับสนุนการแสดงออกทางศิลปะในหลายๆรูปแบบ รวมทั้งศิลปะแบบดั้งเดิมของอิหร่าน(เช่น การทอผ้า, การร้องเพลงและการขับขานบทกวี)เช่นเดียวกับการละครแบบตะวันตก พระองค์ทรงได้รับการยอมรับมากที่สุดในการที่ทรงอุปถัมภ์ศิลปะการแสดงในเทศกาลศิลปะชีราซ เหตุการณ์นี้มีความขัดแย้งในบางครั้งโดยเทศกาลนี้ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ค.ศ. 1967 จนถึงค.ศ. 1977 และให้ความสำคัญกับการแสดงสดโดยทั้งจากศิลปินอิหร่านและตะวันตก[15]
อย่างไรก็ตามในเวลาส่วนใหญ่ของพระองค์ ทรงมักเสด็จพระราชดำเนินไปในการสร้างพิพิธภัณฑ์และอาคารเก็บวัตถุสะสมต่างๆ
ศิลปะโบราณ
แก้ประเทศที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอย่างอิหร่านในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ได้แสดงออกมาเพียงเล็กน้อย สมบัติที่ยิ่งใหญ่ทางศิลปะมากมายในช่วง 2,500 ปี ได้ตกไปอยู่ในมือของพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศและของสะสมส่วนตัว มันจะกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่องค์จักรพรรดินีที่จะทรงจัดหาสถานที่เก็บสะสมในอิหร่านที่เหมาะสมสำหรับวัตถุทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง ในที่สุด พระองค์ทรงได้รับการสนับสนุนด้วยการอนุญาตจากรัฐบาลของพระสวามีและเงินทุนในการ "ซื้อกลับ" วัตถุสะสมอิหร่านทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศ การทำเช่นนี้ประสบความสำเร็จด้วยการช่วยเหลือของสองพี่น้อง ฮุชางและเมะห์ดี มะห์บูเบียน เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายวัตถุโบราณอิหร่านที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่องค์จักพรรดินีตั้งแต่ค.ศ. 1972 ถึงค.ศ. 1978[16] ด้วยวัตถุเหล่านี้พระองค์ทรงก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหลายแห่ง (หลายๆแห่งยังคงดำรงอยู่จนทุกวันนี้) และเป็นจุดเริ่มต้นขององค์การอนุรักษ์แห่งชาติในอิหร่าน[17]
พิพิธภัณฑ์และศูนย์วัฒนธรรมได้ถูกสร้างขึ้นภายใต้พระราชเสาวนีย์ของพระองค์รวมถึง ศูนย์วัฒนธรรมเนกาเรสถาน, พิพิธภัณฑ์เรซาอับบาซี, พิพิธภัณฑ์คอร์รามาบัดด้วยการเก็บวัตถุมีค่าอย่างทองสัมฤทธิ์ทองแดงลอเรสทาน, พิพิธภัณฑ์พรมอิหร่านและพิพิธภัณฑ์อับกีเนห์สำหรับเครื่องเซรามิกและเครื่องแก้ว[18]
ศิลปะร่วมสมัย
แก้นอกเหนือจากการสร้างการสะสมโบราณวัตถุอิหร่าน องค์จักรพรรดินียังทรงสนพระทัยในการแสวงหาศิลปะตะวันตกและอิหร่านร่วมสมัย ด้วยเหตุนี้ พระนางทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญเบื้องหลังพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเตหะราน ผลจากการประกอบพระราชกรณียกิจของพระนางในการสร้างและขยายสถาบันที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานขององค์จักรพรรดินีที่ทรงตกทอดไว้ให้กับประชาชนชาวอิหร่าน
ด้วยการที่ทรงใช้เงินที่จัดสรรโดยรัฐบาล องค์จักรพรรดินีทรงใช้ประโยชน์จากตลาดศิลปะในคริสต์ศตวรรษที่ 1970 เพื่อซื้อผลงานที่สำคัญในศิลปะตะวันตก ภายใต้พระราชเสาวนีย์ของพระนาง พิพิธภัณฑ์ได้รับผลงานเกือบ 150 ชิ้นโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงเช่น ปาโบล ปีกัสโซ, โกลด มอแน, จอร์จ กรอซ, แอนดี้ วอร์ฮอล, แจ๊คสัน พอลล็อกและรอย ลิกเตนสไตน์ ทุกวันนี้ผลงานสะสมในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเตหะรานเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่รวบรวมศิลปะตะวันตกของศตวรรษที่ 20 ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากจะเป็นที่ที่สำคัญที่สุดนอกยุโรปและสหรัฐอเมริกา มันได้กลายเป็นที่โดดเด่นมาก ตามที่ปาร์วิซ ตานาโวลี ประติมากรสมัยใหม่ชาวอิหร่านและอดีตที่ปรึกษาทางวัฒนธรรมขององค์จักรพรรดินี ได้กล่าวถึงผลงานสะสมที่น่าประทับใจซึ่งได้ถูกรวบรวมเป็นมูลค่า "หลายสิบ ไม่สิหลายร้อยล้านดอลลาร์"[17] ทุกวันนี้มูลค่าของทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ที่ประมาณเกือบ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ[19]
