การบุกง่อก๊กของโจผี

ในยุคสามก๊กของประวัติศาสตร์จีน โจผีจักรพรรดิพระองค์แรกของรัฐวุยก๊กบุกรัฐอริง่อก๊กทั้งหมด 3 ครั้งตลอดรัชสมัยตั้งแต่ ค.ศ. 222 ถึง ค.ศ. 225 เหตุแห่งสงครามคือซุนกวนผู้นำรัฐง่อก๊กปฏิเสธที่จะส่งตัวซุนเต๋งบุตรชายไปเป็นตัวประกันที่ราชสำนักวุยก๊ก ซึ่งเวลานั้นง่อก๊กเป็นรัฐประเทศราชในนามภายใต้วุยก๊ก การบุกแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 222-224 ก่อนที่โจผีจะมีรับสั่งให้ทั้งหมดถอยทัพ การบุกช่วงที่สองและช่วงสุดท้ายเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 225

การบุกง่อก๊กของโจผี
ส่วนหนึ่งของ สงครามในยุคสามก๊ก

แผนที่แสดงการบุก (ไม่ได้วาดตามสัดส่วนจริง)
วันที่กันยายน ค.ศ. 222-225
สถานที่
ผล เอาชนะกันไม่ได้ โจผีล้มเหลวในการยึดครองดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีและล่าถอย
คู่สงคราม
วุยก๊ก ง่อก๊ก
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ

โจผี
โจหยิน

โจจิ๋น

โจฮิว

ซุนกวน
ลิห้อม

เฮ่อ ฉี

จูเหียน
จูหวน
พัวเจี้ยง
กำลัง
100,000+[1] 50,000+

ภูมิหลัง แก้

ภายหลังจากเล่าปี่จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กพ่ายแพ้ต่อทัพซุนกวนในยุทธการที่อิเหลง ซุนกวนได้รับประโยชน์จากการยอมอยู่ภายใต้โจผีผู้จะช่วยเหลือในรบต้านเล่าปี่[2] อย่างไรก็ตามทั้งฝ่ายซุนกวนและโจผีต่างไม่ไว้ใจกันและกัน โดยเฉพาะด้านฝ่ายของซุนกวน[2] ซึ่งเอาชนะโจโฉในยุทธการที่เซ็กเพ็กเมื่อ 14 ปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นซุนกวนและเหล่าขุนนางต่างไม่สบายใจเกี่ยวกับตำแหน่งและยศของซุนกวน (อย่างตำแหน่งเงาอ๋องแห่งอ๋องแห่งแห่งง่อก๊ก) เพราะถูกพวกตนถูกมองว่าเป็นรัฐประเทศราชของวุยก๊ก[2] ภายในกองกำลังของซุนกวนถือว่าการเป็นพันธมิตรกับวุยก๊กไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะชัยชนะต่อเล่าปี่ในยุทธการที่อิเหลงนั้นเป็นจุดพลิกผันสำคัญซึ่งบ่งบอกว่าการเป็นพันธมิตรกับวุยก๊กไม่จำเป็นอีกต่อไป ซุนกวนก็มีท่าทีว่ากำลังวางแผนจะไม่คงความเป็นพันธมิตรนานเกินความจำเป็น[2]

ในที่สุดแผนการของโจผีที่ต้องการให้ซุนกวนและจ๊กก๊กขุ่นเคืองกันต่อไปก็ให้ผลตรงกันข้าม เมื่อซุนกวนและเล่าปี่คืนความเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง โจผีพยายามจะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับตระกูลซุนจึงเรียกร้องให้ซุนกวนส่งตัวซุนเต๋ง (บุตรชายคนโตของซุนกวน) มายังลกเอี๋ยงนครหลวงของวุยก๊ก แต่ซุนกวนปฏิเสธคำขอและขอขมาต่อโจผีอ้างว่าบุตรชายยังเยาว์นักและมีสุขภาพอ่อนแอเกินกว่าจะอยู่ห่างบ้านและครอบครัว[3] โจผีก็ไม่ได้กดดันหรือยกเรื่องนี้มากล่าวถึงอีก แต่ต่อมาอีกไม่นานโจผีเรียกร้องให้ส่งซุนเต๋งมาเป็นตัวประกันอีกครั้ง ซุนกวนยังคงปฏิเสธเช่นเดิม

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองดำเนินไปในทางขุ่นเคืองกัน กระทั่งในที่สุดโจผีจึงเปิดฉากโจมตีซุนกวน ซุนกวนส่งทูตไปเจรจาสงบศึกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นไม่นานซุนกวนก็ประกาศตนเป็นอิสระในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 222[3]

การบุกครั้งที่ 1, 2 และ 3 (ค.ศ. 222–223) แก้

ต๋งเค้า แก้

ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 222 โจฮิวขุนพลวุยก๊กนำทัพเรือล่องไปตามลำน้ำสาขาจือเจียงออกที่แม่น้ำแยงซีไปยังฐานที่มั่นของง่อก๊กที่อำเภอต๋งเค้า (洞口 ต้งโขฺ่ว) ภายใต้การบัญชาการของลิห้อมขุนพลง่อก๊ก การรบในช่วงต้นของวุยก๊กประสบความสำเร็จในการรบกับแม่ทัพของง่อก๊ก แต่กำลังเสริมของง่อก๊กที่นำโดยซุนเสียวและชีเซ่งก็สามารถหยุดยั้งการโจมตีด้วทัพเรือได้ ยุทธการสิ้นสุดในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 223

