จิตรกรรมแผง
จิตรกรรมแผง (อังกฤษ: panel painting) คือการเขียนภาพบนแผ่นไม้ อาจจะเป็นแผ่นเดียวหรือหลายแผ่นเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งแตกต่างกับบานพับภาพที่จะแยกจากกัน (บานพับภาพ มักรวมเรียกเป็นส่วนหนึ่งของจิตรกรรมแผง) แผ่นไม้ใช้เป็นพื้นสำหรับวาดภาพจนกระทั่งถูกแทนที่ด้วยผ้าใบในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นอกเหนือไปจากการวาดบนผนัง หรือบนหนังสัตว์ ซี่งวัสดุชนิดหลังนี้นิยมใช้ในการวาดหนังสือวิจิตร หรือเขียนภาพสำหรับใส่กรอบ

ประวัติแก้ไข
จิตรกรรมแผงเป็นวิธีการเขียนภาพที่เก่าแก่ และทรงคุณค่าตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน แต่มีหลงเหลือมาถึงปัจจุบันน้อยมาก จิตรกรรมแผงชุดที่เก่าทื่สุดเป็นของกรีก มีอายุ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีชื่อว่า "จิตรกรรมแผงพิทซา" (Pitsa panels) พบที่พิทซา ในประเทศกรีซ จิตรกรรมแผงที่เก่าแก่อีกชุดของประเทศอียิปต์มีชื่อว่า "ภาพเพอร์เทรตมัมมี่ที่ฟายุม" (Fayum mummy portraits) เป็นภาพเหมือนบุคคลซึ่งแปะไว้กับศพในสภาพมัมมี่ มีอายุอยู่ในช่วงหนึ่งร้อยปีก่อนคริสต์ศักราชจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 พบราว 900 ภาพ และยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก ทำให้เราได้เห็นสไตล์การวาดภาพในยุคจักรวรรดิโรมัน นอกจากนี้ยังพบจิตรกรรมแผงเก่าแก่อึกภาพจากอียิปต์ชื่อว่า "เซเวอรัน ทอนโด" (Severan Tondo) (วาดในราวคริสต์ศักราช 200) เป็นภาพเขียนสไตล์กรีก-โรมัน (Greco-Roman) ที่ไม่ใช่ภาพที่เกี่ยวกับศพ
ไม้เป็นวัสดุที่นิยมใช้สำหรับทำรูปสัญลักษณ์ (icon) ของศิลปะไบแซนไทน์ และของออร์ทอดอกซ์ งานเก่าที่สุดที่พบคืองานที่สำนักสงฆ์เซนต์แคทเธอรินที่ภูเขาไซนาย (Saint Catherine's Monastery, Mount Sinai) มีอายุในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือ 6 เทคนิคที่นิยมใช้วาดคือ สีฝุ่นเท็มเพอรา (Tempera) หรือ สีจากขี้ผึ้งร้อน (Encaustic) แต่สีจากขี้ผึ้งร้อนก็หมดความนิยมในช่วงต้นยุคไบแซนไทน์
เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 จิตรกรรมแผงก็กลับมาเป็นที่นิยมกันอีกครั้งในยุโรปตะวันตก เพราะการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติพิธีในวัด ในคริสต์ศตวรรษนี้ พระและผู้เข้าร่วมพิธีมาทำพิธีร่วมกันด้านเดียวกัน หน้าแท่นบูชา (altar) แทนที่จะถูกกั้นแยกจากกันด้วยแท่นบูชาดังเช่นในยุคก่อนหน้า ทำให้เหลือที่ว่างหลังแท่นบูชา จึงเกิดความต้องการสิ่งของมาตกแต่งหลังแท่น รูปลักษณ์ของงานจิตรกรรมแผงของต้นยุคนี้ จึงมีทั้งภาพเขียนด้านหลัง (dossals), ภาพด้านหน้าแท่นบูชา และ "พระเยซูบนกางเขน" ทั้งหมดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาซึ่งมักจะเป็นภาพของพระเยซู, พระแม่มารี กับนักบุญที่วัดอุทิศชื่อให้หรืออยู่ในเขตเมืองหรือสังฆมณฑลนั้น หรือผู้อุทิศทรัพย์ให้วัด บางทีก็รวมถึงบุคคลในครอบครัวผู้อุทิศทรัพย์ซึ่งมักทำท่าคุกเข่าหันข้าง[1]
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 และ 14 การเขียนจิตรกรรมแผงเป็นที่นิยมกันมากในประเทศอิตาลีโดยเฉพาะงานฉากแท่นบูชา (altarpiece) และงานเกี่ยวกับศาสนาอื่น ๆ แต่สูญหายไปแทบทั้งหมด ที่พอหลงเหลือเช่นงานของ ดุชโช, ชิมาบูเย งานเขียนภาพสมัยเนเธอร์แลนด์ตอนต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ส่วนใหญ่จะเป็นจิตรกรรมแผงรวมทั้งงานจิตรกรรมภาพเหมือนสมัยแรก ๆ เช่นงานของยัน ฟัน ไอก์ และงานภาพเขียนที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา
เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ทวีปยุโรปมั่งคั่งขี้น และลัทธิมนุษย์วิทยาเป็นที่แพร่หลาย ทัศนคติเกี่ยวกับหน้าที่ของศิลปะและการอุปถัมภ์ศิลปะก็เปลี่ยนไป ทำให้เกิดความต้องการภาพที่นอกเหนือจากงานที่ทำเพื่อศาสนา ซี่งเป็นผลให้เกิดงานใหม่ ๆ ขึ้น เช่นการทำหีบ, เตียงนอน, ถาดรองทารก, และเครื่องเรือนอื่น ๆ บางครั้งก็ถึงแยกชิ้นส่วนเอาปีกบานพับภาพหนึ่งชุด มาใช้ทำฉากแท่นบูชาได้สองแผ่น ในปัจจุบันเราจึงพบภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนี่งของบานพับภาพ
ผ้าใบเข้ามาแทนที่แผ่นไม้ในอิตาลีราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 นำโดยอันเดรีย มานเทนยาและจิตรกรคนอื่น ๆ ของเวนิส ในประเทศเนเธอร์แลนด์ความเปลี่ยนแปลงเริ่มหลังจากอิตาลีราวร้อยปีต่อมา จิตรกรรมแผงยังเป็นที่นิยมกันโดยเฉพาะทางตอนเหนือของยุโรป แม้จะมีผ้าใบที่ราคาถูกกว่าและพกพาสะดวกกว่าเข้ามาทดแทน ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และจิตรกรคนอื่น ๆ ชอบการเขียนภาพบนแผ่นไม้มากกว่า เพราะทำให้การเขียนแม่นยำกว่าวัสดุที่ยืดหยุ่นเช่นผ้าใบ แม้แต่งานเขียนชิ้นใหญ่ ๆ ที่กว้างกว่าสี่เมตรก็ยังใช้แผ่นไม้ การสร้างแผ่นไม้สำหรับเขียนภาพของรูเบนส์ค่อนข้างจะซับซ้อน บางครั้งจะใช้ไม้ด้วยกันถึง 17 ชิ้น เช่นภาพ "The Château de Steen with Hunter"[2] ที่เขียนราว ค.ศ. 1635–1638 ซึ่งปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ, ลอนดอน, อังกฤษ แต่ถ้าวัสดุที่จะเขียนมีขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า "จิตรกรรมตู้" (Cabinet painting—ภาพเขียนขนาดย่อม) ก็จะมักใช้แผ่นทองแดงแทนไม้ เช่นจิตรกรอาดัม เอลสไฮเมอร์ จิตรกรเนเธอร์แลนด์หลายคนในสมัยยุคทองของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Golden Age) ใช้แผ่นไม้ในการเขียนงานชิ้นเล็ก ๆ รวมทั้ง แรมบรังด์ในบางครั้ง แต่เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 การเขียนบนแผงไม้ก็หายากนอกจากภาพเล็ก ๆ ที่ใช้ฝังเฟอร์นิเจอร์หรืองานไม้ประเภทเดียวกัน เช่น "ภาพเหมือนเฮอร์ซอก ฟอน เวลลิงตัน"[3] โดยฟรานซิสโก โกยา ที่เขียนราว ค.ศ. 1814 โดยใช้สีน้ำมันบนไม้มาฮอกกานี
การสร้างแผ่นไม้และการเตรียมแก้ไข
วิธีเตรียมแผ่นไม้สำหรับเขียนภาพบรรยายไว้ในหนังสือ "คู่มือช่าง" (Il libro dell' arte) โดยเซนนิโน เซนนินิ จิตรกรชาวอิตาลีที่พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1390 และจากเอกสารอื่น ๆ วิธีทำซึ่งใช้เวลานาน และมีขั้นตอนสลับซับซ้อน ยังคงวิธีการแบบดั้งเดิมแทบไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
- ช่างไม้จะทำแผ่นไม้ขนาดเท่าที่ต้องการ และมักจะเลื่อยตามขวางเนื้อไม้แทนที่จะตามยาว ซึ่งตรงกันข้ามกับการเลื่อยไม้เพื่อการใช้สอยทั่วไป ส่วนที่ตัดจะไม่รวมเปลือกนอก ในอิตาลีมักจะใช้ไม้พอพพลา, วิลโล หรือ ลินเด็น เมื่อได้ไม้มาแล้วก็ไสและขัดให้เรียบถ้าจำเป็น แล้วจึงนำมาต่อกันให้ได้ขนาดและรูปร่างตามต้องการ
- จากนั้นก็จะเคลือบผิวด้วยส่วนผสมของกาวจากหนังสัตว์กับยางสน หุ้มด้วยผ้าลินิน ขั้นตอนนี้อาจจะทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือสตูดิโอของจิตรกร
- เมื่อแห้งก็จะทาด้วย "เกสโซ" (gesso) ซึ่งเป็นผงแคลเซียมคาร์โบเนทผสมกาวที่ทำจากหนังสัตว์ ทาซ้ำหลายชั้น แต่ละชั้นก็ต้องขัดให้เรียบก่อนที่จะทาชั้นใหม่ได้ บางครั้งก็ทาถึง 15 ชั้นกว่าจะได้ผิวที่เรียบคล้ายงาช้างตามต้องการ ขั้นตอนนี้บางครั้งอาจจะไม่ทำกันหลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 หรืออาจจะใช้ผงฝุ่นสีดำแทน
การอนุรักษ์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แก้ไข
แผ่นไม้โดยเฉพาะถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีความชื้นต่ำเป็นเวลานานจะโก่งและแตก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็มีวิธีการอนุรักษ์ที่เป็นที่น่าเชื่อถือหลายวิธี และบางครั้งก็จะย้ายภาพไปไว้บนผ้าใบ หรือรองรับด้วยแผ่นวัสดุสมัยใหม่
แผ่นไม้ในปัจจุบันมีประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์ศิลปะมากกว่าวัสดุชนิดอื่น และราวสองสามทศศตวรรษที่ผ่านมาแผ่นไม้ก็สามารถบอกข้อมูลได้หลายอย่าง ทำให้เราพบว่าบางภาพมิใช่ของแท้ หรืออายุของภาพไม่ตรงกับช่วงปีสันนิษฐานกันมาก่อน นักวิชาการสามารถบอกได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นวาดที่ไหน โดยใช้การวัดอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ซึ่งผลที่ออกมาจะครอบคลุมช่วงระยะเวลาประมาณ บวกลบ 20 ปีจากอายุจริง หรือใช้การวัดอายุจากวงปีของต้นไม้ (dendrochronology) ภาพเขียนอิตาลีมักจะใช้ไม้ท้องถิ่น หรือบางทีก็ใช้ไม้จากบริเวณโครเอเชีย ส่วนใหญ่จะเป็นไม้พอพพลา แต่บางที่ก็ใช้เกาลัด, วอลนัท, โอ๊ค หรืออื่น ๆ เนเธอร์แลนด์ไม่ค่อยมีไม้ที่เหมาะสมในท้องถิ่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 งานเขียนสำคัญ ๆ สมัยเนเธอร์แลนด์ตอนต้นจะเป็นไม้โอ๊คบอลติค โดยเฉพาะจากประเทศโปแลนด์เหนือเมืองวอร์ซอ และนำล่องแม่น้ำข้ามทะเลบอลติคมายังเนเธอร์แลนด์[1] ทางด้านใต้ของประเทศเยอรมนีจิตรกรมักจะใช้ไม้สน และมาฮ็อกกานีนำเข้า
การวัดอายุจากวงปีของต้นไม้จะบอกได้ว่า ไม้ถูกโค่นเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องบวกเวลาการทิ้งไม้ไว้ให้แห้งได้ที่ ซึ่งก็เป็นเวลาหลายปี หรือแผ่นไม้อาจจะมาจากกลางลำต้นทำให้ขาดวงปีวงนอก ๆ ออกไป ฉะนั้นการวัดอายุวิธีนี้จึงเป็นเพียงการบอกได้แค่ "เวลาที่เก่าที่สุดเท่าที่จะบอกได้" (terminus post quem) เป็นการประมาณเวลา ซึ่งอาจจะแตกต่างจากเวลาจริงไปถึงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้น
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Cambell op. cit. p.29
ดูเพิ่มแก้ไข
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: จิตรกรรมแผง |
ตัวอย่างภาพที่เขียนบนแผ่นไม้จากยุคต่าง ๆแก้ไข
"พระแม่มารีและพระบุตร" โดยชิมาบูเย (xx) ราว ค.ศ. 1285–1286
"การประสูติของพระเยซู" โดยดุชโช ราว ค.ศ. 1308–1311
"พระแม่มารีและพระบุตร"กับนักบุญนิโคลัสและนักบุญแคทเธอรีนแห่งอเล็กซานเดรีย โดยเจ็นทิลี ดา ฟาเบรียโน (Gentile da Fabriano) ราว ค.ศ. 1395-1400
"การพบปะระหว่างนักบุญแอนโทนี แอ็บบ็อทและนักบุญพอลแห่งธีบส์" โดยสเตฟาโน ดี จิโอวานนี (Stefano di Giovanni) ราว ค.ศ. 1445
ความตะกละ รายละเอียดจากภาพ "บาปร้ายเจ็ดอย่างและสิ่งสุดท้ายสี่อย่าง" โดยเฮียโรนิมัส บอส ราว ค.ศ. 1450
"การประกาศของเทพ" โดยฟราแอนเจลิโค ราว ค.ศ. 1450
"การชื่นชมของแมไจ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 16
"วงดนตรีเทวดา" (ส่วนหนึ่งของภาพเขียนใหญ่) โดยแม็ทไทอัส กรึนวอลด์ Matthias Grünewald ราว ค.ศ. 1515
"ซัสกียากับดอกไม้" โดยแร็มบรันต์ ค.ศ. 1635