พิงก์ฟลอยด์
พิงก์ฟลอยด์ (อังกฤษ: Pink Floyd) เป็นวงดนตรีร็อกที่ก่อตั้งขึ้นในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ. 1965 พวกเขาสร้างชื่อเสียงขึ้นในช่วงแรกในฐานะหนึ่งในวงดนตรีไซคีเดลลิกกลุ่มแรกของสหราชอาณาจักร โดดเด่นทั้งการแต่งเนื้อเพลงที่อิงเรื่องปรัชญาและแนวความคิดในสังคม การแต่งเพลงที่บรรเลงยาวกว่าเพลงทั่วไป และเทคนิคเอ็ฟเฟกต์เสียงที่สอดแทรกในดนตรี รวมไปถึงการแสดงสดที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีแนวโพรเกรสซิฟร็อกที่มีทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จด้านยอดจำหน่ายมากที่สุดตลอดกาลวงหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรียอดนิยม[1]
พิงก์ฟลอยด์ | |
---|---|
![]() พิงก์ฟลอยด์ใน ค.ศ. 1968 ตามเข็มนาฬิกาจากด้านล่าง: เดวิด กิลมอร์, นิก เมสัน, ซิด บาร์เรตต์, โรเจอร์ วอเทอส์ และริชาร์ด ไรต์ | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ที่เกิด | ลอนดอน ประเทศอังกฤษ |
แนวเพลง | |
ช่วงปี |
|
ค่ายเพลง | |
กลุ่มย่อย | นิก เมสันส์ซอเซอร์ฟูลออฟซีเครตส์ |
สมาชิก | |
อดีตสมาชิก | |
เว็บไซต์ | pinkfloyd |
พิงก์ฟลอยด์ได้กำเนิดขึ้นเมื่อนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรม 3 คน จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์[2] ได้แก่ โรเจอร์ วอเทอส์ (เบส, ร้องนำ), นิก เมสัน (กลอง) และริชาร์ด ไรต์ (คีย์บอร์ด, ร้อง) โดยได้รวมวงกันชั่วคราว ต่อมาได้ซิด บาร์เรตต์ (กีตาร์, ร้องนำ) เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกอีกคน จึงได้ตั้งวงพิงก์ฟลอยด์ขึ้นใน ค.ศ. 1965 พวกเขาไต่ชื่อเสียงขึ้นจากการเป็นวงดนตรีใต้ดินในลอนดอน ภายใต้การเป็นหัวหน้าวงของบาร์เรตต์ ทำให้อัลบั้มเปิดตัว เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น ใน ค.ศ. 1967 ประสบผลสำเร็จด้วยการขึ้นชาร์ตอันดับ 6 ของอังกฤษ พร้อมกับซิงเกิลที่ได้ขึ้นชาร์ตถึง 2 ซิงเกิล เดวิด กิลมอร์ (กีตาร์, ร้องนำ) ได้เข้ามาร่วมวงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1967 และบาร์เรตต์ ก็ได้ออกจากวงไปในเดือนเมษายน ค.ศ. 1968 จากปัญหาทางสุขภาพจิตที่ทรุดลง วอเทอส์ได้กลายเป็นหัวหน้าวงโดยเป็นผู้แต่งเพลงหลัก ทั้งคิดแนวคิดเบื้องหลังอัลบั้มต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน (ค.ศ. 1973), วิชยูเวอร์เฮียร์ (ค.ศ. 1975), แอนิมัลส์ (ค.ศ. 1977), เดอะวอลล์ (ค.ศ. 1979) และ เดอะไฟนอลคัต (ค.ศ. 1983) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนที่ได้ติดอันดับชาร์ตของบิลบอร์ด 200 ต่อเนื่องยาวนานถึง 741 สัปดาห์ หรือเกือบ 14 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1973–1988[3][4] ทำให้อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอันดับ 2 ตลอดกาลอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากอัลบั้มเดอะวอลล์ ซึ่งใช้ชื่อว่า พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์ (ค.ศ. 1982) ซึ่งได้รับรางวัลแบฟตาสองรางวัล และพิงก์ฟลอยด์ยังเคยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง
ต่อมาวงได้เกิดปัญหาตึงเครียดจนทำให้ไรต์ออกจากวงใน ค.ศ. 1981 และตามมาด้วยวอเทอส์ใน ค.ศ. 1985 วงยังคงดำเนินต่อไปโดยมีเพียงกิลมอร์และเมสัน โดยต่อมาไรต์กลับมาร่วมงานด้วยเป็นครั้ง ๆ พวกเขาได้ออกอัลบั้มเพิ่มเติมอีก 2 อัลบั้ม คือ อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซัน (ค.ศ. 1987) และ เดอะดิวิชันเบลล์ (ค.ศ. 1994) พร้อมกับทัวร์ครั้งใหญ่ทั้งสองรอบ จนในปี ค.ศ. 2005 วอเทอส์ได้กลับมาร่วมแสดงกับกิลมอร์ เมสัน และไรต์อีกครั้งในคอนเสิร์ตไลฟ์เอท ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรณรงค์ปัญหาสังคมระดับโลก โดยเขากลับมาร่วมแสดงเพียงงานเดียว และก็ไม่ได้คิดที่จะร่วมวงอีกต่อไป จนบาร์เรตต์ได้เสียชีวิตใน ค.ศ. 2006 และไรต์เสียชีวิตใน ค.ศ. 2008 พิงก์ฟลอยด์ได้ออกสตูดิโออัลบั้มอีกครั้งในชื่อ ดิเอนด์เลสริเวอร์ (ค.ศ. 2014) โดยไม่มีวอเทอส์ร่วมบันทึกเสียง อัลบั้มนี้ใช้วัสดุดนตรีที่ยังไม่ได้เผยแพร่จากช่วงบันทึกเสียงเดอะดิวิชันเบลล์ ใน ค.ศ. 1993–1994 เป็นแกนหลัก และใน ค.ศ. 2022 กิลมอร์และเมสันได้กลับมาใช้ชื่อพิงก์ฟลอยด์อีกครั้งเพื่อออกซิงเกิล "เฮย์, เฮย์, ไรส์อัป!" เพื่อประณามการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย
ภายใน ค.ศ. 2013 พิงก์ฟลอยด์มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 250 ล้านชุด[5] ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล อัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน และเดอะวอลล์ ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศแกรมมี[6] และเป็นหนึ่งในอัลบั้มยอดขายสูงสุดตลอดกาล อัลบั้มของพิงก์ฟลอยด์ติดอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในสหรัฐ 4 ชุด และชาร์ตอัลบั้มแห่งสหราชอาณาจักร 5 ชุด แม้จะเน้นสร้างอัลบั้มมากกว่าซิงเกิล แต่ก็มีซิงเกิลที่ติดชาร์ตหลายเพลง เช่น "อาร์โนล์ด เลย์น", "ซีเอมิลีเพลย์" (ทั้งสองเพลงออกใน ค.ศ. 1967), "มันนี" (ค.ศ. 1973), "อะนาเทอร์บริกอินเดอะวอลล์ (พาร์ต 2)" (ค.ศ. 1979), "นอตนาวจอห์น" (1983), "ออนเดอะเทิร์นนิงอะเวย์" (ค.ศ. 1987) และ "ไฮโฮปส์" (ค.ศ. 1994) พิงก์ฟลอยด์ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลของสหรัฐใน ค.ศ. 1996 และหอเกียรติยศดนตรีของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 2005[7] ใน ค.ศ. 2008 พวกเขาได้รับรางวัลโพลาร์มิวสิกไพรซ์จาก "ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่เชื่อมโยงศิลปะและดนตรีเข้าด้วยกันในวัฒนธรรมสมัยนิยมตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา"
ประวัติ
แก้สมาชิกผู้ก่อตั้งวงพิงก์ฟลอยด์ ได้แก่ โรเจอร์ วอเทอส์, นิก เมสัน และริชาร์ด ไรต์ ซึ่งเข้าเรียนสาขาสถาปัตยกรรมที่ลอนดอนโพลีเทคนิค (London Polytechnic) แห่งถนนรีเจนต์ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1962[8] ต่อมาซิด บาร์เรตต์ ซึ่งอายุน้อยกว่าสมาชิกคนอื่นราวสองปี ก็ย้ายมาอยู่ลอนดอนใน ค.ศ. 1964 เพื่อเรียนที่วิทยาลัยศิลปะแคมเบอร์เวลล์[9] วอเทอส์และบาร์เรตต์รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก วอเทอส์มักแวะไปบ้านของบาร์เรตต์ และเคยนั่งดูบาร์เรตต์เล่นกีตาร์ที่บ้านแม่ของบาร์เรตต์อยู่บ่อยครั้ง[10] เมสันเคยกล่าวถึงบาร์เรตต์ว่า "ในยุคที่ใคร ๆ ก็ดูเท่แบบวัยรุ่นขี้อาย ซิดกลับกล้าพูดกล้าทำแบบไม่ตามใคร ความทรงจำแรกสุดของผมเกี่ยวกับเขาคือการที่เขาเดินเข้ามาแนะนำตัวกับผมก่อน"[11]
ค.ศ. 1963–1965: การก่อตั้งวง
แก้ก่อนจะรวมวง
แก้วอเทอส์และเมสันพบกันขณะเรียนสถาปัตยกรรมที่ลอนดอนโพลีเทคนิคแห่งถนนรีเจนต์[8] ทั้งสองเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันในวงที่ตั้งขึ้นโดยเพื่อนนักศึกษา คีท โนเบิล (Keith Noble) และ ไคลฟ์ เม็ตคาล์ฟ (Clive Metcalfe)[12] โดยมีน้องสาวของโนเบิลชื่อ ชีลา (Sheilagh) ร่วมวงด้วย ต่อมาในปีเดียวกัน นักศึกษาสถาปัตย์อีกคนหนึ่งคือ ริชาร์ด ไรต์[nb 1] ก็เข้าร่วม ทำให้วงกลายเป็นกลุ่มหกคน ใช้ชื่อว่า "ซิกมาซิกซ์" (Sigma 6) วอเทอส์เล่นกีตาร์นำ เมสันเล่นกลอง ส่วนไรต์เริ่มจากเล่นกีตาร์ริทึม ก่อนจะย้ายมาเล่นคีย์บอร์ดในเวลาต่อมา[14] วงนี้แสดงในงานส่วนตัวต่าง ๆ และใช้ห้องน้ำชาใต้ตึกรีเจนต์สตรีตโพลีเทคนิคเป็นที่ซ้อม พวกเขาเล่นเพลงของวงเดอะเซิร์ชเชอส์ รวมถึงเพลงที่แต่งโดย เคน แชปแมน (Ken Chapman) เพื่อนนักศึกษาซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้จัดการวงและนักแต่งเพลง[15]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1963 วอเทอส์และเมสันย้ายไปอยู่แฟลตบ้านเลขที่ 39 บนถนนสแตนโฮปการ์เดนส์ (Stanhope Gardens) ย่านไฮเกตในลอนดอน ซึ่งเป็นบ้านของไมก์ เลนาร์ด[16] อาจารย์พิเศษที่วิทยาลัยศิลปะฮอร์นซีย์ และรีเจนต์สตรีตโพลีเทคนิค[17][nb 2] เมสันย้ายออกหลังจบปีการศึกษา 1964 และบ็อบ โคลส มือกีตาร์ก็ย้ายเข้ามาแทนในเดือนกันยายน ค.ศ. 1964 ส่งผลให้วอเทอส์เปลี่ยนไปเล่นเบสแทน[18][nb 3] วงซิกมาซิกซ์เปลี่ยนชื่ออยู่หลายครั้ง เช่น the Meggadeaths, the Abdabs and the Screaming Abdabs, Leonard's Lodgers และ the Spectrum Five ก่อนจะมาลงตัวที่ชื่อ "เดอะทีเซ็ต" (the Tea Set)[19][nb 4] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1963 ขณะที่เม็ตคาล์ฟและโนเบิลแยกตัวไปตั้งวงใหม่[23] มือกีตาร์ ซิด บาร์เรตต์ ก็เข้าร่วมกับโคลสและวอเทอส์ที่สแตนโฮปการ์เดนส์[24]
โคลสเป็นคนแนะนำวงให้รู้จักกับนักร้อง คริส เดนนิส (Chris Dennis) ซึ่งทำงานเป็นช่างเทคนิคของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (RAF)[25] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1964 วงได้โอกาสบันทึกเสียงครั้งแรกที่สตูดิโอแห่งหนึ่งในเวสต์แฮมป์สเตด ผ่านเพื่อนของไรต์คนหนึ่งที่ให้ใช้เวลาว่างของสตูดิโอฟรี ไรต์ไม่ได้เข้าร่วมในครั้งนี้ เนื่องจากกำลังหยุดเรียนอยู่[26][nb 5] เมื่อเดนนิสถูกกองทัพส่งไปประจำการที่บาห์เรนช่วงต้นปี ค.ศ. 1965 บาร์เรตต์จึงกลายเป็นนักร้องนำของวง[27][nb 6] ในปลายปีเดียวกัน วงได้แสดงประจำที่เคานต์ดาวน์คลับ (Countdown Club) ใกล้กับเคนซิงตันไฮสตรีตในลอนดอน โดยพวกเขาต้องเล่นสามเซต เซตละ 90 นาที ตั้งแต่กลางคืนยันเช้า ในช่วงนี้เอง ด้วยความจำเป็นต้องยืดการแสดงให้นานขึ้นเพื่อไม่ให้เล่นเพลงซ้ำกัน วงก็เริ่มค้นพบว่า "เพลงสามารถขยายให้ยาวขึ้นด้วยโซโล่ที่ยืดยาว" ดังที่เมสันเล่าไว้[28] ต่อมาในช่วงกลางปี ค.ศ. 1965 โคลสลาออกจากวงตามคำแนะนำของอาจารย์และคำทัดทานจากพ่อแม่ ทำให้บาร์เรตต์กลายเป็นมือกีตาร์นำเต็มตัว[29]
ค.ศ. 1965–1967: ยุคของซิด บาร์เรตต์
แก้พิงก์ฟลอยด์
แก้วงดนตรีใหม่นี้ใช้ชื่อว่า "พิงก์ฟลอยด์ซาวด์" (Pink Floyd Sound) ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1965[30][31][32][33] โดยว่ากันว่าบาร์เรตต์เป็นผู้คิดชื่อนี้ขึ้นมาแบบฉับพลัน หลังจากพบว่ามีวงอื่นที่ใช้ชื่อทีเซ็ต (Tea Set) เช่นเดียวกันกำลังจะขึ้นแสดงในงานเดียวกัน[34] ชื่อพิงก์ฟลอยด์มาจากชื่อนักดนตรีบลูส์แนวพีดมอนต์บลูส์สองคน คือ พิงก์ แอนเดอร์สัน และฟลอยด์ เคาน์ซิล ซึ่งแผ่นเสียงของทั้งสองเคยอยู่ในคอลเลกชันของบาร์เรตต์[35] ภายใน ค.ศ. 1966 วงเล่นเพลงแนวริทึมแอนด์บลูส์เป็นหลัก และเริ่มได้รับงานแสดงแบบมีค่าตอบแทน รวมถึงการแสดงที่มาร์คีคลับในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปีเตอร์ เจนเนอร์ อาจารย์แห่งวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน ได้มาชมการแสดง เจนเนอร์ประทับใจกับลูกเล่นทางเสียงที่บาร์เรตต์และไรต์ได้สร้างขึ้น จึงร่วมกับ แอนดรูว์ คิง ซึ่งเป็นทั้งหุ้นส่วนและเพื่อนของเขา เข้ามาเป็นผู้จัดการวง[36] แม้ทั้งคู่จะไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมดนตรีมาก่อน แต่พวกเขาได้นำมรดกของคิงมาจัดตั้งบริษัทแบล็กฮิลล์เอ็นเตอร์ไพรส์ พร้อมทั้งซื้อเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ใหม่มูลค่าประมาณ 1,000 ปอนด์ (เท่ากับ £19,800 ในปี 2023[37]) ให้กับวง[nb 7] ในช่วงนี้เอง เจนเนอร์ได้แนะนำให้ตัดคำว่า "ซาวด์" (Sound) ออกจากชื่อวง[39]
ภายใต้การดูแลของเจนเนอร์และคิง วงพิงก์ฟลอยด์ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวงการดนตรีใต้ดินในลอนดอน โดยได้ขึ้นแสดงในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ออลเซนตส์ฮอลล์ (All Saints Hall) และมาร์คี (Marquee)[40] ระหว่างการแสดงที่เคานต์ดาวน์คลับ พวกเขาได้ทดลองเล่นดนตรีบรรเลงล้วนแบบยืดยาว และเริ่มเพิ่มการแสดงแสงไฟแบบง่าย ๆ ด้วยการฉายสไลด์สีและใช้ไฟในบ้านธรรมดา ๆ[41] ความสัมพันธ์ทางสังคมของเจนเนอร์และคิงยังช่วยให้วงได้รับการกล่าวถึงในสื่อชั้นนำ เช่น ไฟแนนเชียลไทมส์ และบทความใน เดอะซันเดย์ไทมส์ ที่เขียนว่า "ในงานเปิดตัวนิตยสารอินเตอร์เนชันแนลไทมส์เมื่อค่ำคืนก่อน มีวงป็อปวงหนึ่งชื่อ พิงก์ฟลอยด์ ขึ้นแสดงเพลงจังหวะหนักแน่น พร้อมฉายภาพสีประหลาด ๆ สลับกันไปมาบนจอขนาดยักษ์เบื้องหลัง ... ชวนให้นึกถึงแนวไซเคเดลิกอย่างมาก"[42]
ใน ค.ศ. 1966 วงได้เสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับแบล็กฮิลล์เอ็นเตอร์ไพรส์ โดยจัดตั้งสถานะเป็นหุ้นส่วนอย่างเท่าเทียมกันกับเจนเนอร์และคิง สมาชิกวงแต่ละคนถือหุ้นหนึ่งในหกของบริษัท[39] พอถึงช่วงปลายปี ชุดเพลงของพวกเขาก็มีเพลงอาร์แอนด์บีลดลง และแทนที่ด้วยเพลงต้นฉบับของบาร์เรตต์หลายเพลง ซึ่งต่อมาจะรวมอยู่ในอัลบั้มแรกของวง[43] แม้พวกเขาจะเพิ่มความถี่ในการแสดงอย่างมาก แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ในการแสดงที่ชมรมเยาวชนคาทอลิกแห่งหนึ่ง เจ้าของสถานที่ถึงขั้นปฏิเสธไม่จ่ายค่าตัว โดยอ้างว่าการแสดงของพวกเขา "ไม่ใช่ดนตรี"[44] เมื่อผู้จัดการของวงยื่นฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องสินไหมทดแทนในวงเงินเล็กน้อยจากเจ้าของชมรม ผู้พิพากษาในพื้นที่ได้ยืนตามคำตัดสินเจ้าของชมรม อย่างไรก็ตาม วงกลับได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมที่ยูเอฟโอคลับในลอนดอน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฐานแฟนคลับของพวกเขา[45] บาร์เรตต์แสดงอย่างเปี่ยมพลัง "โลดเต้นไปมา ... บ้าคลั่ง ... ด้นสด ... [สร้างแรงบันดาลใจให้]ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองไปยังพื้นที่ใหม่ที่ ... น่าสนใจมาก ซึ่งไม่มีใครในวงทำได้" ดังที่นิโคลัส ชาฟฟ์เนอร์ นักเขียนชีวประวัติเคยกล่าวไว้[46]