ของสะสมเหล่านี้เป็นปัญหาที่ยากจะหาทางออกสำหรับกลุ่มต่อต้านตะวันตกของสาธารณรัฐอิสลามที่ซึ่งยึดพระราชอำนาจหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ปาห์ลาวีในปีค.ศ. 1979 แม้ว่าในทางการเมืองรัฐบาลสายนิยมความเชื่อดั้งเดิมทางศาสนาจะปฏิเสธอิทธิพลของตะวันตกในอิหร่าน แต่ผลงานสะสมที่รวบรวมโดยองค์จักรพรรดินียังคงถูกเก็บรักษาไว้ อาจเป็นเพราะว่ามีมูลค่าที่มากมายมหาศาล มันยังคงไม่มีการปรากฏต่อสาธารณชนและอยู่ในห้องเก็บของใต้ดินของพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเตหะรานมาเกือบสองทศวรรษ สิ่งนี้ทำให้เกิดการพิจารณาอย่างมากถึงชะตากรรมของงานศิลปะที่ซึ่งนำเฉพาะส่วนหนึ่งหลังจากผลงานสะสมส่วนใหญ่ได้ถูกเห็นอีกครั้งในเวลาสั้นๆที่กรุงเตหะรานครั้งล่าสุดในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2005[19]
การปฏิวัติอิหร่าน
แก้การเคลื่อนไหวต่อต้านพระเจ้าชาห์ของอายะตุลลอฮ์ โคมัยนีกับกลุ่มศาสนานิยมที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเสรีนิยมของพระเจ้าชาห์ในโครงการการปฏิวัติขาวของพระองค์ จึงเกิดการนิยมโคมัยนีขึ้นอย่างแพร่หลายในอิหร่าน และในอิหร่านช่วงต้นค.ศ. 1978 มีปัจจัยจำนวนหนึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจภายในรัฐบาลของราชวงศ์ปาห์ลาวีได้ปรากฏเด่นชัดมากขึ้น
ความไม่พอใจภายในประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นและต่อมานำไปสู่การเดินขบวนต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์[20] องค์จักรพรรดิไม่ทรงสามารถช่วยเหลือได้แต่ทรงตระหนักถึงความไม่สงบและทรงบันทึกความทรงจำของพระองค์ในช่วงเวลานี้ว่า "มีความรู้สึกของความไม่พอใจได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด" ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้พระราชกรณียกิจอย่างเป็นทางการของพระองค์ส่วนใหญ่ถูกยกเลิกเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยของพระนาง
โดยเกือบจะสิ้นปีสถานการณ์ทางการเมืองเลวร้ายลงไปอีก การจลาจลและความไม่สงบเกิดขึ้นบ่อยมากขึ้น ประชาชนในเตหะรานได้รวมกันประท้วงชาห์ เผาธงชาติ ถือป้ายข้อความ "แยงกี้ โกโฮม" "ชาห์ต้องลาออก" และ "โคมัยนีต้องปกครองอิหร่าน" มีสตรีแต่งกายด้วยชุดดำสวมคลุมศีรษะจำนวนมาเข้าร่วมขบวนด้วย ขบวนได้ปะทะกับทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน ความไม่สงบได้ทวีความรุนแรงสูงสุดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกในเมืองสำคัญของอิหร่านและประเทศกำลังจะเกิดการปฏิวัติ
ในช่วงเวลานี้ ในการตอบสนองการประท้วงที่รุนแรง พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีพร้อมจักรพรรดินีฟาราห์มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จออกนอกประเทศ ทั้งองค์ชาห์และองค์ชาห์บานูเสด็จโดยเครื่องบินประทับออกจากอิหร่านในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 รัฐบาลของชาห์ปูร์ บัคเตียร์ นายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศว่า พระองค์มิได้สละบัลลังก์แต่อย่างใด
หลังจากเสด็จออกจากอิหร่าน
แก้ปัญหาที่พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีได้เสด็จออกจากอิหร่านเป็นเรื่องที่ยังถกเถียง แม้ว่าระหว่างพระมหากษัตริย์และที่ปรึกษาของพระองค์[21] ในระหว่างรัชสมัยของพระองค์ พระเจ้าชาห์ยังทรงดำรงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตแห่งอียิปต์และองค์จักรพรรดินีเองยังทรงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับภริยาของประธานาธิบดีคือ จาฮาน ซาดาต ประธานาธิบดีอียิปต์ได้กราบทูลคำเชิญไปยังทั้งสองพระองค์ให้ลี้ภัยอยู่ในประเทศอียิปต์ซึ่งทั้งสองพระองค์ตอบรับคำกราบทูลเชิญ
เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายในอิหร่าน หลายรัฐบาลรวมทั้งผู้ที่เป็นมิตรกับสถาบันพระมหากษัตริย์อิหร่านก่อนการปฏิวัติ เห็นว่าการปรากฏพระองค์ของพระเจ้าชาห์ในขอบเขตพื้นที่ของพวกเขาเป็นความรับผิดชอบ แม้ว่ามีการกลับขั้วอย่างเมินเฉย สิ่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผลทั้งหมดของรัฐบาลปฏิวัติในอิหร่านได้ออกคำสั่งให้จับกุม (ต่อมาคือ ปลงพระชนม์)ทั้งพระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีฟาราห์ รัฐบาลใหม่ของอิหร่านได้มีคำเรียกร้องให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหลายครั้งแต่กลายเป็นขอบเขตที่จะทำให้ประเทศมหาอำนาจทำการผลักดันให้พระมหากษัตริย์ที่ทรงถูกปลดออกจากราชบัลลังก์กลับมา(สันนิษฐานว่าองค์จักรพรรดินีด้วย)โดยไม่ทราบเวลา โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ซับซ้อน[22]
พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีทรงอยู่ไกลโดยไม่ได้ตระหนักถึงความซับซ้อนเหล่านี้และการรับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นซึ่งจะนำมาสู่ผู้ที่ต้อนรับทั้งสองพระองค์ ในการตอยสนองนี้ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จออกจากอียิปต์ เป็นจุดเริ่มต้นของสิบสี่เดือนที่ทรงทำการค้นหาที่ลี้ภัยถาวรและการเดินทางได้ทำให้ทั้งสองพระองค์เสด็จไปในประเทศต่างๆ หลังจากเสด็จออกจากอียิปต์ ทั้งสองพระองคืได้เดินทางไปยังโมร็อกโกซึ่งทรงเป็นพระราชอาคันตุกะเพียงเวลาสั้นๆของสมเด็จพระราชาธิบดีฮะซันที่ 2 แห่งโมร็อกโก
หลังจากเสด็จออกจากโมร็อกโก พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีทรงได้รับสถานที่ที่ลี้ภัยชั่วคราวที่บาฮามาสและทรงได้รับกรรมสิทธิ์ในชายหาดขนาดเล็กบนเกาะพาราไดซ์ จากการที่ทรงมีพระราชดำรัสถากถาง องค์จักรพรรดินีทรงระลึกได้ว่าวันเวลาที่สุขสบายช่วงนี้คือ "วันที่มืดมนที่สุดในพระชนม์ชีพของพระนาง"[12] หลังจากวีซาบาฮามาสหมดอายุและไม่ได้รับการต่ออายุ ทั้งสองพระองค์ได้มีคำขอไปยังเม็กซิโก ซึ่งทรงได้รับการตอบรับและเช่าสถานที่พำนักที่คูเออนาวาคาใกล้เม็กซิโกซิตี
พระอาการประชวรของพระเจ้าชาห์
แก้หลังจากเสด็จออกจากอียิปต์พระพลานามัยของพระเจ้าชาห์ได้ทรุดลงอย่างรวดเร็วจากการที่ทรงต่อสู้กับพระอาการมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน ความรุนแรงของพระอาการทำให้ทั้งสองพระองค์ที่ทรงลี้ภัยต้องเสด็จไปยังสหรัฐอเมริกาในระยะเวลาสั้นๆเพื่อรักษาพระอาการประชวร การปรากฏของทั้งสองพระองค์ในสหรัฐอเมริกาได้ทำให้ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วระหว่างวอชิงตันและฝ่ายปฏิวัติที่เตหะรานได้ลุกลามไปมากยิ่งขึ้น พระเจ้าชาห์ประทับที่สหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าจะทรงมีจพระประสงค์ที่จะรักษาพระอาการประชวรจริงๆแต่กลายเป็นการต่อระยะเวลาแห่งความเป็นศัตรูระหว่างชาติทั้งสอง เหตุการณ์นี้ได้ลุกลามบานปลายจนเกิดยึดสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำกรุงเตหะรานซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเหตุการณ์วิกฤตตัวประกันอิหร่าน
ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีไม่ทรงได้รับการอนุญาตให้คงประทับอยู่ในสหรัฐอเมริกา ไม่นานหลังจากทรงได้รับการรักษาขั้นพื้นฐาน ทั้งสองพระองค์เสด็จไปยังลาตินอเมริกาอีกครั้ง แม้ว่าในครั้งนี้ได้เสด็จไปที่เกาะกอนตาโดราในปานามา