กังเหลง แก้

ไกลออกไปทางตะวันตกของแม่น้ำแยงซี ขุนพลวุยก๊กโจจิ๋น, เตียวคับ และแฮหัวซงโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญของง่อก๊กสองแห่งในมณฑลเกงจิ๋วจากซงหยง เตียวคับนำการโจมตีด่านหน้าของเมืองลำกุ๋นได้สำเร็จและเอาชนะซุน เชิ่ง (孫盛) ได้ โจจิ๋นและแฮหัวซงเปิดฉากล้อมกังเหลง อำเภอเอกของมณฑลเกงจิ๋ว แม้ว่ากองกำลังของง่อก๊กภายใต้การนำของจูเหียนจะไม่แข็งแกร่งนักแต่ก็สามารถตั้งรับจนกระทั่งสลายการปิดล้อมได้เมื่อกองกำลังเสริมของง่อก๊กนำโดยพัวเจี้ยงและจูกัดกิ๋นยกมาถึง ในที่สุดค่ายของวุยก๊กเกิดโรคระบาดทำให้ต้องล่าถอยและอยู่ในภาวะคุมเชิงอีกทาง

ยี่สู แก้

การบุกครั้งที่สามไม่ได้เพื่อมุ่งตรงไปยังภูมิภาคหนานจิงหรือมณฑลเกงจิ๋ว แต่เพื่อเข้าใกล้ซุนกวนผู้เป็นเงาอ๋อง ก่อนหน้านี้กำเหลงขุนพลที่ล่วงลับไปแล้วของซุนกวนช่วยยึดด่านของวุยก๊กในมณฑลยังจิ๋วที่อำเภอยี่สูบริเวณปากน้ำยี่สูที่เข้าสู่แม่น้ำแยงซี ในการบุกครั้งนี้โจหยินจึงเข้าโจมตียี่สู แต่การโจมตีจบลงด้วยการล่าถอยเมื่อโจหยินรู้ว่าอีกสองทัพที่โจมตีต๋งเค้าและกังเหลงได้ล่าถอยไปแล้ว

การก่อกบฏของจิ้น จง แก้

ในฤดูร้อน ค.ศ. 223 จิ้น จง (晋宗) ขุนพลง่อก๊กแปรพักตร์ไปเข้าด้วยวุยก๊กและย้ายขึ้นไปยังด่านแห่งใหม่ของวุยก๊กที่ฉีชุนทางฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซี เฮ่อ ฉีขุนพลง่อก๊กนำกำลังโจมตีจิ้น จง เฮ่อ ฉีตัดสินใจล่าถอยเพราะสภาพอากาศร้อนจัด แต่ก็สามารถจับตัวจิ้น จงได้ในภายหลัง

การบุกครั้งที่ 4:อุบัติการณ์ที่กองเหลง แก้

การบุกครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 225 แม้ว่าจะไม่มีการรบอย่างเป็นกิจจะลักษณะ โจผีนำกำลังพลมากกว่า 100,000 นาย[4] และเรือรบจำนวนมากไปยังกองเหลง ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีฝั่งตรงข้ามกับเกียนเงียบ (ปัจจุบันคือนครหนานจิง มณฑลเจียงซู) แต่ง่อก๊กได้ปิดกั้นแม่น้ำ และเวลาเป็นฤดูหนาวอากาศเย็นจัดจนทำให้แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง โจผีจึงมีโอกาสชนะต่ำหากเข้ารบกับซุนกวน โจผีทอดพระเนตรไปยังแนวป้องกันของง่อก๊กตรงหน้าที่เห็นว่าไม่อาจโจมตีได้ จึงถอนพระทัยและมีรับสั่งให้ถอนทัพกลับ

อ้างอิง แก้

  1. de Crespigny 2004, p. 15:"His headquarters were established in the former capital of the commandery, and it was claimed that the army under his command was more than a hundred thousand."
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 de Crespigny 2004, p. 10:"With the full defeat of Liu Bei in the late summer and early autumn of 222, Sun Quan had obtained all possible benefit from his formal submission to Cao Pi and the empire of Wei, and he wasted very little time in breaking that connection. It had never been popular with his officers. ... and even at the time of his enfeoffment as King of Wu there had been those who argued against accepting such a rank from the usurping Emperor, and who suggested that Sun Quan should take some independent title as Lord of Nine Provinces, claiming hegemony in support of Han. This was, as we have discussed, quite inappropriate and impractical in the circumstances, and the submission to Cao Pi was an essential preparation for dealing with Liu Bei. On the other hand, the alliance with the north was always a matter of expediency, and there seems no probability that Sun Quan intended it to last any longer than it needed."
  3. 3.0 3.1 de Crespigny 2004, p. 11: "Sun Quan sent up a letter of apology, saying that his son was too young and delicate in health to be sent away from home, and for the time being Cao Pi did not press the matter. ... At this ultimatum, surely by no means unexpected, in the tenth month, being early November of 222, Sun Quan declared his independence of Wei."
  4. De Crespigny, Rafe. "Online Publications" (PDF). Asian Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2012. His headquarters were established in the former capital of the commandery, and it was claimed that the army under his command was more than a hundred thousand.

บรรณานุกรม แก้