การเซ็นสัญญากับอีเอ็มไอ
แก้ใน ค.ศ. 1967 วงพิงก์ฟลอยด์เริ่มได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมดนตรี[47][nb 8] ขณะที่อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทค่ายเพลง โจ บอยด์ ผู้ร่วมก่อตั้งนิตยสารอินเตอร์เนชันแนลไทมส์ (IT) และผู้จัดการยูเอฟโอคลับ ร่วมกับไบรอัน มอร์ริสัน นายหน้ารับจ้างหางานแสดงให้วง ได้จัดหาเงินทุนและวางแผนให้มีการบันทึกเสียงที่ซาวด์เทคนิคส์ในเคนซิงตัน[49] เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 พิงก์ฟลอยด์เซ็นสัญญากับบริษัทอีเอ็มไอ (EMI) โดยได้รับเงินล่วงหน้า 5,000 ปอนด์ (เท่ากับ £96,500 ในปี 2023[37]) อีเอ็มไอวางจำหน่ายซิงเกิลแรกของวงชื่อ "อาร์โนลด์ เลย์น" พร้อมเพลงหน้าบี "แคนดีแอนด์อะเคอร์แรนต์บัน" เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1967 ภายใต้ค่ายโคลัมเบีย[50][nb 9] ทั้งสองเพลงนี้อัดเสียงเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1967[51][nb 10] เนื้อหาใน "อาร์โนลด์ เลย์น" ที่กล่าวถึงพฤติกรรมแต่งกายข้ามเพศทำให้หลายสถานีวิทยุไม่ยอมเปิดเพลงนี้ อย่างไรก็ดี ด้วยกลยุทธ์การรายงานยอดขายอย่างสร้างสรรค์จากผู้ค้าปลีก เพลงนี้จึงไต่ขึ้นถึงอันดับ 20 บนชาร์ตของสหราชอาณาจักรได้[53]
อีเอ็มไอ-โคลัมเบียวางจำหน่ายซิงเกิลที่สองของวง "ซีเอมิลีเพลย์" เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967 ซึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า "อาร์โนลด์ เลย์น" โดยขึ้นถึงอันดับ 6 ในชาร์ตของสหราชอาณาจักร[54] วงได้แสดงในรายการลุกออฟเดอะวีก (Look of the Week) ของบีบีซี ซึ่งวอเทอส์และบาร์เรตต์ได้ตอบคำถามอย่างฉะฉานจากผู้ดำเนินรายการฮันส์ เคลเลอร์[55] วงยังได้ปรากฏตัวในรายการท็อปออฟเดอะป็อปส์ ของบีบีซี ซึ่งมีข้อกำหนดให้นักดนตรีต้องลิปซิงก์และแสดงท่าทางแทนการเล่นจริง[56] แม้พิงก์ฟลอยด์จะได้กลับมาออกในรายการอีกสองครั้ง แต่เมื่อถึงครั้งที่สาม บาร์เรตต์ก็เริ่มแสดงพฤติกรรมผิดปกติ และในช่วงเวลานี้เองที่สมาชิกวงเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในตัวเขา[57] ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1967 บาร์เรตต์เริ่มใช้สารแอลเอสดีเป็นประจำ เมสันบรรยายว่าเขาเหมือน "หลุดออกจากโลกที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวโดยสิ้นเชิง"[58]
เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น
แก้มอร์ริสันและโปรดิวเซอร์ของอีเอ็มไอ นอร์แมน สมิท เป็นผู้เจรจาสัญญาแผ่นเสียงฉบับแรกให้กับพิงก์ฟลอยด์ ซึ่งรวมถึงข้อตกลงให้วงอัดอัลบั้มแรกที่อีเอ็มไอสตูดิโอส์ในลอนดอน[59][nb 11] เมสันเล่าว่าการอัดเสียงเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่สมิทกลับไม่เห็นด้วย โดยกล่าวว่าบาร์เรตต์ไม่ตอบสนองต่อคำแนะนำและคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์[61] อีเอ็มไอ-โคลัมเบียวางจำหน่ายอัลบั้ม เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1967 อัลบั้มขึ้นถึงอันดับหกและอยู่ในชาร์ตของสหราชอาณาจักรนาน 14 สัปดาห์[62] หนึ่งเดือนต่อมา อัลบั้มนี้ถูกวางจำหน่ายอีกครั้งในสหรัฐอเมริกาภายใต้ค่ายทาวเวอร์เรเคิดส์[63] พิงก์ฟลอยด์ยังคงดึงดูดผู้ชมจำนวนมากที่ยูเอฟโอคลับ แต่ในขณะนั้น อาการทางจิตของบาร์เรตต์เริ่มเป็นที่กังวลอย่างจริงจัง วงยังคาดหวังว่าอาการผิดปกติของเขาจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็มีบางคนที่ไม่แน่ใจนัก รวมถึงเจนเนอร์และผู้ช่วยของเขา จูน ไชลด์ (June Child) ที่เล่าว่า "ฉันเจอ[บาร์เรตต์]อยู่ในห้องแต่งตัว เขาดู ... เมามาก โรเจอร์ วอเทอส์กับฉันต้องพยุงเขาขึ้นมาแล้วพาไปยังเวที ... วงเริ่มเล่น แต่ซิดยืนเฉย เขามีกีตาร์คล้องคออยู่ แต่แขนทั้งสองข้างห้อยลงไม่ขยับเลย"[64]
วงจำเป็นต้องยกเลิกการแสดงในเนชันแนลแจ๊สแอนด์บลูส์เฟสติวัล ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ รวมถึงโชว์อีกหลายงาน คิงจึงแจ้งกับสื่อมวลชนว่า บาร์เรตต์ป่วยเป็นโรคเครียดเรื้อรัง[65] วอเทอส์นัดพบจิตแพทย์ชื่อ อาร์. ดี. แลง และแม้ว่าเขาจะขับรถพาบาร์เรตต์ไปด้วยตัวเอง แต่บาร์เรตต์ก็ปฏิเสธที่จะลงจากรถ[66] การเดินทางไปพักที่เกาะฟอร์เมนเตรากับหมอแซม ฮัตต์ ซึ่งมีชื่อเสียงในวงการดนตรีใต้ดิน ก็ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นเลย วงยังคงมีตารางแสดงต่อที่ยุโรปในเดือนกันยายน และตามด้วยการทัวร์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคม[67][nb 12] แต่อาการของบาร์เรตต์กลับแย่ลงเรื่อย ๆ ตลอดช่วงทัวร์[69] ในการออกรายการของดิก คลาร์ก และแพต บูน ในเดือนพฤศจิกายน บาร์เรตต์สร้างความงุนงงให้กับพิธีกรด้วยการตอบคำถามแบบห้วน ๆ หรือไม่ตอบเลย และบางครั้งก็มองเหม่อลอย เมื่อถึงเวลาลิปซิงก์เพลง "ซีเอมิลีเพลย์" ในรายการของบูน เขาก็ปฏิเสธที่จะขยับปาก หลังจากเหตุการณ์น่าอายเหล่านี้ คิงจึงยุติทัวร์และรีบส่งวงกลับลอนดอนทันที[70][nb 13] หลังจากกลับมาถึงไม่นาน วงก็ได้ร่วมทัวร์กับจิมิ เฮนดริกซ์ ทั่วอังกฤษ แต่อาการซึมเศร้าของบาร์เรตต์กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างทัวร์[72][nb 14]
ค.ศ. 1967: การเปลี่ยนตัวบาร์เรตต์เป็นกิลมอร์
แก้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1967 ขณะที่สถานการณ์กับบาร์เรตต์ใกล้ถึงจุดวิกฤต วงพิงก์ฟลอยด์จึงตัดสินใจเพิ่มสมาชิกคนที่ห้า คือมือกีตาร์ เดวิด กิลมอร์[75][76][nb 15] กิลมอร์รู้จักบาร์เรตต์อยู่ก่อนแล้ว เพราะเคยเรียนร่วมกันที่วิทยาลัยเทคนิคเคมบริดจ์ (Cambridge Technical College) ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960[10] ทั้งสองเคยเล่นดนตรีร่วมกันในช่วงพักกลางวัน โดยใช้กีตาร์และฮาร์โมนิกา และต่อมาก็เคยโบกรถและเล่นดนตรีเร่ร่อนด้วยกันไปทั่วทางตอนใต้ของฝรั่งเศส[78] ใน ค.ศ. 1965 ขณะที่กิลมอร์ยังเป็นสมาชิกวงโจ๊กเกอส์ไวลด์ เขาเคยดูวงทีเซ็ต (ชื่อเดิมของพิงก์ฟลอยด์) แสดงด้วย[79]
สตีฟ โอ'โรร์ก ผู้ช่วยของมอร์ริสัน จัดหาห้องพักในบ้านของตนให้กิลมอร์ พร้อมเงินเดือน 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (เท่ากับ £600 ในปี 2023[37]) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1968 บริษัทแบล็กฮิลล์เอ็นเตอร์ไพรส์ประกาศว่ากิลมอร์จะเป็นสมาชิกใหม่ของวง โดยมีแผนให้บาร์เรตต์ยังคงอยู่ในวงในฐานะนักแต่งเพลงที่ไม่ขึ้นแสดง[80] เจนเนอร์เล่าว่า แผนของวงคือให้กิลมอร์ช่วย "กลบความแปลก[ของบาร์เรตต์]" แต่เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ วงจึงตัดสินใจให้บาร์เรตต์ทำหน้าที่แต่งเพลงอย่างเดียว[81][nb 16] บาร์เรตต์ซึ่งถูกคาดหวังให้แต่งเพลงฮิตต่อจาก "อาร์โนลด์ เลย์น" และ "ซีเอมิลีเพลย์" กลับตอบสนองด้วยการเสนอเพลง "แฮฟยูก็อตอิตเย็ต?" (Have You Got It Yet?) โดยตั้งใจเปลี่ยนโครงสร้างของเพลงทุกครั้งที่ซ้อม เพื่อให้เพื่อนร่วมวงไม่สามารถตามหรือจดจำได้เลย ซึ่งเป็นการระบายความคับข้องใจอย่างชัดเจน[75] ในภาพถ่ายโปรโมตวงช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 1968 บาร์เรตต์ปรากฏตัวโดยไม่สนใจคนอื่น ๆ และมองออกไปอย่างเหม่อลอย[83]
ท้ายที่สุด การทำงานกับบาร์เรตต์ก็กลายเป็นภาระเกินไป และสถานการณ์ก็มาถึงจุดแตกหักในเดือนมกราคม ระหว่างทางไปแสดงที่เมืองเซาแทมป์ตัน เมื่อสมาชิกคนหนึ่งถามว่าควรแวะไปรับบาร์เรตต์หรือไม่ กิลมอร์เล่าว่า คำตอบที่ได้คือ "ไม่ละ ช่างเขาเถอะ" (Nah, let's not bother) ซึ่งกลายเป็นสัญญาณแห่งจุดจบของบาร์เรตต์ในพิงก์ฟลอยด์[84][nb 17] วอเทอส์กล่าวในภายหลังว่า "เขาเป็นเพื่อนเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วตอนนั้นเรารู้สึกอยากจะบีบคอเขา"[86] ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1968 วงได้ประชุมหารือกับเจนเนอร์และคิงเพื่อวางแผนอนาคตของวง ซึ่งบาร์เรตต์เองก็ยอมรับการตัดสินใจแยกทางในครั้งนี้[87]
เจนเนอร์และคิงเชื่อว่าบาร์เรตต์คืออัจฉริยะผู้สร้างสรรค์ของวง จึงตัดสินใจหันไปดูแลบาร์เรตต์แทน และยุติความร่วมมือกับพิงก์ฟลอยด์[88] ส่วนมอร์ริสันขายกิจการของตนให้กับบริษัทเอ็นอีเอ็มเอสเอ็นเตอร์ไพรส์ (NEMS Enterprises) ขณะที่โอ'โรร์กกลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของวงพิงก์ฟลอยด์[89] แบล็กฮิลล์เอ็นเตอร์ไพรส์ประกาศการถอนตัวของบาร์เรตต์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1968[90][nb 18] หลังจากที่บาร์เรตต์ออกจากวง หน้าที่ในการแต่งเนื้อเพลงและการกำหนดทิศทางความคิดสร้างสรรค์ก็ตกเป็นของวอเทอส์แทบทั้งหมด[92] ช่วงแรก ๆ กิลมอร์ยังต้องลิปซิงก์แทนเสียงร้องของบาร์เรตต์ในการแสดงทางโทรทัศน์ในยุโรป อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ วงเลือกที่จะไม่เล่นเพลงของบาร์เรตต์ และแทนที่ด้วยผลงานของวอเทอส์และไรต์ เช่น "อิตวูดบีโซไนซ์" และ "แคร์ฟูลวิทแดตแอ็กซ์, ยูจีน"[93] เมสันกล่าวภายหลังว่า การมาของกิลมอร์ทำให้เพลงของพิงก์ฟลอยด์มีโครงสร้างชัดเจนขึ้น และกล่าวว่า "เรากลายเป็นวงที่ฟังง่ายขึ้นเยอะ"[94]
ค.ศ. 1968–1972: การเปลี่ยนผ่านทางดนตรี
แก้อะซอเซอร์ฟูลออฟซีเคร็ตส์ (ค.ศ. 1968)
แก้ใน ค.ศ. 1968 พิงก์ฟลอยด์กลับเข้าสู่แอบบีย์โรดสตูดิโอส์เพื่อทำอัลบั้มชุดที่สอง อะซอเซอร์ฟูลออฟซีเคร็ตส์ ให้เสร็จ ซึ่งเริ่มต้นบันทึกมาตั้งแต่ ค.ศ. 1967 ในยุคที่บาร์เรตต์ยังเป็นผู้นำวง อัลบั้มนี้มีผลงานชิ้นสุดท้ายของบาร์เรตต์ในฐานะสมาชิกวง คือเพลง "จั๊กแบนด์บลูส์" ขณะเดียวกัน วอเทอส์ก็เริ่มพัฒนาฝีมือการแต่งเพลง โดยมีผลงานอย่าง "เซ็ตเดอะคอนโทรลส์ฟอร์เดอะฮาร์ตออฟเดอะซัน", "เลตแดร์บีมอร์ไลต์" และ "คอร์เพอเริลเคล็กก์" ส่วนไรต์แต่งเพลง "ซี-ซอว์" และ "รีเมมเบอร์อะเดย์" นอร์แมน สมิท สนับสนุนให้วงผลิตผลงานด้วยตนเอง และสมาชิกวงจึงเริ่มอัดเดโมเพลงใหม่จากบ้านของตนเอง พร้อมเรียนรู้การใช้ห้องอัดเสียงให้ตอบสนองวิสัยทัศน์ทางดนตรีด้วยคำแนะนำจากสมิทที่แอบบีโรด อย่างไรก็ตาม สมิทยังไม่มั่นใจในแนวทางดนตรีของวง และเมื่อเมสันเล่นกลองใน "รีเมมเบอร์อะเดย์" ไม่ได้ตามที่ต้องการ สมิทจึงเล่นแทนเขา[95] ไรต์เคยเล่าถึงท่าทีของสมิทว่า "นอร์แมนหมดความอดทนกับอัลบั้มชุดที่สอง ... เขามักพูดประมาณว่า 'แกจะเล่นเสียงบ้าบอพวกนี้ยาว 20 นาทีไม่ได้หรอก'"[96] เนื่องจากวอเทอส์และเมสันอ่านโน้ตไม่เป็น ทั้งสองจึงคิดระบบสัญลักษณ์ของตนเองขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดโครงสร้างเพลง "อะซอเซอร์ฟูลออฟซีเคร็ตส์" กิลมอร์เคยอธิบายว่าโน้ตของพวกเขา "ดูคล้ายกับแผนผังสถาปัตยกรรม"[97]
อะซอเซอร์ฟูลออฟซีเคร็ตส์ วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1968 มีปกอัลบั้มแนวไซเคเดลิกออกแบบโดยสตอร์ม ทอร์เกอร์สัน และออบรีย์ พาเวลล์ แห่งกลุ่มฮิปโนซิส (Hipgnosis) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่พิงก์ฟลอยด์ร่วมงานกับทีมนี้ และยังเป็นครั้งที่สองที่อีเอ็มไออนุญาตให้ศิลปินจ้างนักออกแบบมาทำปกอัลบั้มเอง[98] อัลบั้มนี้ขึ้นถึงอันดับ 9 และอยู่ในชาร์ตของสหราชอาณาจักรนาน 11 สัปดาห์[62] เรคอร์ดมิร์เรอร์วิจารณ์อัลบั้มในเชิงบวกโดยรวม แต่เตือนผู้ฟังว่า "ลืมมันไปได้เลยถ้าใช้เป็นเพลงเปิดในงานปาร์ตี้"[97] จอห์น พีลบรรยายการแสดงสดของเพลงแรกในอัลบั้มว่า "ราวกับประสบการณ์ทางศาสนา" ขณะที่เอ็นเอ็มอีวิจารณ์ว่าเพลง "ยาวและน่าเบื่อ ... แทบไม่มีอะไรที่สมควรกับทิศทางอันจำเจของมันเลย"[96][nb 19] วันรุ่งขึ้นหลังจากวางจำหน่ายอัลบั้มในสหราชอาณาจักร พิงก์ฟลอยด์ก็ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตฟรีครั้งแรกของประวัติศาสตร์ที่ไฮด์พาร์ก[100] เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1968 วงเดินทางไปทัวร์สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่สอง โดยมีวงซอฟต์แมชีนและเดอะฮูร่วมทัวร์ด้วย ถือเป็นทัวร์ใหญ่ครั้งแรกของพิงก์ฟลอยด์[101] ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน วงออกซิงเกิล "พอยต์มีแอตเดอะสกาย" ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากไปกว่าสองซิงเกิลก่อนหน้านั้น และกลายเป็นซิงเกิลสุดท้ายของวงจนกระทั่ง "มันนี" ใน ค.ศ. 1973[102]
อุมมากุมมา (ค.ศ. 1969) และ อะตอมฮาร์ตมาเทอร์ (ค.ศ. 1970)