โดยในตอนนี้ พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีทรงมองการบริหารจัดการของประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ด้วยความชิงชังบ้างในการตอบสนองที่ขาดแคลนการสนับสนุนและทรงยินดีที่จะเสด็จออกไป ด้วยทัศนคตินั้นอย่างไรก็ตามทรงอยู่ในการพิจารณาที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลปานามาได้พยายามที่จะจับกุมพระเจ้าชาห์และเตรียมการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไปให้รัฐบาลปฏิวัติอิหร่าน[23] ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้พระเจ้าชาห์และองค์จักรพรรดินีทรงยื่นคำร้องอีกครั้งแก่ประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตในการที่จะเสด็จกลับอียิปต์ (ในส่วนของจักรพรรดินีฟาราห์ทรงเขียนว่าคำร้องนี้ถูกสร้างขึ้นจากการมีพระราชปฏิสันถารระหว่างพระองค์กับจาฮาน ซาดาต ภริยาประธานาธิบดี) คำร้องของทั้งสองพระองค์ได้รับการตอบรับและทรงเสด็จกลับอียิปต์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1980 ซึ่งทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพระจ้าชาห์เสด็จสวรรคตในสี่เดือนถัดมา วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980
พระชนม์ชีพระหว่างลี้ภัย
แก้หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าชาห์ จักรพรรดินีผู้ทรงลี้ภัยยังคงประทับอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาเกือบสองปี ประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตได้ถวายพระราชวังคุบเบห์ในกรุงไคโรแก่พระองค์และพระราชวงศ์ ไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1981 องค์จักรพรรดินีพร้อมพระราชวงศ์ได้เสด็จออกจากอียิปต์ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเมื่อทราบได้ทูลเชิญให้เสด็จมาประทับที่สหรัฐอเมริกา[24]
ในช่วงแรกพระองค์ประทับที่วิลเลียมส์ทาวน์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ต่อมาทรงซื้อบ้านที่ประทับในกรีนิช ในรัฐคอนเนตทิคัต หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไลลา ปาห์ลาวี พระราชธิดาองค์สุดท้องในปีค.ศ. 2001 พระองค์ทรงซื้อบ้านหลังเล็กที่โปโตแมค ในรัฐแมริแลนด์ ใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อที่จะได้ประทับใกล้ชิดกับพระโอรสและพระนัดดา ขณะนี้องค์จักรพรรดินีทรงแบ่งเวลาประทับทั้งที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และกรุงปารีส พระองค์ยังทรงจาริกแสวงบุญเป็นประจำในเดือนกรกฎาคมของทุกปีไปยังสุสานของพระเจ้าชาห์ที่มัสยิดอัล-รืฟะห์อิในกรุงไคโร
องค์จักรพรรดินีทรงสนับสนุนงานการกุศล รวมทั้ง Annual Alzheimer Gala IFRAD (กองทุนสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์)ที่กรุงปารีส[25]
องค์จักรพรรดินียังคงปรากฏพระองค์ในงานพระราชพิธีของเชื้อพระวงศ์ต่างชาติ ดังเช่น พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโกกับชาร์ลีน วิตต์สท็อกในปีค.ศ. 2011, พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กกับแมรี โดนัลด์สันในปีค.ศ. 2004 และพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายนิโกเลาส์แห่งกรีซและเดนมาร์กกับตาเตียนา บลัทนิคในปีค.ศ. 2010
พระราชนัดดา
แก้องค์จักรพรรดินีทรงมีพระราชนัดดา 3 พระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวี พระราชโอรสองค์โตกับยัสมิน อาเตมัด-อามินี พระชายา ได้แก่
- เจ้าหญิงนูร์ ปาห์ลาวี (ประสูติ 3 เมษายน ค.ศ. 1992)
- เจ้าหญิงอีมาน ปาห์ลาวี (ประสูติ 12 กันายน ค.ศ. 1993)
- เจ้าหญิงฟาราห์ ปาห์ลาวี (ประสูติ 17 มกราคม ค.ศ. 2004)
องค์จักรพรรดินีทรงมีพระราชนัดดาอีกหนึ่งพระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวี พระราชโอรสองค์รองกับราฮา ดีเดวาร์[26] ผู้เป็นพระสหาย ได้แก่
- เจ้าหญิงอีร์ยานา ไลลา (ประสูติ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2011)
พระอนุทิน
แก้ในปี ค.ศ. 2003 องค์จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีทรงเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวในความทรงจำของพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์ และเป็นนักศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ เมื่ออายุ 21 ปี จนได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าชาห์และกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน ทรงเขียนในชื่อเรื่องว่า An Enduring Love: My Life with the Shah (ภาษาไทย: ความทรงจำของฟาราห์ ปาห์ลาวี) พระอนุทินของอดีตองค์จักรพรรดินีเป็นที่สนใจในต่างประเทศ ได้กลายเป็นหนังสือขายดีในยุโรป ด้วยข้อความที่ตัดตอนที่ปรากฏในนิตยสารข่าวและผู้เขียนที่ทรงปรากฏพระองค์ในรายการทอล์กโชว์และสื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม มีความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ซึ่งมีการรวม Publishers Weeklyที่ได้วิจารณ์ว่า "ตรงไปตรงมา การอธิบายอย่างตรงๆ" และThe Washington Post ได้วิจารณ์ว่า "น่าทึ่ง"
ทางเดอะนิวยอร์กไทมส์ อีลีน สชิโอลิโน หัวหน้าแผนกเอกสารประจำปารีส ได้นำหนังสือมาโดยไม่ค่อยประจบในการแสดงความคิดเห็น ได้บรรยายว่า "แปลได้ดี"แต่"เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความขมขื่น"[27] ทางNational Review โดยเรซา บาเยกาน นักเขียนชาวอิหร่านได้ยกย่องว่าเป็นบันทึกที่ "ดาษดื่นไปด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อชาติของพระองค์"[28]
ภาพยนตร์
แก้ในปีค.ศ. 2008 ภาพยนตร์เรื่อง The Queen and I ได้ออกฉาย ซึ่งภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย นาฮิด เพิร์สซัน ซาร์เวสทานี ผู้กำกับชาวสวีเดนเชื้อสายอิหร่าน ซึ่งเคยเป็นผู้ต่อต้านระบอบกษัตริย์และมีส่วนในขบวนการล้มล้างราชวงศ์ปาห์ลาวี ภาพยนตร์ได้ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของจักรพรรดินี ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์ รวมทั้งความเข้าอกเข้าใจกันของผู้หญิงสองคน ที่แม้จะเคยเป็นศัตรูกัน แต่ก็กลายเป็นผู้ที่มีชะตาชีวิตคล้ายคลึงกัน คือต้องระหกระเหินออกจากบ้านเกิดเมืองนอน[29]
พระราชอิสริยยศ
แก้- นางสาวฟาราห์ ดีบา (ค.ศ. 1938 - 1959)
- สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน (ค.ศ. 1959 - 1967)
- จักรพรรดินีแห่งอิหร่าน (ค.ศ. 1967 - 1979)
- สมเด็จจักรพรรดินีฟาราห์แห่งอิหร่าน (ค.ศ. 1979 - ปัจจุบัน)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
แก้- พ.ศ. 2511 - เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) ฝ่ายใน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิหร่าน
แก้- ค.ศ. 1959 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์เพลเอียเดส ชั้นที่ 1
- ค.ศ. 1967 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์กอร์ชิด ชั้นที่ 1
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
แก้- สวีเดน :
- ค.ศ. 1960 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟิม
- เดนมาร์ก :
- ค.ศ. 1963 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา
- เนเธอร์แลนด์ :
- ค.ศ. 1963 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ ชั้นประถมาภรณ์
- ฝรั่งเศส :
- ค.ศ. 1963 - เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นกร็อง-ครัว
- เบลเยียม :
- ค.ศ. 1964 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ ชั้นที่ 1
- นอร์เวย์ :