แก้อัลบั้ม อุมมากุมมา เป็นจุดเปลี่ยนจากผลงานเดิมของพิงก์ฟลอยด์ วางจำหน่ายเป็นแผ่นเสียงคู่ภายใต้ค่ายฮาร์เวสต์ของอีเอ็มไอ โดยสองหน้าแรกประกอบด้วยการแสดงสดที่บันทึกจากวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์แมนเชสเตอร์และคลับมาเทอส์ที่เบอร์มิงแฮม ส่วนอีกแผ่นมีผลงานทดลองหนึ่งชิ้นจากสมาชิกแต่ละคน[103] อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1969 และได้รับคำชมในเชิงบวก[104] ขึ้นถึงอันดับ 5 และอยู่ในชาร์ตของสหราชอาณาจักรนาน 21 สัปดาห์[62]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1970 พิงก์ฟลอยด์วางจำหน่ายอัลบั้ม อะตอมฮาร์ตมาเทอร์[105][nb 20] โดยเวอร์ชันแรกของอัลบั้มถูกเปิดตัวในอังกฤษตั้งแต่เดือนมกราคม แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการมิกซ์เสียง วงจึงจ้างรอน จีซิน มาช่วยแก้ไข จีซินปรับปรุงพาร์ตดนตรีโดยได้รับความร่วมมือไม่มากนักจากสมาชิกวง ทำให้การผลิตเป็นไปอย่างยุ่งยาก เขาทำงานร่วมกับจอห์น ออลดิส วาทยกรของคณะคอรัสที่ใช้บันทึกเสียงในอัลบั้มนี้ สมิทได้รับเครดิตในฐานะผู้อำนวยการผลิต และอัลบั้มนี้ก็กลายเป็นผลงานสุดท้ายที่เขามีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการกับพิงก์ฟลอยด์ กิลมอร์กล่าวถึงบทบาทของสมิทว่า "มันเป็นวิธีพูดให้สุภาพว่าเขา ... ไม่ได้ทำอะไรเลย"[107] อะตอมฮาร์ตมาเทอร์กลายเป็นอัลบั้มแรกของพิงก์ฟลอยด์ที่ขึ้นอันดับหนึ่ง และอยู่ในชาร์ตของสหราชอาณาจักรนาน 18 สัปดาห์[62] อย่างไรก็ตาม วอเทอส์วิจารณ์อัลบั้มนี้ในภายหลังว่า เขาอยากให้ "โยนทิ้งลงถังขยะ แล้วไม่มีใครได้ยินมันอีกเลยจะดีกว่า"[108] กิลมอร์ก็เคยกล่าวว่า "มันคือขยะกองหนึ่ง" และเสริมว่า "ตอนนั้นพวกเราก็แค่ขูดก้นถังกันอยู่"[108]
ใน ค.ศ. 1970 พิงก์ฟลอยด์ออกทัวร์ทั่วสหรัฐอเมริกาและยุโรปอย่างต่อเนื่อง[109][nb 21] ปีถัดมา ค.ศ. 1971 พวกเขาได้รับคะแนนโหวตให้เป็นอันดับสองจากการสำรวจผู้อ่านของเมโลดีเมเกอร์ (Melody Maker) และเริ่มมีกำไรเป็นครั้งแรก เมสันกับไรต์กลายเป็นคุณพ่อและซื้อบ้านที่ลอนดอน ส่วนกิลมอร์ซึ่งยังโสด ได้ย้ายไปอยู่ในฟาร์มยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เอสเซกซ์ ขณะที่วอเทอส์ติดตั้งห้องอัดเสียงที่บ้านของเขาในอิสลิงตัน โดยดัดแปลงมาจากโรงเก็บเครื่องมือ[110] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1971 หลังจากทัวร์อะตอมฮาร์ตมาเทอร์เสร็จสิ้น วงเริ่มต้นทำผลงานเพลงชุดใหม่[111] ด้วยความที่ยังไม่มีแนวคิดหลัก วงจึงทดลองอะไรหลายอย่างแต่ไม่ได้ผล วิศวกรเสียง จอห์น เลกกี บรรยายว่าเซสชันบันทึกเสียงในช่วงนี้มักเริ่มตอนบ่ายและจบในเช้ามืด "ระหว่างนั้นก็แทบไม่ได้อะไรเลย ไม่มีการติดต่อจากบริษัทแผ่นเสียง ยกเว้นแค่ผู้จัดการค่ายจะโผล่มาบ้างพร้อมไวน์สองขวดกับกัญชาอีกสองมวน"[112] วงใช้เวลานานกับการทดลองเสียงพื้นฐาน หรือเพียงแค่ริฟกีตาร์ นอกจากนี้ยังใช้เวลาหลายวันที่แอร์สตูดิโอส์ (Air Studios) พยายามสร้างเสียงเพลงจากเครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งจะถูกหยิบกลับมาใช้อีกครั้งระหว่างการทำอัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนกับวิชยูเวอร์เฮียร์ [113]
เมดเดิล (ค.ศ. 1971)
แก้อัลบั้ม เมดเดิล วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1971 และขึ้นถึงอันดับสามบนชาร์ตของสหราชอาณาจักร โดยอยู่ในชาร์ตยาวนานถึง 82 สัปดาห์[62] อัลบั้มนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคที่วงนำโดยบาร์เรตต์ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และยุคใหม่ของพิงก์ฟลอยด์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง[114] ฌ็อง-ชาร์ลส์ คอสตา (Jean-Charles Costa) จากนิตยสารโรลลิงสโตน เขียนว่า "ไม่เพียงแต่ยืนยันว่าเดวิด กิลมอร์ มือกีตาร์นำ ได้กลายเป็นพลังหลักที่หล่อหลอมทิศทางของวง หากยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพิงก์ฟลอยด์กลับมาเติบโตอีกครั้ง"[115][nb 22][nb 23] เอ็นเอ็มอี ยกย่องว่า "อัลบั้มนี้ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ" โดยเฉพาะเพลง "เอโคส์" ที่พวกเขายกให้เป็น "จุดสูงสุดที่พิงก์ฟลอยด์พยายามไขว่คว้ามาโดยตลอด"[119] อย่างไรก็ตาม ไมเคิล วอตส์ (Michael Watts) แห่งเมโลดีเมเกอร์ กลับรู้สึกผิดหวัง โดยเปรียบอัลบั้มนี้ว่า "เหมือนดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ไม่มีอยู่จริง" และมองว่าพิงก์ฟลอยด์คือ "เสียงกับพลังที่โหมกระหน่ำอย่างไร้ความหมาย"[120]
อ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ (ค.ศ. 1972)
แก้ก่อนหน้านี้ พิงก์ฟลอยด์เคยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ เดอะคอมมิตที (ค.ศ. 1968), มอร์ (ค.ศ. 1969)[121] และบางส่วนของ ซาบริสกีพอยต์ (ค.ศ. 1970) มาแล้ว จากความสำเร็จของมอร์ ผู้กำกับ บาร์เบต ชโรเดอร์ จึงชักชวนให้วงเขียนเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขา La Vallée[122] วงใช้เวลาหยุดสองช่วงเพื่อเดินทางไปยังสตรอว์เบอร์รีสตูดิโอส์ ที่ Château d'Hérouville ประเทศฝรั่งเศส ก่อนและหลังการทัวร์ที่ญี่ปุ่น เพื่อเขียนและอัดเพลงสำหรับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว[123] พวกเขามิกซ์เสียงในวันที่ 4–6 เมษายน ณ มอร์แกนสตูดิโอส์ในลอนดอน[123] ในการอัดเสียงช่วงแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 สถานีโทรทัศน์ ORTF ของฝรั่งเศสได้บันทึกวิดีโอเบื้องหลังการทำงานบางส่วน รวมถึงบทสัมภาษณ์ของวอเทอส์และกิลมอร์[123]
วอเทอส์กล่าวว่าแผ่นอัลบั้มล็อตแรกในสหราชอาณาจักรมีปัญหา "เสียงซ่า (sibilance) มากเกินไป" หลังจบการบันทึกเสียง วงเกิดความขัดแย้งกับบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ จึงตัดสินใจออกอัลบั้มนี้ในชื่อ อ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ แทนชื่อ La Vallée เดิม ภาพยนตร์จึงใช้ชื่อว่า La Vallée (Obscured by Clouds) เมื่อออกฉาย[122]
เพลงทั้งหมดในอัลบั้มอ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ มีโครงสร้างกระชับและเรียบง่าย โดยได้รับอิทธิพลจากดนตรีคันทรีอย่างชัดเจน อัลบั้มนี้ยังใช้เครื่องสังเคราะห์เสียง EMS VCS 3 ซึ่งไรต์ซื้อจากห้องทดลองบีบีซีเรดิโอโฟนิกเวิร์กช็อป เพลง "เบิร์นนิงบริดเจส" เป็นหนึ่งในสองเพลงที่ไรต์และวอเทอส์ร่วมกันแต่ง ขณะที่ "ไชลด์ฮูดส์เอ็นด์" เป็นเพลงสุดท้ายของวงที่มีเนื้อร้องแต่งโดยกิลมอร์ จนกระทั่งเขากลับมาเขียนเนื้ออีกครั้งในอัลบั้ม อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซัน (ค.ศ. 1987) เพลง "ฟรีโฟร์" ถือเป็นเพลงแรกนับแต่เพลง "ซีเอมิลีเพลย์" ที่ได้รับความนิยมออกอากาศในสหรัฐอเมริกา และยังเป็นเพลงที่สองของวงที่กล่าวถึงการเสียชีวิตของพ่อของวอเทอส์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนเพลง "สเตย์" (Stay) เป็นเพลงที่ไรต์แต่งและร้องเอง โดยมีเนื้อร้องจากวอเทอส์ เพลงสุดท้ายในอัลบั้มจบลงด้วยเสียงสวดของชนเผ่า Mapuga ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ด้วย
ค.ศ. 1973–1982: ความสำเร็จระดับนานาชาติ
แก้เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน (ค.ศ. 1973)
แก้พิงก์ฟลอยด์บันทึกเสียงอัลบั้ม เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน ระหว่างเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1972 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1973 โดยมีอลัน พาร์สันส์ วิศวกรเสียงประจำของอีเอ็มไอ เป็นผู้ดูแลที่แอบบีย์โรดสตูดิโอส์ ชื่ออัลบั้มนี้สื่อถึงความบ้าคลั่ง (lunacy) มากกว่าจะหมายถึงดาราศาสตร์โดยตรง[124] วงได้แต่งและพัฒนาเพลงระหว่างการทัวร์ในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ และยุโรป[125] โปรดิวเซอร์ คริส โทมัสให้ความช่วยเหลือพาร์สันส์ในกระบวนการผลิต[126] ปกอัลบั้มออกแบบโดยทีมฮิปโนซิส โดยมีจอร์จ ฮาร์ดีเป็นผู้ออกแบบรูปปริซึมอันโด่งดัง[127] ทอร์เกอร์สันอธิบายภาพลำแสงสีขาวที่สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียว พุ่งผ่านปริซึมที่แทนสังคม ก่อนจะแตกแสงเป็นสีรุ้ง หมายถึงความแตกแยกของเอกภาพ[128] วอเทอส์เป็นผู้แต่งเนื้อเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้[129]
เมื่อออกวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1973 อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จทันทีทั้งในสหราชอาณาจักรและยุโรปตะวันตก พร้อมได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์[130] สมาชิกพิงก์ฟลอยด์ทุกคนยกเว้นไรต์ไม่เข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้ม เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน เนื่องจากการมิกซ์เสียงแบบควอดราโฟนิก (quadraphonic mix) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และพวกเขาเห็นว่าการนำเสนอผ่านระบบเสียงสเตอริโอคุณภาพต่ำในงานแถลงข่าวนั้นไม่เพียงพอ[131] รอย ฮอลลิงเวิร์ท (Roy Hollingworth) แห่งเมโลดีเมเกอร์วิจารณ์หน้าหนึ่งของแผ่นว่า "สับสนโดยสิ้นเชิง ... [และ]ฟังยาก" แต่ก็ชื่นชมหน้าสองว่า "ทั้งเพลง เสียง ... [และ]จังหวะนั้นแน่นมาก ... เสียงแซกโซโฟนแหวกอากาศ วงดนตรีเล่นอย่างร็อกแอนด์โรล"[132] ลอยด์ กรอสแมน จากโรลลิงสโตน กล่าวชมว่า "เป็นอัลบั้มชั้นเยี่ยมที่เปี่ยมด้วยมิติทางเสียงและแนวคิด ที่ไม่เพียงแค่เชิญชวนให้มีส่วนร่วม แต่เรียกร้องให้ต้องเข้ามามีส่วนร่วม"[133]
ตลอดเดือนมีนาคม ค.ศ. 1973 เพลงจากเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์พิงก์ฟลอยด์ในสหรัฐอเมริกา[134] อัลบั้มนี้กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มร็อกที่ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์มากที่สุดตลอดกาล โดยขึ้นอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา และอยู่บนชาร์ตบิลบอร์ดแอลพีและเทปยอดนิยม (Billboard Top LPs & Tape) ยาวนานกว่าสิบสี่ปีในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 45 ล้านชุด[135] ในสหราชอาณาจักร อัลบั้มนี้ขึ้นถึงอันดับสองและอยู่บนชาร์ตนานถึง 364 สัปดาห์[62] เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนเป็นอัลบั้มขายดีอันดับสามของโลก และเป็นอันดับที่ 21 ของอัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาลในสหรัฐอเมริกา[136] ความสำเร็จนี้นำความมั่งคั่งมหาศาลมาสู่สมาชิกของวง วอเทอส์และไรต์ซื้อบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่ในชนบท ส่วนเมสันกลายเป็นนักสะสมรถยนต์ราคาแพง[137] จากความไม่พอใจกับบริษัทแผ่นเสียงของสหรัฐอย่างแคปิตอลเรเคิดส์ พิงก์ฟลอยด์และโอ'โรร์กจึงเจรจาสัญญาใหม่กับโคลัมเบียเรเคิดส์ ซึ่งยอมจ่ายเงินล่วงหน้าราว 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าราว 6,178,138 ดอลลาร์ใน ค.ศ. 2023)[138] ขณะที่ในยุโรป วงยังคงอยู่ภายใต้สังกัดของฮาร์เวสต์เรเคิดส์[139]
วิชยูเวอร์เฮียร์ (ค.ศ. 1975)
แก้หลังเสร็จสิ้นทัวร์ในสหราชอาณาจักรกับดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน พิงก์ฟลอยด์กลับเข้าสู่ห้องอัดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 เพื่อเริ่มต้นทำอัลบั้มที่เก้าของตนในชื่อ วิชยูเวอร์เฮียร์[140] พาร์สันส์ปฏิเสธข้อเสนอให้ร่วมงานต่อ โดยหันไปประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวกับ ดิอลัน พาร์สันส์พรอเจ็กต์ ทำให้วงหันไปพึ่งไบรอัน ฮัมฟรีส์ (Brian Humphries)[141] ในช่วงแรก วงประสบความยากลำบากในการแต่งเพลงใหม่ ความสำเร็จอันถล่มทลายของเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน ทำให้สมาชิกทั้งเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไรต์เล่าว่าช่วงนั้นเป็น "ช่วงเวลาที่ยากลำบาก" ส่วนวอเทอส์บอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ "ทรมาน"[142] ขณะที่กิลมอร์ให้ความสนใจกับการปรับปรุงผลงานเก่ามากกว่า และชีวิตสมรสที่ล้มเหลวของเมสันก็ส่งผลต่ออารมณ์และการตีกลองของเขาโดยตรง[142]
แม้จะไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ วอเทอส์ก็เริ่มมองเห็นแนวคิดใหม่[142] ใน ค.ศ. 1974 พิงก์ฟลอยด์เคยร่างเพลงต้นฉบับใหม่สามเพลง และนำไปแสดงในคอนเสิร์ตที่ยุโรป[143] เพลงเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้มใหม่ โดยมีท่อนกีตาร์สี่โน้ตเปิดเพลงที่กิลมอร์แต่งขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งทำให้วอเทอส์นึกถึงซิด บาร์เรตต์[144] บทเพลงเหล่านี้กลายเป็นเหมือนบทสรุปชีวิตขาขึ้นและขาลงของอดีตเพื่อนร่วมวง[145] วอเทอส์ให้ความเห็นว่า "เพราะผมอยากเข้าใกล้ความรู้สึกนั้นให้ได้มากที่สุด ... ความเศร้าที่ไม่อาจอธิบายได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้เกี่ยวกับการจากหายของซิด"[146]
ขณะพิงก์ฟลอยด์กำลังทำอัลบั้ม บาร์เรตต์ก็โผล่มาที่ห้องอัดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทอร์เกอร์สันเล่าว่าเขา "นั่งคุยอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย"[147] เขาเปลี่ยนไปมากเสียจนสมาชิกวงไม่สามารถจำเขาได้ในทันที และเหตุการณ์นี้ทำให้วอเทอส์รู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก[148][nb 24] เพลงส่วนใหญ่ในวิชยูเวอร์เฮียร์เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 ในเทศกาลดนตรีกลางแจ้งที่เน็บเวิร์ท และเมื่ออัลบั้มวางจำหน่ายในเดือนกันยายน ก็ขึ้นอันดับหนึ่งทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา[150]
แอนิมัลส์ (ค.ศ. 1977)
แก้ใน ค.ศ. 1975 พิงก์ฟลอยด์ซื้ออาคารสามชั้นของหอประชุมโบสถ์แห่งหนึ่งที่เลขที่ 35 ถนนบริแทนเนียโรว์ ในย่านอิสลิงตัน และเริ่มดัดแปลงเป็นห้องอัดเสียงและคลังเก็บอุปกรณ์[151] ใน ค.ศ. 1976 พวกเขาบันทึกเสียงอัลบั้มที่สิบของวงชื่อ แอนิมัลส์ ในห้องอัด 24 แทร็กที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่[152] แนวคิดของอัลบั้มนี้มาจากวอเทอส์ โดยมีแรงบันดาลใจอย่างหลวม ๆ จากวรรณกรรมเชิงการเมืองเรื่อง แอนิมัลฟาร์ม ของจอร์จ ออร์เวลล์ เนื้อเพลงเปรียบเทียบชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมเป็นสุนัข หมู และแกะ[153][nb 25] ฮิปโนซิสได้รับเครดิตในงานออกแบบปก แต่เป็นวอเทอส์ที่ออกแบบแนวคิดสุดท้าย โดยเลือกภาพโรงไฟฟ้าเก่าแบตเทอร์ซี และนำภาพหมูไปซ้อนทับไว้ด้านบน[155][nb 26]
การแบ่งรายได้จากลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างสมาชิกวง เนื่องจากลิขสิทธิ์จะจ่ายตามจำนวนเพลงที่แต่ง แม้กิลมอร์จะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในเพลง "ด็อกส์" ซึ่งกินเวลาเกือบทั้งด้านหนึ่งของแผ่นเสียงอัลบั้ม แต่เขากลับได้รายได้น้อยกว่าวอเทอส์ ซึ่งมีส่วนร่วมในเพลง "พิกส์ออนเดอะวิง" ซึ่งแยกเป็นสองเพลงที่มีความยาวรวมสั้นกว่ามาก[158] ไรต์ยอมรับว่า "บางส่วนเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ผลักดันผลงานของตัวเอง ... แต่เดฟ (เดวิด กิลมอร์) เองก็มีของให้เสนอ และเขาแทบไม่ได้ใส่ผลงานของเขาลงไปเลย"[159] เมสันเสริมว่า "โรเจอร์เดินเครื่องเต็มที่กับไอเดีย แต่เขาก็พยายามกดเดฟไว้ และทำให้เขาหงุดหงิดโดยเจตนา"[159][nb 27] กิลมอร์ซึ่งกำลังมีลูกคนแรก มีส่วนร่วมกับอัลบั้มนี้ไม่มาก เช่นเดียวกับเมสันและไรต์ โดยเฉพาะไรต์ที่ประสบปัญหาชีวิตคู่ และความสัมพันธ์กับวอเทอส์ก็เริ่มย่ำแย่[161] แอนิมัลส์เป็นอัลบั้มแรกของพิงก์ฟลอยด์ที่ไรต์ไม่มีเครดิตในการแต่งเพลง เขากล่าวว่า "นี่เป็นช่วงที่โรเจอร์เริ่มเชื่อจริงจังว่าเขาคือคนแต่งเพลงเพียงคนเดียวของวง ... ว่าที่วงยังอยู่ได้ก็เพราะเขา ... และเวลาที่เขามีปัญหากับใคร คนนั้นก็มักจะเป็นผม"[161]
เมื่อออกวางจำหน่ายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1977 แอนิมัลส์ขึ้นอันดับสองในสหราชอาณาจักร และอันดับสามในสหรัฐอเมริกา[162] นิตยสารเอ็นเอ็มอีเรียกอัลบั้มนี้ว่า "ดนตรีที่สุดโต่ง ดุดัน สะเทือนใจ แหกกฎเกณฑ์อย่างสิ้นเชิงมากที่สุดชิ้นหนึ่ง" ขณะที่คาร์ล ดัลลาสแห่งเมโลดีเมเกอร์ เรียกมันว่า "รสชาติแห่งความจริงที่น่ากระอักกระอ่วนในสื่อ ที่ในช่วงหลายปีนี้กลายเป็นสิ่งที่ชวนให้ง่วงมากขึ้นทุกที"[163]
พิงก์ฟลอยด์นำเพลงส่วนใหญ่จากแอนิมัลส์ไปเล่นในทัวร์ "อินเดอะเฟลช" ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเล่นในสนามกีฬาขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับสมาชิกวง[164] วอเทอส์มักมาถึงสถานที่แสดงตามลำพัง และรีบกลับทันทีหลังแสดงเสร็จ ครั้งหนึ่ง ไรต์ถึงกับบินกลับอังกฤษพร้อมขู่จะลาออกจากวง[165] และที่สนามกีฬาโอลิมปิกในมอนทรีออล ประเทศแคนาดา กลุ่มแฟนเพลงหน้าเวทีที่ส่งเสียงดังและตื่นเต้นเกินพอดี ทำให้วอเทอส์หงุดหงิดถึงขั้นถ่มน้ำลายใส่หนึ่งคนในนั้น[166][nb 28] หลังจบทัวร์ กิลมอร์รู้สึกถึงจุดตกต่ำของตน เขาเชื่อว่าวงได้บรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จแล้ว และไม่มีอะไรหลงเหลือให้ไขว่คว้าอีกต่อไป[167]
เดอะวอลล์ (1979)
แก้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1978 ท่ามกลางวิกฤตการเงินที่เกิดจากการลงทุนอย่างประมาท วอเทอส์เสนอแนวคิดสองแบบสำหรับอัลบั้มชุดต่อไปของพิงก์ฟลอยด์ แนวคิดแรกคือเดโมความยาว 90 นาทีที่ใช้ชื่อชั่วคราวว่า บริกส์อินเดอะวอลล์ (Bricks in the Wall) ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งต่อมากลายเป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของวอเทอส์ในชื่อ เดอะโพรส์แอนด์คอนส์ออฟฮิตช์ไฮกิง แม้เมสันและกิลมอร์จะยังลังเลในช่วงแรก แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกแนวคิดแรก[168][nb 29] บ็อบ เอซรินเข้ามาร่วมอำนวยการสร้างและเขียนบทความยาว 40 หน้าเพื่อเป็นโครงเรื่องของอัลบั้มใหม่[170] เอซรินสร้างเรื่องราวขึ้นจากตัวละครหลักที่ชื่อ "พิงก์" ซึ่งเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์จากประสบการณ์ในวัยเด็กของวอเทอส์ โดยเฉพาะการสูญเสียพ่อในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเปรียบได้กับอิฐก้อนแรกในกำแพงชีวิตของเขา จากนั้นก็เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา พิงก์เริ่มเสพยาและตกอยู่ในความหดหู่จากวงการดนตรี จนค่อย ๆ กลายเป็นผู้มีอำนาจแบบเผด็จการ ซึ่งจุดนี้ส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของซิด บาร์เรตต์ และช่วงท้ายของอัลบั้ม พิงก์จะเผชิญหน้ากับฝูงชนที่มีแนวคิดฟาสซิสต์ ก่อนจะพังทลายกำแพงลง และกลับมาเป็นคนธรรมดาผู้เปี่ยมความเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง[171][nb 30]
ระหว่างบันทึกเสียงเดอะวอลล์ สมาชิกวงไม่พอใจที่ไรต์ไม่ช่วยงาน จึงตัดสินใจให้ออกจากวง[174] กิลมอร์กล่าวว่าไรต์ถูกไล่ออกเพราะ "ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรที่มีคุณค่ากับอัลบั้ม เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย"[175] เมสันเล่าว่าไรต์มานั่งในห้องอัดแต่ "ไม่ได้ทำอะไร นอกจากเป็น 'โปรดิวเซอร์'"[176] วอเทอส์กล่าวว่าสมาชิกวงตกลงกันว่าไรต์จะต้อง "สู้ต่อยาว ๆ" หรือไม่ก็ยอม "จากไปอย่างเงียบ ๆ" หลังทำอัลบั้มเสร็จ ซึ่งไรต์ก็ยอมรับคำขาดนั้นและออกจากวงไป[177][nb 31]
เดอะวอลล์ได้รับการสนับสนุนจากซิงเกิลแรกของวงนับตั้งแต่ "มันนี" ซึ่งคือเพลง "อะนาเทอร์บริกอินเดอะวอลล์ (พาร์ต II)" ซึ่งขึ้นอันดับหนึ่งทั้งในสหรัฐและสหราชอาณาจักร[180] อัลบั้มนี้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 และครองอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐนานถึง 15 สัปดาห์ ขึ้นอันดับสามในสหราชอาณาจักร[181] ถือเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับการรับรองยอดขายมากที่สุดเป็นอันดับหก โดยสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา (RIAA) รับรองยอดขายในสหรัฐกว่า 23 ล้านชุด[182] ปกอัลบั้มเป็นภาพกำแพงอิฐโล่ง ๆ พร้อมชื่อวง เป็นอัลบั้มแรกนับตั้งแต่เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์นที่ไม่ได้ออกแบบโดยฮิปโนซิส[183]
เจอรัลด์ สการ์ฟ เป็นผู้ออกแบบแอนิเมชันสำหรับเดอะวอลล์ทัวร์ รวมถึงเขายังให้สร้างหุ่นเป่าลมขนาดใหญ่ที่เป็นตัวละครในเรื่อง เช่น "แม่", "อดีตภรรยา" และ "ครูใหญ่" ซึ่งวงนำมาใช้ระหว่างการแสดงสด[184] ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกวงในช่วงนี้ตกต่ำถึงขีดสุด รถวินเนเบโกของทั้งสี่คนจอดเป็นวงกลมโดยหันประตูออกจากกัน วอเทอส์มักใช้รถของตัวเองแยกต่างหากเพื่อเดินทางมายังสถานที่จัดงาน และพักโรงแรมที่ไม่ใช่ที่เดียวกับเพื่อนร่วมวง ส่วนไรต์กลับมาเล่นในทัวร์ในฐานะนักดนตรีรับจ้าง ทำให้เขาเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่มีกำไรจากทัวร์นี้ ขณะที่วงขาดทุนไปราว 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 2,010,835 ดอลลาร์ในค่าเงินปี ค.ศ. 2023[138])[185]
เดอะวอลล์ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์ เดิมทีตั้งใจให้เป็นการผสมผสานระหว่างภาพคอนเสิร์ตกับแอนิเมชัน แต่การถ่ายทำคอนเสิร์ตกลับไม่สามารถทำได้ตามแผน อลัน พาร์กเกอร์ตกลงกำกับและเลือกใช้แนวทางใหม่ โดยคงส่วนแอนิเมชันไว้ และให้ฉากอื่นเป็นการแสดงโดยนักแสดงที่ไม่มีบทพูด วอเทอส์เคยเข้ารับการทดสอบคัดเลือกนักแสดงแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว และทีมงานจึงหันไปทาบทามบ็อบ เกลดอฟ ซึ่งตอนแรกไม่สนใจ และวิจารณ์พล็อตของเดอะวอลล์ว่า "ไร้สาระสิ้นดี"[186] แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเมื่อได้รับค่าจ้างสูงและมีโอกาสร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องสำคัญ[187][nb 32] ภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1982 และออกฉายในสหราชอาณาจักรในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน[188][nb 33] พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์คว้ารางวัลแบฟตาสาขา "เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" (จากเพลง "อะนาเทอร์บริกอินเดอะวอลล์") และสาขาเสียงยอดเยี่ยม[189]
ค.ศ. 1983–1985: การออกจากวงของวอเทอส์
แก้เดอะไฟนัลคัต (ค.ศ. 1983)
แก้ใน ค.ศ. 1982 วอเทอส์เสนอแนวคิดโปรเจกต์ใหม่ที่มีชื่อชั่วคราวว่า สแปร์บริกส์ (Spare Bricks) ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้เป็นอัลบั้มประกอบภาพยนตร์พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์ แต่เมื่อเกิดสงครามฟอล์กแลนด์ วอเทอส์ก็เปลี่ยนแนวทางและเริ่มแต่งเพลงใหม่ โดยเขามองว่าการตอบโต้ขอมาร์กาเรต แทตเชอร์ต่อเหตุการณ์รุกรานฟอล์กแลนด์นั้นเป็นการชาตินิยมแบบสุดโต่งและไม่จำเป็น เขาจึงอุทิศอัลบั้มนี้ให้บิดาผู้ล่วงลับ การโต้เถียงระหว่างวอเทอส์กับกิลมอร์ปะทุขึ้นทันที โดยกิลมอร์มองว่าอัลบั้มนี้ควรประกอบด้วยเพลงใหม่ทั้งหมด แทนที่จะนำเพลงที่ถูกตัดจากเดอะวอลล์กลับมาใช้ และวอเทอส์รู้สึกว่ากิลมอร์แทบไม่มีส่วนร่วมในด้านเนื้อเพลงเลย[190] ไมเคิล เคเมน ซึ่งเคยมีส่วนร่วมเรียบเรียงวงออร์เคสตราในเดอะวอลล์ ได้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสอง และทำหน้าที่คล้ายกับที่ไรต์เคยทำก่อนที่เขาจะไม่อยู่ในวง[191][nb 34] ความตึงเครียดในวงทวีความรุนแรงขึ้น วอเทอส์และกิลมอร์ทำงานแยกจากกัน แต่กิลมอร์เริ่มรู้สึกเครียดจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หลังจากการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย ชื่อของกิลมอร์ก็ถูกลบออกจากเครดิตของอัลบั้ม สะท้อนถึงความรู้สึกของวอเทอส์ที่ว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในด้านการแต่งเพลง[193][nb 35]
แม้เมสันจะมีบทบาททางดนตรีเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงยุ่งอยู่กับการบันทึกเสียงเอฟเฟกต์สำหรับระบบเสียงแบบฮอโลโฟนิกซึ่งจะนำมาใช้ในอัลบั้ม ขณะที่เขาเองก็มีปัญหาชีวิตคู่ ทำให้ดูห่างเหินจากกระบวนการสร้างสรรค์ พิงก์ฟลอยด์ไม่ได้ใช้บริการของทอร์เกอร์สันในการออกแบบปกอัลบั้ม โดยวอเทอส์เป็นผู้ออกแบบด้วยตนเอง[194][nb 36] กิลมอร์ไม่มีเพลงพร้อมใช้ จึงขอให้วอเทอส์เลื่อนการบันทึกเสียงเพื่อให้เขามีเวลาสร้างสรรค์ผลงาน แต่ก็ถูกปฏิเสธ[195] กิลมอร์กล่าวในภายหลังว่า "แน่นอนว่าผมเคยขี้เกียจอยู่บ้าง ... แต่เขาก็ไม่ควรยัดเพลงห่วย ๆ ลงในเดอะไฟนัลคัตเช่นกัน"[195][nb 37]
อัลบั้มเดอะไฟนัลคัตวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1983 และขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร และอันดับหกในสหรัฐ[197] โดยวอเทอส์เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและดนตรีทั้งหมด[198] นิตยสารโรลลิงสโตนให้คะแนนห้าดาว โดยเคิร์ต โลเดอร์ยกย่องว่าเป็น "ผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ... ผลงานชิ้นเอกแห่งอาร์ตร็อก"[199][nb 38] เขามองว่าเดอะไฟนัลคัตเป็น "อัลบั้มเดี่ยวของโรเจอร์ วอเทอส์โดยแท้"[201]
การลาออกของวอเทอส์และคดีความทางกฎหมาย
แก้ใน ค.ศ. 1984 กิลมอร์ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สอง อะเบาต์เฟซ ซึ่งเขาใช้แสดงความรู้สึกต่อหลากหลายประเด็น ตั้งแต่การลอบสังหารจอห์น เลนนอน ไปจนถึงความสัมพันธ์ของเขากับวอเทอส์ เขากล่าวในภายหลังว่าอัลบั้มนี้เป็นการพาตัวเองออกห่างจากพิงก์ฟลอยด์ ไม่นานหลังจากนั้นวอเทอส์ก็เริ่มทัวร์อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก เดอะโพรส์แอนด์คอนส์ออฟฮิตช์ไฮกิง (ค.ศ. 1984)[202] ไรต์ก่อตั้งวงซี (Zee) ร่วมกับเดฟ แฮร์ริส (Dave Harris) และออกอัลบั้ม ไอเดนทิตี ซึ่งแทบไม่มีใครรู้จัก[203][nb 39] เมสันออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สอง โพรไฟส์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1985[204]
ใน ค.ศ. 1984 กิลมอร์, เมสัน, วอเทอส์ และโอ'โรร์ก นัดรับประทานอาหารค่ำเพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของวง เมสันและกิลมอร์ออกจากร้านไปด้วยความเชื่อว่าพิงก์ฟลอยด์ยังสามารถเดินหน้าต่อได้หลังวอเทอส์เสร็จสิ้นทัวร์เดอะโพรส์แอนด์คอนส์ออฟฮิตช์ไฮกิง โดยเห็นว่าวงเคยพักกิจกรรมหลายครั้งมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม วอเทอส์กลับออกไปด้วยความเชื่อว่าทั้งสองคนยอมรับแล้วว่าวงจะยุติลง เมสันกล่าวว่า ในภายหลังวอเทอส์มองเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเป็น "การทรยศมากกว่าการทูต" และเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำว่า "ชัดเจนว่าเรายังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารอย่างหนัก พวกเราออกจากร้านไปด้วยความเข้าใจที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงในสิ่งที่ตกลงกันไว้"[205]