- ค.ศ. 1965 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์
- บราซิล :
- ค.ศ. 1965 - เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวกางเขนใต้ ชั้นที่ 1
- อาร์เจนตินา :
- ค.ศ. 1965 - เครื่องอิสริยาภรณ์นายพลซานมาร์ตินผู้ปลดปล่อย ชั้นที่ 1
- ออสเตรีย :
- ค.ศ. 1965 - เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาดารา[30]
- เยอรมนีตะวันตก :
- ค.ศ. 1967 - เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ชั้นที่ 1
- มาเลเซีย :
- ญี่ปุ่น :
- ค.ศ. 1998 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1
- อิตาลี :
- ค.ศ. 1974 - เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นสูงสุด[32]
- โปแลนด์ :
พระบรมฉายาลักษณ์
แก้-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีทรงสายสะพายและเครื่องยศเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาร์ยาเมห์ร[33]
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยือนแบนแดร์แอบบอส
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีและชาร์ล เดอ โกล
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีและนักเรียนหญิงในจีรอฟท์
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีท่ามกลางเหล่าพยาบาลในเคร์มอนชอฮ์
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีและแฟรงก์ ซินาตราในเตหะราน ค.ศ. 1975
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีและพระเจ้าชาห์ โมฮัมเหม็ด เรซา ปาห์ลาวี กับเลโอนิด เบรจเนฟ
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีทรงพระดำเนินพร้อมกับซัลฟิการ์ อาลี บุตโต
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีและพระเจ้าชาห์ โมฮัมเหม็ด เรซา ปาห์ลาวี กับหัว โกว่เฟิง
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยี่ยมสถานเด็กกำพร้าในเคร์มอน
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยือนจังหวัดซีสถานและบาโลชิสถาน
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อนในเบห์คาเดห์ ราจี
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยือนมหาบัด
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีเสด็จเยือนราฮีจัน
-
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวีในฉลองพระองค์ชุดชาวลูร์ที่จังหวัดโลเรสถาน
อ้างอิง
แก้- ↑ "Shahbanou (Documentary)". Farah Pahlavi's Official YouTube Channel. 25 December 2016.
- ↑ Afkhami, Gholam Reza (12 January 2009). The Life and Times of the Shah. ISBN 9780520942165.
- ↑ "Shah's daughter laid to rest". BBC News. 2001-06-17. สืบค้นเมื่อ 2009-11-11.
- ↑ 4.0 4.1 ปาห์ลาวี, ฟาราห์. ความทรงจำของฟาราห์ ปาห์ลาวี. ISBN 1-4013-5961-2
- ↑ Shakibi, Zhand. Revolutions and the Collapse of Monarchy: Human Agency and the Making of Revolution in France, Russia, and Iran. I.B.Tauris, 2007. ISBN 1-84511-292-X; p. 90
- ↑ Taheri, Amir. The Unknown Life of the Shah. Hutchinson, 1991. ISBN 0-09-174860-7; p. 160
- ↑ Afkhami, Gholam Reza (2009). The life and times of the Shah (1 ed.). University of California Press. p. 44. ISBN 978-0-520-25328-5.
- ↑ Shakibi, Zhand. Revolutions and the Collapse of Monarchy: Human Agency and the Making of Revolution in France, Russia, and Iran. I.B.Tauris, 2007. ISBN 1-84511-292-X; p. 90
- ↑ Taheri, Amir. The Unknown Life of the Shah. Hutchinson, 1991. ISBN 0-09-174860-7; p. 160
- ↑ "Sports Enthusiast Farah Diba". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-15. สืบค้นเมื่อ 2013-06-19.