หลังจากออกอัลบั้มเดอะโพรส์แอนด์คอนส์ออฟฮิตช์ไฮกิง วอเทอส์ก็ประกาศต่อสาธารณะว่าวงพิงก์ฟลอยด์จะไม่กลับมารวมตัวอีก เขาติดต่อโอ'โรร์กเพื่อหารือเรื่องการจัดการรายได้ในอนาคต แต่โอ'โรร์กรู้สึกว่าจำเป็นต้องแจ้งให้เมสันและกิลมอร์ทราบ ทำให้วอเทอส์ไม่พอใจและพยายามจะปลดเขาออกจากการเป็นผู้จัดการของวง วอเทอส์ยกเลิกสัญญากับโอ'โรร์ก และจ้างปีเตอร์ รัดจ์ (Peter Rudge) เป็นผู้จัดการคนใหม่[204][nb 40] วอเทอส์เขียนจดหมายถึงอีเอ็มไอและโคลัมเบียเพื่อแจ้งว่าเขาได้ออกจากวงแล้ว และขอให้ปลดเขาจากภาระผูกพันตามสัญญา กิลมอร์เชื่อว่าวอเทอส์ลาออกเพื่อเร่งให้พิงก์ฟลอยด์ยุบวง วอเทอส์กล่าวในภายหลังว่าการที่วงไม่ออกอัลบั้มใหม่ จะทำให้ผิดสัญญา ซึ่งอาจทำให้หยุดจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และเขารู้สึกว่าสมาชิกที่เหลือพยายามบีบให้เขาออกด้วยการขู่ว่าจะฟ้องร้อง เขาจึงยื่นฟ้องต่อศาลสูงอังกฤษเพื่อขอยุบวงและห้ามไม่ให้ใช้ชื่อ "Pink Floyd" อีกต่อไป โดยประกาศว่าพิงก์ฟลอยด์ "หมดแรงสร้างสรรค์แล้ว"[207] อย่างไรก็ตาม เมื่อทนายความของวอเทอส์พบว่าวงไม่เคยมีการตั้งสถานะนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ วอเทอส์จึงกลับไปยื่นคำร้องใหม่ต่อศาลสูง เพื่อขอสิทธิ์วีโต้ในการใช้ชื่อวงต่อไป แต่กิลมอร์ออกแถลงการณ์ตอบโต้โดยยืนยันว่า พิงก์ฟลอยด์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป[208]
ค.ศ. 1985–1994: ยุคที่กิลมอร์นำวง
แก้อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซัน (ค.ศ. 1987)
แก้ใน ค.ศ. 1986 กิลมอร์เริ่มคัดเลือกนักดนตรีเพื่อเริ่มโครงการใหม่[209] โดยในระยะแรกยังไม่มีความชัดเจนว่าจะใช้ชื่อพิงก์ฟลอยด์ และกิลมอร์ยังยืนยันว่าอาจกลายเป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สามของเขา อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนั้น เขาก็ตัดสินใจว่าโครงการนี้จะเป็นอัลบั้มของพิงก์ฟลอยด์ โดยเป็นชุดแรกที่ไม่มีวอเทอส์[210][211][nb 41] แม้จะมีอุปสรรคทางกฎหมายต่อการนำไรต์กลับเข้าวง แต่หลังจากการพบกันที่แฮมป์สเตด สมาชิกพิงก์ฟลอยด์ก็ตกลงให้ไรต์เข้าร่วมการบันทึกเสียงในครั้งนี้[212] กิลมอร์ให้เหตุผลในภายหลังว่า การมีไรต์อยู่จะทำให้วง "แข็งแกร่งขึ้นทั้งในแง่กฎหมายและดนตรี" และพิงก์ฟลอยด์ได้จ้างเขาด้วยค่าจ้างรายสัปดาห์ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ[213]
การบันทึกเสียงเริ่มขึ้นที่เรืออัสตอเรีย ซึ่งจอดอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ โดยเป็นเรือบ้านของกิลมอร์ที่ดัดแปลงเป็นห้องอัดเสียง[214][nb 42] กิลมอร์รู้สึกว่าในยุควอเทอส์ เนื้อเพลงกลายเป็นจุดเด่นเกินไป จึงต้องการปรับสมดุลให้ดนตรีกลับมามีบทบาทมากขึ้น[216] อย่างไรก็ตาม สมาชิกวงพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำงานโดยไม่มีทิศทางความคิดสร้างสรรค์จากวอเทอส์[217] กิลมอร์เคยร่วมงานกับนักแต่งหลายคน เช่น เอริก สจวร์ต และโรเจอร์ แม็กกัฟ ก่อนจะเลือกใช้ แอนโทนี มัวร์เป็นผู้เขียนเนื้อเพลงหลัก[218] ขณะเดียวกัน ไรต์และเมสันที่ห่างจากเวทีไปนานก็ขาดความชำนาญ กิลมอร์กล่าวว่า ทั้งคู่ "ถูกทำลาย" โดยวอเทอส์ และแทบไม่มีส่วนร่วมกับงานในอัลบั้ม[219]
อัลบั้มอะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซันวางจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 1987 โดยทอร์เกอร์สัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในเดอะวอลล์และเดอะไฟนัลคัต กลับมาออกแบบปกอัลบั้มอีกครั้ง[220] เพื่อเน้นย้ำว่าวอเทอส์ไม่ได้เป็นสมาชิกวงอีกต่อไป พวกเขาจึงใส่ภาพถ่ายสมาชิกวงไว้ด้านในของปก นับเป็นครั้งแรกที่มีภาพถ่ายสมาชิกวงนับตั้งแต่อัลบั้มเมดเดิล โดยมีเพียงกิลมอร์และเมสันเท่านั้น[221][nb 43] อัลบั้มติดอันดับสามทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐ[223] วอเทอส์ให้ความเห็นว่า "มันตื้นเขิน แต่ก็เป็นของปลอมที่ฉลาดดี ... เพลงโดยรวมไม่ดี ... [และ]เนื้อเพลงของกิลมอร์ก็อยู่ในระดับสาม"[224] แม้กิลมอร์จะมองว่าอัลบั้มนี้เป็นการกลับคืนสู่ฟอร์มเดิมของวง แต่ไรต์ไม่เห็นด้วย โดยกล่าวว่า "คำวิจารณ์ของโรเจอร์ก็มีส่วนจริง มันไม่ใช่อัลบั้มของวงเลย"[225] นิตยสารคิวระบุว่าอัลบั้มนี้แทบจะเป็นอัลบั้มเดี่ยวของกิลมอร์[226]
วอเทอส์พยายามขัดขวางการทัวร์อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซันทัวร์ โดยติดต่อผู้จัดในสหรัฐและขู่ว่าจะฟ้องหากใช้ชื่อพิงก์ฟลอยด์ กิลมอร์และเมสันเป็นผู้ลงทุนค่าใช้จ่ายตั้งต้น โดยเมสันถึงขั้นนำรถเฟอร์รารี่ 250 จีทีโอไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน[227] การซ้อมช่วงแรกเป็นไปอย่างวุ่นวาย เนื่องจากเมสันและไรต์ยังขาดความชำนาญ กิลมอร์จึงขอให้เอซรินกลับมาช่วยงานอีกครั้ง ขณะที่พิงก์ฟลอยด์ออกทัวร์ในอเมริกาเหนือ วอเทอส์ก็จัดทัวร์เค.เอ.โอ.เอส. ออนเดอะโรด โดยบางครั้งก็จัดอยู่ใกล้กัน แต่ในสถานที่ขนาดเล็กกว่ามาก วอเทอส์ยื่นฟ้องเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากการใช้หมูบิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงของพิงก์ฟลอยด์ ฝ่ายพิงก์ฟลอยด์ตอบโต้โดยติดอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ไว้ใต้หมู เพื่อให้ต่างจากเวอร์ชันของที่วอเทอส์ออกแบบ[228] ในวันที่ 23 ธันวาคม ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงทางกฎหมาย โดยเมสันและกิลมอร์ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อ "Pink Floyd" อย่างถาวร ขณะที่วอเทอส์ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการใช้เดอะวอลล์และทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ[229] วอเทอส์กล่าวใน ค.ศ. 2013 ว่าเขาเสียใจกับการฟ้องร้อง และยอมรับว่าไม่เคยตระหนักว่าชื่อ "Pink Floyd" นั้นมีมูลค่าทางการค้าสูงอย่างอิสระจากตัวสมาชิกในวง[230]
เดอะดิวิชันเบลล์ (ค.ศ. 1994)
แก้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สมาชิกพิงก์ฟลอยด์ต่างแยกย้ายไปทำกิจกรรมส่วนตัว เช่น ถ่ายทำและเข้าร่วมแข่งขัน La Carrera Panamericana รวมถึงบันทึกเพลงประกอบภาพยนตร์จากการแข่งขันดังกล่าว[231][nb 44] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1993 พวกเขาเริ่มทำงานอัลบั้มใหม่ เดอะดิวิชันเบลล์ ที่ห้องอัดบริแทนเนียโรว์สตูดิโอส์ โดยกิลมอร์ เมสัน และไรต์ร่วมกันด้นสดเพื่อพัฒนาไอเดียต่าง ๆ หลังจากประมาณสองสัปดาห์ ก็มีแนวคิดมากพอที่จะเริ่มสร้างเป็นเพลง และเอซรินกลับมาร่วมงานอีกครั้งในฐานะผู้อำนวยการสร้างร่วม โดยย้ายสถานที่ทำงานไปที่อัสตอเรีย ซึ่งเป็นเรือบ้านของกิลมอร์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1993[233]
ในทางสัญญา ไรต์ยังไม่ถือเป็นสมาชิกวง และเขากล่าวว่าเกือบไม่ได้ร่วมทำอัลบั้มนี้[234] อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับเครดิตร่วมแต่งเพลงถึงห้าเพลง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขามีบทบาทในด้านนี้นับตั้งแต่อัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์เมื่อ ค.ศ. 1975[234] พอลลี แซมซัน นักเขียนนวนิยายซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาของกิลมอร์ ก็ได้รับเครดิตร่วมแต่งเพลงด้วย โดยช่วยเขียนเพลงอย่าง "ไฮโฮปส์" ซึ่งแม้กระบวนการจะตึงเครียดในช่วงแรก แต่เอซรินก็กล่าวว่าการทำงานร่วมกันนี้ "ช่วยประสานทุกอย่างของอัลบั้มเข้าไว้ด้วยกัน"[235] พวกเขายังได้จ้างไมเคิล เคเมนมาช่วยเรียบเรียงเสียงออร์เคสตรา ขณะเดียวกัน ดิก แพร์รี และคริส โทมัสก็กลับมาร่วมงานอีกครั้ง[236] ดักลาส อดัมส์ เป็นผู้ตั้งชื่ออัลบั้ม ส่วนทอร์เกอร์สันออกแบบภาพปก[237][nb 45] โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นหินโมไอของเกาะอีสเตอร์ หน้าคนสองหน้าที่หันเข้าหากันดูเหมือนจะสร้างใบหน้าที่สามขึ้นมา ซึ่งทอร์เกอร์สันอธิบายว่าเป็น "ใบหน้าที่หายไป ราวกับวิญญาณในอดีตของพิงก์ฟลอยด์ ซิดและโรเจอร์"[239] เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับวันวางจำหน่ายของอัลบั้มอื่นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับอะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซัน พิงก์ฟลอยด์จึงตั้งเส้นตายไว้ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1994 เพื่อจะได้เริ่มออกทัวร์อีกครั้ง[240] อัลบั้มเดอะดิวิชันเบลล์ขึ้นอันดับ 1 ทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐ[136] และติดชาร์ตในสหราชอาณาจักรนานถึง 51 สัปดาห์[62]
พิงก์ฟลอยด์ใช้เวลากว่า 2 สัปดาห์ซ้อมในโรงเก็บเครื่องบินของฐานทัพอากาศนอร์ตัน เมืองแซนเบอร์นาร์ดีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนเริ่มต้นเดอะดิวิชันเบลล์ทัวร์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1994 ที่ไมแอมี โดยใช้ทีมงานชุดเกือบเหมือนกับที่ใช้ในอะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซันทัวร์[241] พวกเขานำเพลงยอดนิยมหลายเพลงจากอัลบั้มเก่ามาเล่น และต่อมาได้ปรับเซตลิสต์ให้รวมเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนทั้งชุด[242][nb 46] ทัวร์นี้ถือเป็นทัวร์สุดท้ายของพิงก์ฟลอยด์ ซึ่งจบลงเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1994[243][nb 47] เมสันตีพิมพ์บันทึกความทรงจำชื่อ อินไซด์เอาต์: อะเพอร์ซันนัลฮิสทรีออฟพิงก์ฟลอยด์ ใน ค.ศ. 2004[245]
ค.ศ. 2005–ปัจจุบัน: การกลับมารวมตัว
แก้ค.ศ. 2005–2006: การรวมตัวที่ไลฟ์ 8
แก้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 วอเทอส์, กิลมอร์, เมสัน และไรต์ ได้แสดงร่วมกันในนามพิงก์ฟลอยด์ในงานไลฟ์ 8 ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อรณรงค์ให้เกิดความตระหนักเรื่องความยากจน จัดขึ้นที่ไฮด์พาร์กในลอนดอน[246] นี่เป็นการแสดงร่วมกันครั้งแรกในรอบกว่า 24 ปี[246] การรวมตัวครั้งนี้เกิดขึ้นจากการประสานงานของบ็อบ เกลดอฟ ผู้จัดงานไลฟ์ 8 ซึ่งติดต่อกิลมอร์ก่อน แต่กิลมอร์ปฏิเสธ จากนั้นเกลดอฟจึงหันไปหาเมสัน และเมสันเป็นผู้ติดต่อวอเทอส์ สองสัปดาห์ต่อมา วอเทอส์โทรหากิลมอร์ ซึ่งนับเป็นการพูดคุยกันครั้งแรกในรอบสองปี และในวันถัดมากิลมอร์ก็ตอบตกลง ในแถลงการณ์ต่อสื่อ วงได้เน้นย้ำว่าความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้นไม่สำคัญเมื่อเทียบกับเป้าหมายของงานไลฟ์ 8[131]
พวกเขาวางแผนเลือกเพลงที่จะเล่นกันที่โรงแรมเดอะคอนน็อตในลอนดอน จากนั้นจึงใช้เวลาสามวันซ้อมที่แบล็กไอแลนด์สตูดิโอส์[131] อย่างไรก็ตาม การซ้อมมีปัญหา เนื่องจากมีข้อขัดแย้งเรื่องสไตล์และจังหวะของเพลงที่นำมาซ้อม โดยลำดับเพลงถูกกำหนดในคืนก่อนวันแสดงจริง[247] ในช่วงเริ่มต้นการแสดงเพลง "วิชยูเวอร์เฮียร์" วอเทอส์กล่าวกับผู้ชมว่า "ซาบซึ้งใจมากที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้กับสามคนนี้หลังจากเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ยืนอยู่กับพวกคุณทุกคน ... เราทำสิ่งนี้เพื่อทุกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซิด"[248] เมื่อจบการแสดง กิลมอร์กล่าวขอบคุณผู้ชมและกำลังจะเดินลงเวที แต่ถูกวอเทอส์เรียกกลับมา จากนั้นสมาชิกทั้งวงก็กอดกัน ภาพของการกอดกันนี้กลายเป็นภาพเด่นในหน้าหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์หลังงานไลฟ์ 8[249][nb 48] วอเทอส์กล่าวว่า "ผมไม่คิดว่ามีใครในพวกเราที่ผ่านช่วงหลังปี 1985 มาโดยไม่เสียหายเลย ... มันเป็นช่วงเวลาแย่ ๆ เต็มไปด้วยพลังลบ และผมเสียใจที่ตัวเองก็มีส่วนในพลังลบนั้น"[251]
แม้พิงก์ฟลอยด์จะปฏิเสธสัญญาทัวร์ครั้งสุดท้ายที่มีมูลค่าสูงถึง 136 ล้านปอนด์ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสสำหรับการแสดงเพิ่มเติม วอเทอส์เสนอว่าหากจะมีการแสดงอีกครั้ง ก็ควรเป็นกิจกรรมเพื่อการกุศลเท่านั้น[249] อย่างไรก็ตาม กิลมอร์ให้สัมภาษณ์กับแอสโซซิเอเต็ดเพรสว่า การกลับมารวมตัวอีกครั้งจะไม่เกิดขึ้น "การซ้อม[งานไลฟ์ 8] ครั้งนั้น ทำให้ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำอีก ... คนเรามักมีช่วงเวลาบอกลาในช่วงหนึ่งของชีวิตหรืออาชีพการงาน ที่แล้วสุดท้ายก็กลับคำ แต่ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า จะไม่มีทัวร์หรืออัลบั้มไหนอีกที่ผมจะร่วมด้วยแล้ว มันไม่เกี่ยวกับความบาดหมางอะไรทั้งนั้น มันก็แค่ ... ผมผ่านมาแล้ว ผมทำไปแล้ว"[252]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 กิลมอร์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ La Repubblica ของอิตาลี ซึ่งรายงานว่าพิงก์ฟลอยด์ได้ยุบวงแล้ว[253] กิลมอร์กล่าวว่าวงได้ "จบลงแล้ว" โดยอ้างถึงอายุที่มากขึ้นของเขา และความชอบในการทำงานคนเดียว[253] ทั้งเขาและวอเทอส์ต่างก็ย้ำอยู่หลายครั้งว่าไม่มีแผนจะกลับมารวมวงอีก[254][255][nb 49]
ค.ศ. 2006–2008: การเสียชีวิตของบาร์เรตต์และไรต์
แก้ซิด บาร์เรตต์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ที่บ้านของเขาในเมืองแคมบริดจ์ ขณะมีอายุ 60 ปี[257] พิธีศพจัดขึ้นที่สุสานแคมบริดจ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 โดยไม่มีสมาชิกวงพิงก์ฟลอยด์คนใดเข้าร่วม ไรต์กล่าวไว้ว่า "พวกเราทุกคนรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับการจากไปของซิด บาร์เรตต์ ซิดเคยเป็นแสงนำทางให้กับพิงก์ฟลอยด์ในยุคเริ่มต้น และฝากมรดกทางดนตรีไว้ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจต่อไป"[257] แม้บาร์เรตต์จะค่อย ๆ ห่างหายจากสื่อสาธารณะในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่สื่อระดับชาติยังคงยกย่องบทบาทของเขาในวงการดนตรี[258][nb 50] เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 วอเทอส์, กิลมอร์, ไรต์ และเมสัน ได้ขึ้นแสดงร่วมกันในคอนเสิร์ตรำลึกถึงบาร์เรตต์ชื่อว่า "แมดแคปส์ลาสต์ลาฟ" (Madcap's Last Laugh) ที่บาร์บิคันเซนเทอร์ในลอนดอน โดยกิลมอร์, ไรต์ และเมสัน แสดงเพลง "ไบก์" และ "อาร์โนลด์ เลย์น" ที่แต่งโดยบาร์เรตต์ ขณะที่วอเทอส์แสดงเพลง "ฟลิกเกอริงเฟลม" (Flickering Flame) ในฉบับเดี่ยวของเขาเอง[260]
ริชาร์ด ไรต์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2008 ขณะมีอายุ 65 ปี[261] อดีตเพื่อนร่วมวงต่างร่วมแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเขา กิลมอร์กล่าวว่า ผลงานของไรต์มักถูกมองข้าม ทั้งที่ "น้ำเสียงอันเปี่ยมด้วยอารมณ์และการเล่นของเขา เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและมีมนตร์ขลังในซาวด์ของพิงก์ฟลอยด์ยุคที่เป็นที่จดจำมากที่สุด"[262] หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น กิลมอร์ได้นำเพลง "รีเมมเบอร์อะเดย์" จากอัลบั้มอะซอเซอร์ฟูลออฟซีเคร็ตส์ ซึ่งแต่งและขับร้องโดยไรต์ มาแสดงสดทางรายการเลเทอร์... วิทจูลส์ ฮอลแลนด์ ทางช่องบีบีซีทูเพื่อเป็นการรำลึก[263] คีท เอเมอร์สัน มือคีย์บอร์ดชื่อดัง ได้กล่าวยกย่องไรต์ว่าเป็น "กระดูกสันหลัง" ของพิงก์ฟลอยด์[264]
ค.ศ. 2010–2011: การแสดงเพิ่มเติมและการจัดจำหน่ายใหม่
แก้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 วงพิงก์ฟลอยด์ได้ยื่นฟ้องศาลสูงอังกฤษ เพื่อระงับไม่ให้อีเอ็มไอขายเพลงแยกเป็นรายแทร็กทางออนไลน์ โดยให้เหตุผลว่า สัญญาที่ทำกับค่ายอีเอ็มไอเมื่อ ค.ศ. 1999 ระบุไว้ว่า "ห้ามจำหน่ายอัลบั้มในรูปแบบอื่นใดนอกเหนือจากฉบับเต็มดั้งเดิม" ศาลตัดสินให้พิงก์ฟลอยด์ชนะคดี ซึ่งเดอะการ์เดียนเรียกผลการตัดสินครั้งนี้ว่าเป็น "ชัยชนะของความครบถ้วนสมบูรณ์ทางศิลปะ" และเป็น "การยืนยันคุณค่าของอัลบั้มในฐานะผลงานสร้างสรรค์รูปแบบหนึ่ง"[265] ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 พิงก์ฟลอยด์ได้ลงนามในสัญญาฉบับใหม่กับอีเอ็มไอซึ่งมีอายุห้าปี และอนุญาตให้ขายเพลงแบบแยกแทร็กได้[266]
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 วอเทอส์และกิลมอร์ได้แสดงร่วมกันในงานการกุศลเพื่อมูลนิธิโฮปปิงฟาวน์เดชัน (Hoping Foundation) ซึ่งจัดขึ้นที่คฤหาสน์คิดดิงตันฮอลล์ (Kiddington Hall) ในออกซฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือเด็กชาวปาเลสไตน์ โดยมีผู้ชมราว 200 คน[267] และเพื่อเป็นการตอบแทนวอเทอส์ที่มาร่วมงาน กิลมอร์จึงได้ร่วมแสดงเพลง "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" ในคอนเสิร์ตเดอะวอลล์ของวอเทอส์ที่โอทูอารีนาในลอนดอนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 โดยขับร้องท่อนคอรัสและเล่นโซโล่กีตาร์ ส่วนเมสันร่วมเล่นแทมบูรีนในเพลง "เอาต์ไซด์เดอะวอลล์" โดยมีการใช้แมนโดลินของกิลมอร์ประกอบด้วย[268]
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2011 พิงก์ฟลอยด์และอีเอ็มไอได้เปิดตัวแคมเปญการจัดจำหน่ายอัลบั้มใหม่ภายใต้ชื่อ วายพิงก์ฟลอยด์...? (Why Pink Floyd...?) ซึ่งนำอัลบั้มเก่าทั้งหมดกลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งในรูปแบบรีมาสเตอร์ใหม่ โดยมีทั้งฉบับพิเศษแบบ "เอ็กซ์พีเรียนซ์" (Experience) และ "อิมเมอร์ชัน" (Immersion) ที่ประกอบด้วยหลายแผ่นและหลายรูปแบบ โดยมีเจมส์ กัทรี ผู้ร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มเดอะวอลล์ เป็นผู้ดูแลการรีมาสเตอร์[269] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015 พิงก์ฟลอยด์ได้ออกอีพีชุดพิเศษ 1965: แดร์เฟิสต์เรคอร์ดิงส์ ซึ่งประกอบด้วยเพลงหกเพลงที่บันทึกเสียงไว้ก่อนออกอัลบั้มแรก เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น[270]
ดิเอนด์เลสริเวอร์ (ค.ศ. 2014) และนิก เมสันส์ซอเซอร์ฟูลออฟซีเครตส์
แก้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 กิลมอร์และเมสันกลับไปทบทวนการบันทึกเสียงที่ทำร่วมกับไรต์ระหว่างการทำอัลบั้มเดอะดิวิชันเบลล์เพื่อสร้างอัลบั้มใหม่ของพิงก์ฟลอยด์ ทั้งสองได้ว่าจ้างนักดนตรีรับเชิญมาช่วยบันทึกเสียงส่วนใหม่ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในห้องอัดเสียงอย่างเต็มที่[271] โดยวอเทอส์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการนี้[272] เมสันกล่าวว่าอัลบั้มนี้เป็นการอุทิศให้ไรต์ "ผมคิดว่าอัลบั้มนี้เป็นวิธีที่ดีในการยกย่องสิ่งที่เขาทำ และการเล่นของเขาที่เป็นหัวใจของซาวด์แบบพิงก์ฟลอยด์จริง ๆ การฟังงานช่วงนั้นอีกครั้ง ทำให้ผมรู้สึกชัดเจนว่าฝีมือของเขานั้นพิเศษแค่ไหน"[273]
ดิเอนด์เลสริเวอร์วางจำหน่ายในปีถัดมา แม้จะได้รับคำวิจารณ์หลากหลาย[274] แต่อัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มที่มีการสั่งจองล่วงหน้ามากที่สุดตลอดกาลบนแอมะซอนยูแค[275] และเปิดตัวด้วยอันดับหนึ่งในหลายประเทศ[276][277] เวอร์ชันแผ่นเสียงของอัลบั้มนี้เป็นแผ่นเสียงขายเร็วที่สุดของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 2014 และเร็วที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1997[278] กิลมอร์กล่าวว่าดิเอนด์เลสริเวอร์จะเป็นอัลบั้มสุดท้ายของพิงก์ฟลอยด์ "ผมคิดว่าเราคัดเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่มาใช้ได้สำเร็จแล้ว ... มันน่าเสียดาย แต่นี่คือจุดจบ"[279] พวกเขาไม่ได้ออกทัวร์สนับสนุนอัลบั้มนี้ เนื่องจากกิลมอร์รู้สึกว่าไม่สามารถทำได้หากไรต์ไม่อยู่[280][281] ใน ค.ศ. 2015 กิลมอร์ยืนยันอีกครั้งว่าพิงก์ฟลอยด์ "จบแล้ว" และการกลับมารวมวงโดยไม่มีไรต์นั้นเป็นเรื่องผิด[282]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016 พิงก์ฟลอยด์ออกบ็อกซ์เซตดิเออร์ลีเยียส์ 1965–1972 ซึ่งประกอบด้วยฉากที่ถูกตัด การแสดงสด รีมิกซ์ และฟุตเทจต่าง ๆ จากช่วงแรกของวง[283] ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 วงได้ออกบ็อกซ์เซต เดอะเลเทอร์เยียส์ ซึ่งรวบรวมผลงานของพิงก์ฟลอยด์ในยุคหลังวอเทอส์ โดยมีอัลบั้มอะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซันฉบับรีมิกซ์ที่มีส่วนร่วมของไรต์และเมสันมากขึ้น รวมทั้งฉบับขยายของอัลบั้มแสดงสด เดลิเคตซาวด์ออฟทันเดอร์ ใน ค.ศ. 1988[284] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ได้มีการวางจำหน่ายเดลิเคตซาวด์ออฟทันเดอร์ฉบับรีมาสเตอร์แยกออกมาต่างหากในหลายรูปแบบ[285] และการแสดงสด ไลฟ์แอตเน็บเวิร์ท 1990 (Live at Knebworth 1990) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกจำหน่ายเป็นส่วนหนึ่งของบ็อกซ์เซตเดอะเลเทอร์เยียส์ ก็ได้รับการวางจำหน่ายเป็นซีดีและแผ่นเสียงเมื่อวันที่ 30 เมษายน[286]
ใน ค.ศ. 2018 เมสันได้ตั้งวงใหม่ชื่อว่า นิก เมสันส์ซอเซอร์ฟูลออฟซีเครตส์ เพื่อแสดงผลงานยุคแรกของพิงก์ฟลอยด์ สมาชิกวงประกอบด้วยแกรี เคมป์ แห่งวงสแปนเดาแบเลต์ และกาย แพรตต์ ผู้ร่วมงานกับพิงก์ฟลอยด์มายาวนาน[287] วงได้ออกทัวร์ในยุโรปช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2018[288] และในอเมริกาเหนือใน ค.ศ. 2019[289] วอเทอส์ร่วมแสดงกับวงที่บีคอนเทียเตอร์ในนิวยอร์ก ร้องนำเพลง "เซ็ตเดอะคอนโทรลส์ฟอร์เดอะฮาร์ตออฟเดอะซัน"[290]
ค.ศ. 2022–ปัจจุบัน: "เฮย์, เฮย์, ไรส์อัป!" และความขัดแย้ง
แก้เมสันกล่าวใน ค.ศ. 2018 ว่าแม้เขายังสนิทกับทั้งกิลมอร์และวอเทอส์ แต่ทั้งสองก็ยังคง "ขัดแย้งกันอยู่"[291] การรีมิกซ์อัลบั้มแอนิมัลส์ถูกเลื่อนออกไปจนถึง ค.ศ. 2022 เนื่องจากกิลมอร์และวอเทอส์ตกลงกันไม่ได้เรื่องข้อความกำกับอัลบั้ม[292] วอเทอส์ออกแถลงการณ์กล่าวหากิลมอร์ว่าแอบอ้างความดีความชอบ และยังไม่ยอมให้เขาใช้เว็บไซต์และช่องทางโซเชียลมีเดียของพิงก์ฟลอยด์[292] โรลลิงสโตนรายงานว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดูเหมือนจะตกต่ำถึงขีดสุดอีกครั้ง[292]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 กิลมอร์และเมสันกลับมาในนามพิงก์ฟลอยด์อีกครั้ง พร้อมกับแพรตต์และนักคีย์บอร์ด นิทิน ซอว์นีย์ เพื่อบันทึกซิงเกิล "เฮย์, เฮย์, ไรส์อัป!" ซึ่งเป็นการประท้วงการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยใช้เสียงร้องของอันดรีย์ คลีฟนยุก นักร้องนำวงบูมบอกซ์ ซึ่งนำมาจากวิดีโอบนอินสตาแกรมของคลีฟนยุก ขณะร้องเพลง "โอย อู ลูซี เชอร์โวนา คาลีนา" ในเคียฟ (ชื่อเพลงแปลว่า "โอ้ ดอกไวเบอร์นัมแดงในทุ่งหญ้า" ซึ่งเป็นเพลงปลุกใจของของชาวยูเครนที่แต่งเมื่อ ค.ศ. 1914) กิลมอร์กล่าวว่าการแสดงของคลีฟนยุก "ทรงพลังจนทำให้ผมอยากเอามาใส่ในบทเพลง"[293] "เฮย์, เฮย์, ไรส์อัป!" วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 8 เมษายน โดยรายได้ทั้งหมดนำไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครน กิลมอร์กล่าวว่าสงครามครั้งนี้ทำให้เขาตัดสินใจออกผลงานใหม่ในนามพิงก์ฟลอยด์ เพราะรู้สึกว่าควรช่วยกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงเหตุการณ์นี้[293] เมื่อถูกถามว่าพิงก์ฟลอยด์จะมีผลงานใหม่อีกหรือไม่ กิลมอร์ตอบว่าเพลงนี้เป็น "งานชิ้นเดียวจบ"[294]
พิงก์ฟลอยด์ได้ลบเพลงของวงออกจากบริการสตรีมมิงในรัสเซียและเบลารุส อย่างไรก็ตาม ผลงานของวงร่วมกับวอเทอส์ยังคงอยู่ ทำให้เกิดการคาดเดาว่าวอเทอส์อาจเป็นผู้ขัดขวางการลบ กิลมอร์กล่าวเพียงว่า "ผมรู้สึกผิดหวัง ... จะตีความยังไงก็แล้วแต่"[293] วอเทอส์ปฏิเสธที่จะประณามการรุกรานของรัสเซีย และวิจารณ์เพลง "เฮย์, เฮย์, ไรส์อัป!"[295] ไม่นานหลังจากนั้น กิลมอร์และภรรยา พอลลี แซมสัน ก็ประณามวอเทอส์ทางทวิตเตอร์ว่าเป็น "คนโกหก ขี้ขโมย หน้าไหว้หลังหลอก เลี่ยงภาษี ลิปซิงก์ เหยียดเพศ อิจฉาริษยาบ้าอำนาจ"[295] ใน ค.ศ. 2023 วอเทอส์ออกอัลบั้ม เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนรีดักซ์ ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของอัลบั้มเดิม[296] และพิงก์ฟลอยด์ได้ออกบ็อกซ์เซต เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนฟิฟทิเอทแอนนิเวอร์ซารี[297] ปีถัดมา กิลมอร์ก็ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ห้า ลักแอนด์สเตรนจ์ ซึ่งมีคีย์บอร์ดที่บันทึกเสียงร่วมกับไรต์เมื่อ ค.ศ. 2007[298]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2024 พิงก์ฟลอยด์ตกลงขายแค็ตตาล็อกผลงานให้กับโซนี่มิวสิกด้วยมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ โดยรวมถึงสิทธิ์ในผลงานเพลงของวง สินค้าของที่ระลึก และโครงการต่อยอดต่าง ๆ ยกเว้นสิทธิ์ในตัวบทเพลง[299] นิตยสารวาไรตีรายงานว่าพิงก์ฟลอยด์พยายามขายแค็ตตาล็อกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ติดปัญหาความขัดแย้งภายใน[300] ก่อนการขาย กิลมอร์กล่าวว่าเขาอยาก "หลุดพ้นจากการตัดสินใจและการทะเลาะกันที่ตามมาจากการดูแล[แค็ตตาล็อก] ... คือมีสามคนตอบตกลง แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอม"[301] ภาพยนตร์ พิงก์ฟลอยด์: ไลฟ์แอตปอมเปอี ฉบับรีสโตร์ระดับความละเอียด 4K ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2025 และอัลบั้มเพลงประกอบก็วางจำหน่ายในวันที่ 2 พฤษภาคม[302]
ศิลปะและเทคนิค
แก้การจัดประเภทแนวเพลง
แก้พิงก์ฟลอยด์ถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีไซคีเดลลิกกลุ่มแรก ๆ ของสหราชอาณาจักร โดยเริ่มต้นอาชีพจากการเป็นแนวหน้าในวงการดนตรีใต้ดินของลอนดอน[303][nb 51] โดยได้แสดงที่ยูเอฟโอคลับ และต่อมาที่มิดเดิลเอิร์ท ตามคำกล่าวของโรลลิงสโตน "เมื่อถึง ค.ศ. 1967 พวกเขาก็ได้พัฒนาเสียงเพลงที่มีลักษณะเป็นไซคีเดลลิกอย่างชัดเจน โดยเล่นบทเพลงที่ยาว ดังกึกก้อง และมีลักษณะเหมือนชุดดนตรีต่อเนื่อง ซึ่งแตะไปถึงแนวฮาร์ดร็อก บลูส์ คันทรี โฟล์ก และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์"[306] เพลง "แคร์ฟูลวิทแดตแอ็กซ์, ยูจีน" ที่ออกใน ค.ศ. 1968 ช่วยยืนยันชื่อเสียงของพวกเขาในฐานะวงดนตรีแนวอาร์ตร็อก[93] แนวดนตรีอื่นที่ถูกนำมาใช้เรียกพิงก์ฟลอยด์ ได้แก่ สเปซร็อก,[307] ร็อกทดลอง,[308] แอซิดร็อก,[309][310][311] โพรโท-พร็อก,[312] ป็อปทดลอง (ในยุคของบาร์เรตต์),[313] ไซคีเดลลิกป็อป,[314] และไซคีเดลลิกร็อก[315] นักเขียน ไมก์ คอร์แมก ให้ความเห็นว่าพิงก์ฟลอยด์น่าจะเป็นวงที่มี "ขอบเขตแนวเพลงกว้างที่สุดในวงการร็อก"[316] โดยครอบคลุมตั้งแต่แนวดิสโก, แอมเบียนต์, เมตาร็อก, โฟล์ก, คันทรีแอนด์เวสเทิร์น, บลูส์, ฟรีฟอร์ม, แชมเบอร์ป็อป, และฟรีฟอร์มไซคีเดลเลีย[317]
ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 สื่อมวลชนจัดพิงก์ฟลอยด์ไว้ในหมวดดนตรีไซคีเดลลิกป็อป,[318] โพรเกรสซิฟป็อป[319] และโพรเกรสซิฟร็อก[320] ทำให้พวกเขามีฐานแฟนคลับในฐานะวงไซคีเดลลิกป็อป[318][321][ต้องการเลขหน้า][322] ใน ค.ศ. 1968 ไรต์กล่าวว่า "ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงถูกมองว่าเป็นวงไซคีเดลิกกลุ่มแรกของอังกฤษ เราไม่เคยมองตัวเองแบบนั้นเลย ... เรารู้ว่าเราแค่เล่นกันสนุก ๆ ... ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบดนตรีใดเป็นพิเศษ เราแค่ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ... เน้นไปที่ ... ความเป็นธรรมชาติและการด้นสด"[323] ต่อมาวอเทอส์กล่าวว่า "มันไม่มีอะไรที่ 'ยิ่งใหญ่' เลย พวกเราเป็นพวกน่าขำ เปล่าประโยชน์ เล่นก็ไม่เก่ง เลยต้องหาทางทำอะไรแปลก ๆ แบบ 'ทดลอง' ... ซิดเป็นอัจฉริยะก็จริง แต่ผมไม่อยากกลับไปเล่น 'อินเตอร์สเตลลาร์โอเวอร์ไดรฟ์' วนไปวนมาเป็นชั่วโมง ๆ อีกแล้ว"[324] ด้วยความไม่ยึดติดกับรูปแบบเพลงป็อปทั่วไป พิงก์ฟลอยด์จึงกลายเป็นผู้บุกเบิกแนวเพลงโพรเกรสซิฟร็อกในยุค 1970 และดนตรีแอมเบียนต์ในยุค 1980[325]