- ↑ Empress Farah's gown http://orderofsplendor.blogspot.com/2012/02/wedding-wednesday-empress-farahs-gown.html
- ↑ 12.0 12.1 Pahlavi, Farah. ‘An Enduring Love: My Life with The Shah. A Memoir’ 2004
- ↑ Queen of Iran Accepts Divorce As Sacrifice, The New York Times, 15 March 1958, p. 4.
- ↑ 14.0 14.1 "The World: Farah: The Working Empress". Time. 4 November 1974. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-03. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ http://www.mitpressjournals.org/doi/pdf/10.1162/leon.2007.40.1.20
- ↑ Norman, Geraldine (13 December 1992). "Mysterious gifts from the East". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 16 March 2012.
- ↑ 17.0 17.1 de Bellaigue, Christopher (7 October 2005). "Lifting the veil". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ Pahlavi, Farah. "An Enduring Love: My Life with The Shah. A Memoir" 2004
- ↑ 19.0 19.1 "Iran: We Will Put American Art Treasures on Display". ABC News. 7 March 2008. สืบค้นเมื่อ 11 June 2011.
- ↑ "1978: Iran's PM steps down amid riots". BBC News. 5 November 1978. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ Mohammad Reza Pahlavi, Answer to History, Stein & Day Pub, 1980
- ↑ Time Magazine: Shah’s Dilemma. http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,947015,00.html?promoid=googlep เก็บถาวร 2011-06-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Time Magazine: The Shah's Flight. http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,921924-2,00.html เก็บถาวร 2011-06-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Pahlavi, Farah. "An Enduring Love: My life with Shah. A Memoir" 2004
- ↑ "Enduring Friendship: Alain Delon and Shahbanou Farah Pahlavi at annual Alzheimer Gala in Paris". Payvand. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-26. สืบค้นเมื่อ 17 September 2012.
- ↑ "Announcement of Birth". Reza Pahlavi. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-30. สืบค้นเมื่อ 5 August 2011.
- ↑ Elaine Sciolino, The Last Empress, The New York Times, 2 May 2004.
- ↑ Reza Bayegan, "The Shah & She", National Review, 13 May 2004.
- ↑ Bangkok Film Festival 2009 เรียกข้อมูลวันที่ 18 ม.ค. 2553
- ↑ "Reply to a parliamentary question" (PDF) (ภาษาเยอรมัน). p. 193. สืบค้นเมื่อ 4 October 2012.
- ↑ "1lI. Otras disposicionel" (PDF). Boletín Oficial del Estado (ภาษาสเปน). 13 November 1969. สืบค้นเมื่อ 13 October 2012.
- ↑ "FARAH PAHLAVI S.M.I. decorato di Gran Cordone" (PDF) (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 13 October 2012.
- ↑ "Orders of Pahlavi dynasty". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-01-26. สืบค้นเมื่อ 2011-11-28.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Farah Pahlavi's official website
- Biography Portal Shahbanu Farah Pahlavi (Persian)
- Farah Pahlavi, Iran's Ex-Empress, Receives the Anne Morrow Lindbergh Grace and Distinction Award 2005 เก็บถาวร 2017-11-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Shahram Razavi's online photo album "Imperial Iran of the Pahlavi Dynasty" เก็บถาวร 2007-09-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- A web site dedicated to Reza Shah Kabir (the great) including video clip and photos เก็บถาวร 2007-04-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- เว็บไซต์ทางการของฟาราห์ ปาห์ลาวี
ก่อนหน้า | จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชินีโซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี | สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน (21 ธันวาคม ค.ศ. 1959-1967) |
เปลี่ยนตำแหน่ง | ||
ตั้งตำแหน่งใหม่ | สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน (ค.ศ. 1967 - 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979) |
ยกเลิกระบอบกษัตริย์ | ||
ยกเลิกระบอบกษัตริย์ | สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน (อ้างสิทธิในราชบัลลังก์) (11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979-27 กรกฎาคม ค.ศ. 1980) |
เจ้าหญิงยัสมิน ปาห์ลาวี มกุฎราชกุมารีแห่งอิหร่าน |