การเรียบเรียงดนตรี
แก้— อาลัน ดี แปร์นา (Alan di Perna), ในกีตาร์เวิลด์, พฤษภาคม ค.ศ. 2006
งานกีตาร์ของซิด บาร์เรตต์ และเดวิด กิลมอร์ในพิงก์ฟลอยด์มีอิทธิพลต่อวงการมายาวนาน บาร์เรตต์เป็นมือกีตาร์ผู้ริเริ่ม ที่ใช้เทคนิคพิเศษและสำรวจความเป็นไปได้ทางเสียงและดนตรี เช่น การใช้เสียงไม่กลมกลืน (dissonance), การบิดเบือนเสียง (distortion), การเกิดเสียงย้อนกลับหรือเสียงหอนจากเครื่องขยายเสียง (feedback), เครื่องเอ็กโค (echo machine), เทปเสียง และเอฟเฟกต์อื่น ๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากคีท โรว์ มือกีตาร์แนวฟรีอิมโพรไวส์ของวงแห่งวงเอเอ็มเอ็ม[327][328][329] เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของบาร์เรตต์คือการเล่นกีตาร์ผ่านกล่องเอ็กโคเก่า ๆ พร้อมกับใช้ไฟแช็กซิปโปรูดขึ้นลงบนเฟร็ตบอร์ด[330] เขายังใช้เครื่องบินสันดีเลย์สร้างเสียงเอ็กโคอันเป็นเอกลักษณ์[331] และลำดับเสียงฟรีฟอร์มแบบ "พรมเสียง" (sonic carpets) ที่เขาได้สร้างขึ้น ถือเป็นการเปิดแนวทางใหม่ในการเล่นกีตาร์ร็อก[332]
นักวิจารณ์จากโรลลิงสโตนอย่างอาลัน ดี แปร์นา (Alan di Perna) ยกย่องผลงานกีตาร์ของกิลมอร์ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในเสียงของพิงก์ฟลอยด์[326] และเรียกเขาว่าเป็นมือกีตาร์ที่สำคัญที่สุดในยุค 1970 พร้อมระบุว่าเขาคือ "จุดเชื่อมต่อที่ขาดหายไปที่ขาดหายระหว่างเฮนดริกซ์กับแวน เฮเลน"[333] โรลลิงสโตนจัดให้กิลมอร์ติดอันดับที่ 14 ในรายชื่อนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[333] ใน ค.ศ. 2006 กิลมอร์กล่าวถึงเทคนิคของตนว่า "นิ้ว[ของผม]จะทำให้เกิดเสียงเฉพาะตัว ... [มัน]อาจจะไม่เร็วมาก แต่ผมคิดว่าทันทีที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นผม ... วิธีที่ผมเล่นเมโลดี้ได้รับอิทธิพลจากแฮงก์ มาร์วิน แห่งวงเดอะชาโดวส์"[334] ความสามารถของกิลมอร์ในการใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวเพื่อสื่ออารมณ์โดยไม่สูญเสียพลังและความงามนั้น ทำให้เขาได้รับการเปรียบเปรยกับไมลส์ เดวิส นักทรัมเป็ตแจ๊สชื่อดัง[335]
ใน ค.ศ. 2006 จิมมี บราวน์ (Jimmy Brown) นักเขียนจากกีตาร์เวิลด์ (Guitar World) อธิบายว่าสไตล์กีตาร์ของกิลมอร์นั้น "โดดเด่นด้วยริฟฟ์เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โซโล่ที่วางจังหวะอย่างชาญฉลาด และเนื้อเสียงของคอร์ดที่ให้บรรยากาศเข้มข้น"[335] บราวน์กล่าวว่าโซโล่ของกิลมอร์ในเพลง "มันนี", "ไทม์" และ "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" นั้น "ตัดทะลุผ่านเสียงดนตรีอื่น ๆ ในเพลง ราวกับลำแสงแสงเลเซอร์ตัดผ่านหมอก"[335] เขายกย่องโซโล่ในเพลง "ไทม์" ว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกด้านการวางวลีและพัฒนาทำนอง ... กิลมอร์ค่อย ๆ เดินทำนองและต่อยอดแนวคิดหลักของเขา โดยการทะยานสู่ช่วงเสียงที่สูงขึ้นพร้อมกับการดันสายแบบ 'โอเวอร์เบนด์' (over bend) ขึ้นไปหนึ่งขั้นเสียงและหนึ่งกับอีกครึ่งขั้นเสียง ซึ่งให้อารมณ์บีบคั้นหัวใจ รวมถึงอาร์เปจจีโอแบบสามพยางค์ที่ลึกซึ้งกินใจ และการใช้ไวบราโตโดยไร้ที่ติตามแบบฉบับของเขา"[336] บราวน์ยังชี้ว่า การวางวลีของกิลมอร์นั้นอาศัยสัญชาตญาณและอาจเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่าที่สุดในฐานะมือกีตาร์นำ กิลมอร์อธิบายวิธีการได้มาซึ่งเสียงกีตาร์แบบเฉพาะตัวไว้ว่า "ปกติผมจะใช้ฟัซบ็อกซ์ (fuzz box), ดีเลย์ (delay) แล้วก็ปรับอีคิว (equalizer) ให้สว่าง ... เพื่อให้ได้เสียงยืด (sustain) ที่พุ่งและกังวาน ... คุณต้องเล่นเสียงดัง ใกล้กับจุดที่เกิดเสียงย้อนกลับ (feedback) มันทำให้สนุกกว่ามาก ... เมื่อเสียงดันสายเฉือนผ่านตัวคุณราวกับใบมีดโกน"[335]
การทดลองด้านเสียง
แก้ตลอดเส้นทางอาชีพ พิงก์ฟลอยด์ได้ทดลองสร้างสรรค์เสียงดนตรีของตนอย่างต่อเนื่อง ซิงเกิลที่สองของวงอย่าง "ซีเอมิลีเพลย์" เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 ที่ควีนเอลิซาเบธฮอลล์ในลอนดอน โดยในการแสดงครั้งนั้น วงได้ใช้เครื่องสร้างเสียงสี่ทิศทางยุคแรกที่เรียกว่า Azimuth Co-ordinator เป็นครั้งแรก[337] เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ควบคุมเสียง ซึ่งโดยมากคือไรต์ สามารถปรับเปลี่ยนทิศทางของเสียงที่ขยายผ่านเครื่องขยายเสียง ร่วมกับเสียงเทปบันทึก ให้กระจายออกไปรอบทิศทางถึง 270 องศาภายในสถานที่แสดง สร้างเอฟเฟกต์เสียงหมุนวนรอบตัวผู้ชม[338] ใน ค.ศ. 1972 วงได้ซื้อระบบขยายเสียงแบบสั่งทำพิเศษที่สามารถกระจายเสียงแบบสี่ทิศทางรอบตัวได้ 360 องศา ซึ่งเป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจากระบบเดิม[339]
วอเทอส์ทดลองใช้เครื่องสังเคราะห์เสียง VCS 3 กับเพลงของพิงก์ฟลอยด์ เช่น "ออนเดอะรัน", "เวลคัมทูเดอะแมชีน" และ "อินเดอะเฟลช?"[340] เขายังใช้เครื่องดีเลย์ Binson Echorec กับเสียงเบสในเพลง "วันออฟดีสเดส์"[341]
ในระหว่างการบันทึกเสียงอัลบั้มเดอะไฟนัลคัต พิงก์ฟลอยด์ได้ใช้เอฟเฟกต์เสียงที่ล้ำสมัยและเทคโนโลยีการบันทึกเสียงที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น การมีส่วนร่วมของเมสันในอัลบั้มนี้แทบทั้งหมดอยู่ในรูปแบบของการทำงานร่วมกับระบบเสียงสามมิติที่เรียกว่าระบบฮอโลโฟนิกส์ ซึ่งเป็นเทคนิคประมวลผลเสียงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างเอฟเฟกต์เสียงรอบทิศทางแบบสามมิติ ระบบนี้ใช้เทปเสียงสเตอริโอทั่วไปในการจำลองให้เสียงเหมือนเคลื่อนที่ไปรอบศีรษะผู้ฟังเมื่อสวมใส่หูฟัง โดยวิศวกรเสียงสามารถจำลองเสียงให้เคลื่อนที่ไปยังด้านหลัง เหนือ หรือข้างหูของผู้ฟังได้[342]
เพลงประกอบภาพยนตร์
แก้พิงก์ฟลอยด์ ซึ่งผลงานดนตรีของพวกเขาถูกขนานนามว่า "เหมาะกับการใช้ประกอบภาพยนตร์โดยเฉพาะ"[343] ยังมีผลงานแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์อยู่หลายเรื่อง โดยเริ่มจาก เดอะคอมมิตที ใน ค.ศ. 1968[344] ใน ค.ศ. 1969 พวกเขาแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ มอร์ ของผู้กำกับบาร์เบต ชโรเดอร์ ซึ่งนอกจากจะเป็นงานที่มีรายได้ดีแล้ว เพลงบางส่วนจากภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกนำมาใช้ในคอนเสิร์ตของวงร่วมกับผลงานจากอัลบั้มอะซอเซอร์ฟูลออฟซีเครตส์อยู่ระยะหนึ่งหลังจากนั้น[345] ระหว่างการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ซาบริสกีพอยต์ ของผู้กำกับมีเกลันเจโล อันโตนีโอนี สมาชิกวงพำนักอยู่ที่โรงแรมหรูในกรุงโรมเป็นเวลาราวหนึ่งเดือน วอเทอส์กล่าวว่า หากไม่มีการแก้ไขเพลงอย่างต่อเนื่องของอันโตนีโอนี งานคงเสร็จสิ้นภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ท้ายที่สุด อันโตนีโอนีใช้เพลงของวงเพียงสามชิ้น หนึ่งในเพลงที่ถูกปฏิเสธ ซึ่งมีชื่อว่า "The Violent Sequence" ภายหลังถูกนำมาปรับใหม่เป็นเพลง "อัสแอนด์เดม" ในอัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน ค.ศ. 1973[346] ใน ค.ศ. 1971 วงได้ร่วมงานกับชโรเดอร์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง La Vallée ซึ่งพวกเขาได้ออกอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ในชื่อ อ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ เพลงในอัลบั้มนี้แต่งและบันทึกเสียงกันภายในเวลาราวหนึ่งสัปดาห์ที่ Château d'Hérouville ใกล้กรุงปารีส และเมื่อออกวางจำหน่าย อัลบั้มนี้ก็กลายเป็นผลงานชุดแรกของพิงก์ฟลอยด์ที่สามารถขึ้นติด 50 อันดับแรกของชาร์ตบิลบอร์ดสหรัฐได้[347]
การแสดงสด
แก้พิงก์ฟลอยด์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการแสดงดนตรีสด และเป็นที่รู้จักจากการจัดเวทีอย่างยิ่งใหญ่อลังการ พวกเขายังยกระดับมาตรฐานด้านคุณภาพเสียง ด้วยการใช้เอฟเฟกต์เสียงนวัตกรรมใหม่และระบบลำโพงเสียงรอบทิศทางแบบควอดราโฟนิก[348] ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม วงได้นำเสนอภาพและแสงเพื่อประกอบดนตรีไซคีเดลลิกในสถานที่แสดงอย่างยูเอฟโอคลับที่ลอนดอน[45] การแสดงด้วยสไลด์และแสงของพวกเขานับเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกของวงร็อกอังกฤษ และช่วยให้พวกเขาได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฟังดนตรีใต้ดินของลอนดอน[306]
เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวนิตยสารอินเตอร์เนชันแนลไทมส์ของลอนดอนฟรีสกูล (London Free School) ใน ค.ศ. 1966 พิงก์ฟลอยด์ได้แสดงต่อหน้าผู้ชม 2,000 คน ที่งานเปิดตัวอาคารราวด์เฮาส์ ซึ่งมีคนดังเข้าร่วมอย่างเช่น พอล แม็กคาร์ตนีย์ และแมรีแอนน์ เฟทฟูล[349] กลางปีเดียวกัน ปีเตอร์ วินน์-วิลสัน (Peter Wynne-Willson) ผู้จัดการทัวร์ ได้เข้าร่วมทีมงานของวง และได้นำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ สำหรับชุดแสงของวง เช่น การใช้โพลาไรเซอร์ กระจกเงา และถุงยางอนามัยยืด[350] หลังจากเซ็นสัญญากับอีเอ็มไอ พิงก์ฟลอยด์ได้ซื้อรถตู้ฟอร์ดทรานซิต ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นการเดินทางของวงดนตรีที่หรูหรา[351] เมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1967 พวกเขาเป็นเฮดไลน์ในงาน "เดอะโฟร์ทีนอาวร์เทคนิคัลเลอร์ดรีม" ซึ่งเป็นกิจกรรมตลอดทั้งคืนที่อเล็กซานดราพาเลซในลอนดอน โดยวงมาถึงงานตอนประมาณตีสาม หลังจากเดินทางไกลจากเนเธอร์แลนด์ด้วยรถตู้และเรือเฟอร์รี่ และได้ขึ้นแสดงพอดีกับช่วงพระอาทิตย์กำลังขึ้น[352][nb 52] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1969 ด้วยเนื้อหาเพลงที่เกี่ยวกับอวกาศ พวกเขาได้เข้าร่วมรายการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์บีบีซีในโอกาสการลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอะพอลโล 11 โดยได้แสดงเพลงบรรเลงที่ตั้งชื่อว่า "มูนเฮด" (Moonhead)[354]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1974 พวกเขาได้นำจอฉายภาพทรงกลมขนาดใหญ่มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำการแสดงสดของวง[355] ใน ค.ศ. 1977 พวกเขานำหุ่นหมูเป่าลมยักษ์ลอยฟ้าที่ชื่อ "Algie" มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโชว์ ซึ่งบรรจุฮีเลียมและโพรเพน และในช่วงหนึ่งของทัวร์อินเดอะเฟลช หุ่นนี้จะระเบิดพร้อมเสียงดังสนั่นขณะลอยอยู่เหนือผู้ชม[356] พฤติกรรมของผู้ชมในระหว่างทัวร์นี้ และขนาดเวทีที่ใหญ่โต ส่งผลต่อแรงบันดาลใจในการสร้างคอนเซปต์อัลบั้ม เดอะวอลล์ ทัวร์คอนเสิร์ตของอัลบั้มนี้มีการสร้างกำแพงสูง 40 ฟุต (12 เมตร) ซึ่งสร้างจากกล่องกระดาษแข็งตั้งอยู่ระหว่างวงและผู้ชม พร้อมกับการฉายแอนิเมชันลงบนกำแพงนี้ และมีช่องเปิดเพื่อให้ผู้ชมเห็นฉากจากเรื่องราวต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีหุ่นเป่าลมยักษ์หลายตัวที่สื่อถึงตัวละครจากเนื้อเรื่อง[357] หนึ่งในช่วงสำคัญของทัวร์คือการแสดงเพลง "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" โดยในขณะที่วอเทอส์ร้องท่อนแรกท่ามกลางความมืด กิลมอร์จะยืนรอท่อนของเขาอยู่บนยอดของกำแพง และเมื่อถึงท่อนนั้น ไฟสีฟ้าและขาวสว่างจ้าจะเปิดเผยให้เห็นเขายืนอยู่บนกล่องเก็บอุปกรณ์ที่ติดล้อ และมีช่างเทคนิคคอยค้ำยันจากด้านหลัง พร้อมทั้งมีแท่นยกไฮดรอลิกขนาดใหญ่รองรับทั้งตัวกิลมอร์และช่างเทคนิค[358]
ในระหว่างดิวิชันเบลล์ทัวร์ ได้มีบุคคลไม่ระบุตัวตนที่ใช้ชื่อ "Publius" โพสต์ข้อความในกลุ่มข่าวสารอินเทอร์เน็ตเชิญชวนแฟนเพลงให้ร่วมไขปริศนาที่เชื่อว่าซ่อนอยู่ในอัลบั้มใหม่นี้ โดยในการแสดงที่อีสต์รัทเทอร์ฟอร์ด รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา มีการจัดแสงหน้าเวทีเป็นคำว่า "Enigma Publius" และในคอนเสิร์ตถ่ายทอดสดที่เอิลส์คอร์ตเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1994 คำว่า "enigma" ยังถูกฉายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่บนฉากหลังของเวที เมสันได้ยอมรับในภายหลังว่าปริศนา Publius Enigma นี้เป็นแนวคิดจากบริษัทบันทึกเสียง ไม่ใช่จากตัววงเอง[242]
แนวคิดของเนื้อเพลง
แก้ภายใต้เนื้อเพลงที่เปี่ยมด้วยแนวคิดเชิงปรัชญาของวอเทอส์ โรลลิงสโตนเคยบรรยายพิงก์ฟลอยด์ว่าเป็น "ผู้ถ่ายทอดภาพแห่งโลกทัศน์อันมืดมนในแบบเฉพาะตัว"[309] เจอรี โอ'นีลล์ เซอร์เบอร์ (Jere O'Neill Surber) นักเขียนเชิงปรัชญา เขียนไว้ว่า "สิ่งที่พวกเขาสนใจคือความจริงกับภาพลวงตา ชีวิตกับความตาย เวลากับอวกาศ เหตุผลกับความบังเอิญ ความเห็นอกเห็นใจกับความเฉยเมย"[359] วอเทอส์เคยระบุว่า อารมณ์ร่วมเป็นแก่นกลางของเนื้อเพลงในงานของพิงก์ฟลอยด์[360] นักเขียน จอร์จ ไรช์ (George Reisch) อธิบายเพลง "เอโคส์" จากอัลบั้มเมดเดิล ว่าเป็นบทเพลงแนวไซคีเดลลิกที่ "สร้างขึ้นจากแนวคิดหลักเรื่องการสื่อสารอย่างจริงใจ ความเห็นใจ และการร่วมมือกับผู้อื่น"[361] แม้วอเทอส์จะเคยถูกเรียกว่า "ชายผู้หม่นหมองที่สุดในวงการร็อก" แต่นักเขียน ดีนา ไวน์สไตน์ (Deena Weinstein) ชี้ว่าวอเทอส์เป็นอัตถิภาวนิยม (existentialist) โดยปัดคำเรียกที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนี้ว่าเป็นผลจากการตีความที่ผิดพลาดของนักวิจารณ์ดนตรี[362]
ความผิดหวัง การไม่อยู่ และการไม่มีตัวตน
แก้เนื้อเพลง "แฮฟอะซิการ์" ของวอเทอส์จากอัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์ กล่าวถึงความไม่จริงใจที่เขารับรู้ได้จากตัวแทนในอุตสาหกรรมดนตรี[363] เพลงนี้สะท้อนความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างวงดนตรีกับผู้บริหารค่ายเพลง ที่กล่าวแสดงความยินดีกับยอดขายของวงราวกับว่าอยู่ในทีมเดียวกัน แต่กลับเปิดเผยว่าเขาเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า "พิงก์" (Pink) เป็นชื่อของสมาชิกคนหนึ่งของวง[364] เดวิด เดตเมอร์ (David Detmer) นักเขียน วิเคราะห์ว่าเนื้อหาของอัลบั้มนี้เกี่ยวข้องกับ "แง่มุมที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของโลกแห่งการค้า" ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ศิลปินจำเป็นต้องเผชิญเพื่อให้ผลงานไปถึงผู้ฟัง[365]
"การไม่อยู่" เป็นแนวคิดสำคัญในเนื้อเพลงของพิงก์ฟลอยด์ ตัวอย่างเช่น การหายไปของบาร์เรตต์หลัง ค.ศ. 1968 และการไม่อยู่ของพ่อของวอเทอส์ที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื้อเพลงของวอเทอส์ยังสะท้อนถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่ไม่เป็นจริง และความพยายามที่ล้มเหลวหลายประการ เพลงประกอบภาพยนตร์อ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ กล่าวถึงการสูญเสียพลังชีวิตแบบวัยหนุ่มสาวที่บางครั้งมาพร้อมกับวัยที่เพิ่มมากขึ้น[366] สตอร์ม ทอร์เกอร์สัน (Storm Thorgerson) ผู้ออกแบบปกอัลบั้มของพิงก์ฟลอยด์มาอย่างยาวนาน ได้อธิบายเกี่ยวกับเนื้อเพลงของอัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์ว่า "แนวคิดเรื่องการมีอยู่ที่ถูกกดไว้ การที่ผู้คนแสร้งว่ามีตัวตนทั้งที่จิตใจล่องลอยไปที่อื่น และกลไกทางจิตวิทยาที่ผู้คนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงตัวตนที่แท้จริง สุดท้ายทั้งหมดหลอมรวมเป็นธีมเดียว คือ การไม่อยู่: การไม่อยู่ของบุคคล การไม่อยู่ของความรู้สึก"[367][nb 53] วอเทอส์กล่าวเสริมว่า "เพลงนี้เกี่ยวกับการไม่อยู่ของเราทุกคน ... [มัน]ควรจะถูกเรียกว่า วิชวีเวอร์เฮียร์ (Wish We Were Here)"[368] ไมก์ คอร์แมก (Mike Cormack) นักวิจารณ์เพลง ก็ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดการไม่อยู่ ปรากฏอยู่ในบทเพลงหลายชิ้นของพิงก์ฟลอยด์ ตั้งแต่เพลง "เพนต์บอกซ์" (Paintbox) ที่ร้องว่า "I open the door to an empty room / Then I forget" (ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า / แล้วฉันก็ลืม) ไปจนถึง "ซัมเมอร์ '68" (Summer '68) ที่ร้องว่า "She left six hours ago" (เธอออกไปเมื่อหกชั่วโมงก่อน), "แซนโทรเพ" (Saint Tropez) ที่ร้องว่า "And if you're alone / I'll come home" (และถ้าคุณอยู่คนเดียว / ฉันจะกลับบ้าน) ไปจนถึง "ไชน์ออนยูเครซีไดมอนด์", "วิชยูเวอร์เฮียร์", "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" และ "แพรานอยด์อายส์" (Paranoid Eyes) ที่ร้องว่า "You can hide, hide, hide / Behind petrified eyes" (เธอสามารถซ่อน ซ่อน ซ่อน / อยู่หลังดวงตาที่กลายเป็นหิน)[369]
วอเทอส์ได้กล่าวถึงแนวคิด "การไม่มีตัวตน" หรือ "การไร้การดำรงอยู่" ในเนื้อเพลง "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" จากอัลบั้มเดอะวอลล์ที่ร้องว่า "I caught a fleeting glimpse, out of the corner of my eye. I turned to look, but it was gone, I cannot put my finger on it now, the child is grown, the dream is gone." (ฉันเหลือบไปเห็นบางอย่างแวบหนึ่ง, จากหางตาของฉัน, ฉันหันไปดู, แต่มันก็หายไป, ตอนนี้ฉันแตะต้องมันไม่ได้แล้ว, เด็กคนนั้นโตขึ้น, ความฝันได้หายไปแล้ว)[366] ขณะที่บาร์เรตต์ก็ได้พูดถึงแนวคิดนี้ในบทเพลงสุดท้ายที่เขามีส่วนร่วมกับวงในชื่อเพลงว่า "จั๊กแบนด์บลูส์" (Jugband Blues) ที่ร้องว่า "I'm most obliged to you for making it clear that I'm not here." (ฉันต้องขอขอบคุณคุณที่ทำให้ชัดเจนว่า ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่)[366]
การแสวงหาผลประโยชน์และการกดขี่
แก้แพทริก ครอสเกอรี (Patrick Croskery) นักเขียน ได้อธิบายอัลบั้มแอนิมัลส์ว่าเป็นการผสมผสานที่โดดเด่นระหว่าง "เสียงอันทรงพลังและธีมชวนคิด" จากเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน กับการพรรณนาถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวของศิลปินในเดอะวอลล์[370] เขาเปรียบเทียบเนื้อหาทางการเมืองของอัลบั้มกับนวนิยายแอนิมัลฟาร์มของจอร์จ ออร์เวลล์[370] อัลบั้มแอนิมัลส์เริ่มต้นด้วยการทดลองทางความคิดที่ตั้งคำถามว่า "If you didn't care what happened to me. And I didn't care for you" (ถ้าคุณไม่แคร์ว่าฉันจะเป็นอย่างไร และฉันก็ไม่แคร์คุณเช่นกัน) จากนั้นจึงพัฒนาเป็นนิทานเปรียบเทียบที่ใช้ตัวละครสัตว์ซึ่งมีลักษณะเหมือนมนุษย์ เพื่อสะท้อนสภาวะทางจิตใจของแต่ละประเภทด้วยเสียงดนตรี ท้ายที่สุดแล้ว เนื้อเพลงได้วาดภาพของโลกดิสโทเปีย ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของโลกที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจและเมตตา เป็นคำตอบที่ย้อนกลับไปยังคำถามในบรรทัดเปิดเพลง[371]
ตัวละครในอัลบั้มนี้ประกอบด้วย "สุนัข" ซึ่งแทนทุนนิยมที่ดุเดือด "หมู" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการคอร์รัปชันทางการเมือง และ "แกะ" ซึ่งแทนกลุ่มคนที่ถูกกดขี่[372] ครอสเกอรีอธิบายว่า "แกะ" อยู่ใน "สภาวะหลงผิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่บิดเบือน" หรือที่เรียกว่า จิตสำนึกที่ผิดพลาด (false consciousness)[373] ขณะที่ "สุนัข" ซึ่งมุ่งมั่นแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและความสำเร็จกลับลงเอยด้วยความสิ้นหวัง โดดเดี่ยว และไม่ไว้ใจใครเลย ปราศจากความพึงพอใจทางอารมณ์หลังจากชีวิตที่เต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์[374] วอเทอส์ยกแมรี ไวต์เฮาส์ เป็นตัวอย่างของ "หมู" ในฐานะบุคคลที่เขามองว่าใช้กลไกรัฐเพื่อยัดเยียดคุณค่าของตนเองให้กับสังคม[375] ในตอนท้ายของอัลบั้ม วอเทอส์กลับมาสู่ประเด็นเรื่องความเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง โดยกล่าวในเนื้อเพลงว่า "You know that I care what happens to you. And I know that you care for me too." (คุณก็รู้ว่าฉันแคร์ว่าคุณจะเป็นอย่างไร และฉันก็รู้ว่าคุณแคร์ฉันเช่นกัน)[376] อย่างไรก็ตาม เขาก็ยอมรับว่าบรรดา "หมู" ยังคงเป็นภัยคุกคามอยู่ และเผยว่าเขาเองก็เป็น "สุนัข" ที่ต้องการที่พึ่งพิง ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างรัฐ ทุน และชุมชน แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด[377]
ความแปลกแยก สงคราม และความวิกลจริต
แก้—วอเทอส์, อ้างจากแฮร์ริส, ค.ศ. 2005
โอ'นีลล์ เซอร์เบอร์ เปรียบเทียบเนื้อเพลง "เบรนแดเมจ" จากอัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน กับแนวคิดเรื่องการแปลกแยกจากตนเอง (self-alienation) ของคาร์ล มาคส์ โดยยกวรรค "there's someone in my head, but it's not me." (มีใครบางคนในหัวฉัน แต่มันไม่ใช่ฉัน) มาเป็นตัวอย่าง[379][nb 54] ส่วนเพลง "เวลคัมทูเดอะแมชีน" จากอัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์ ก็สะท้อนแนวคิดของมาคส์เรื่องการแปลกแยกจากสิ่งของ กล่าวคือ ตัวละครในเพลงหลงใหลกับวัตถุจนกลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาตัวเองและคนอื่น[379] แนวคิดเรื่องการแปลกแยกจากธรรมชาติความเป็นมนุษย์ปรากฏในอัลบั้มแอนิมัลส์ โดยที่ "สุนัข" กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ตามสัญชาตญาณ ไม่ต่างจากสัตว์ทั่วไป[380] เดตเมอร์อธิบายว่า "สุนัข" พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่ออธิบายความไม่ซื่อสัตย์ของตน ว่าเป็นสิ่ง "จำเป็นและสมเหตุสมผล" ใน "โลกที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจและหลักศีลธรรม"[381] การแปลกแยกจากผู้อื่นเป็นธีมที่พบได้อย่างสม่ำเสมอในเนื้อเพลงของพิงก์ฟลอยด์ และถือเป็นแก่นสำคัญของอัลบั้มเดอะวอลล์[379]
สงคราม ซึ่งถือเป็นผลร้ายที่สุดของการแปลกแยกจากผู้อื่น ก็เป็นธีมหลักของเดอะวอลล์ และเป็นประเด็นที่เกิดซ้ำในผลงานของวง[382] พ่อของวอเทอส์เสียชีวิตในสนามรบช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเนื้อเพลงของเขามักกล่าวถึงต้นทุนของสงคราม เช่นในเพลง "คอร์เพอเริลเคล็กก์" (ค.ศ. 1968), "ฟรีโฟร์" (ค.ศ. 1972), "อัสแอนด์เดม" (ค.ศ. 1973), "เวนเดอะไทเกอส์โบรกฟรี" และ "เดอะเฟลตเชอร์เมโมเรียลโฮม" จากอัลบั้มเดอะไฟนัลคัต (ค.ศ. 1983) ซึ่งเป็นอัลบั้มที่อุทิศแด่พ่อของเขา โดยมีคำขยายว่า A Requiem for the Postwar Dream (บทเพลงไว้อาลัยแด่ความฝันหลังสงคราม)[383] เนื้อหาและโครงสร้างของเดอะวอลล์สะท้อนวัยเด็กของวอเทอส์ในสังคมอังกฤษที่ขาดแคลนผู้ชายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงในชีวิต[384]
เนื้อเพลงของวอเทอส์ในเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน กล่าวถึงแรงกดดันของชีวิตสมัยใหม่ และผลกระทบที่อาจทำให้เกิดภาวะจิตเสีย[385] วอเทอส์มองว่าการนำเสนอปัญหาสุขภาพจิตในอัลบั้มนี้เป็นการฉายภาพของสภาวะสากลของมนุษย์[386] อย่างไรก็ตาม เขายังต้องการให้อัลบั้มสื่อถึงด้านบวก โดยเรียกมันว่า "เสียงเรียกร้อง ... ให้โอบรับสิ่งดีและปฏิเสธสิ่งร้าย"[387] ไรช์อธิบายว่าเดอะวอลล์ "พูดถึงไม่ใช่แค่สภาวะวิกลจริต แต่ยังรวมถึงบรรดาสถาบัน กฎเกณฑ์ และโครงสร้างสังคมที่สร้างหรือก่อให้เกิดความวิกลจริต"[388] ตัวละคร "พิงก์" ในอัลบั้ม ไม่สามารถรับมือกับปัญหาในชีวิตได้ เขาถูกความรู้สึกผิดครอบงำและค่อย ๆ ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก สร้างกำแพงขึ้นมาขังตนเองไว้ เมื่อการแยกตัวเสร็จสมบูรณ์ เขาตระหนักว่าเขา "crazy, over the rainbow" (บ้าไปแล้ว เกินจะเรียกกลับ)[389] เขาเริ่มตั้งคำถามว่าความผิดทั้งหมดอาจเป็นของเขาเอง "have I been guilty all this time?" (ฉันผิดมาตลอดงั้นหรือ?)[389] เขาเชื่อว่าเขาทำให้ทุกคนผิดหวัง แม่ของเขาที่รักมากเกินไป ครูที่ตำหนิความฝันในบทกวีของเขา และภรรยาที่มีเหตุผลในการจากไป เขาจึงถูกตัดสินในฐานที่เขา "showing feelings of an almost human nature" (แสดงอารมณ์ราวกับเป็นมนุษย์) ซึ่งยิ่งตอกย้ำความแปลกแยกจากธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในตัวเขาเอง[390] เช่นเดียวกับแนวคิดของนักปรัชญา มีแชล ฟูโก เนื้อเพลงของวอเทอส์เสนอว่า ความบ้าคลั่งของพิงก์เป็นผลลัพธ์ของชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วย "ขนบ การพึ่งพา และพยาธิสภาพทางจิต" ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ในใจ ตามการวิเคราะห์ของไรช์[391]
มรดกและอิทธิพล
แก้พิงก์ฟลอยด์ถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในด้านการค้าและอิทธิพลทางดนตรีตลอดกาล[392] ด้วยยอดจำหน่ายทั่วโลกมากกว่า 250 ล้านชุด โดยมียอดจำหน่ายที่ได้รับการรับรองจำนวน 75 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และมียอดจำหน่ายในสหรัฐนับตั้งแต่ ค.ศ. 1993 รวม 37.9 ล้านชุด[393] จากการจัดอันดับซันเดย์ไทมส์ริชลิสต์ ในหัวข้อเศรษฐีดนตรี ค.ศ. 2013 (Music Millionaires 2013) ในสหราชอาณาจักร วอเทอส์อยู่ในอันดับที่ 12 ด้วยทรัพย์สินราว 150 ล้านปอนด์, กิลมอร์ในอันดับที่ 27 ที่ 85 ล้านปอนด์ และเมสันในอันดับที่ 37 ที่ 50 ล้านปอนด์[394]
ใน ค.ศ. 2003 นิตยสารโรลลิงสโตนได้จัดอันดับ 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล โดยให้อัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนอยู่ในอันดับที่ 43,[395] เดอะวอลล์ อันดับที่ 87,[396] วิชยูเวอร์เฮียร์ อันดับที่ 209[397] และเดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น อันดับที่ 347[398] ส่วนในการจัดอันดับ 500 เพลงยอดเยี่ยมตลอดกาลใน ค.ศ. 2004 โรลลิงสโตนได้จัดเพลง "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" อยู่ในอันดับที่ 314, "วิชยูเวอร์เฮียร์" อันดับที่ 316 และ "อะนาเทอร์บริกอินเดอะวอลล์, พาร์ต 2" อันดับที่ 375[399]
ใน ค.ศ. 2004 เอ็มเอสเอ็นบีซีได้จัดอันดับให้พิงก์ฟลอยด์อยู่ในอันดับที่ 8 ของ "10 วงร็อกยอดเยี่ยมตลอดกาล"[400] ในปีเดียวกัน นิตยสารคิวก็ยกให้พิงก์ฟลอยด์เป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยใช้ "ระบบคะแนนที่พิจารณายอดขายของอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุด ขนาดของการแสดงสดที่มีผู้ชมมากที่สุด และจำนวนสัปดาห์รวมที่อัลบั้มของวงอยู่บนชาร์ตในสหราชอาณาจักร"[401] โรลลิงสโตนได้จัดอันดับพิงก์ฟลอยด์ในอันดับที่ 51 ของ "100 ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"[402] ส่วนวีเอชวันจัดไว้ที่อันดับ 18 ของ "100 ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"[403] ขณะที่นักวิจารณ์เพลงอย่างคอลิน ลาร์คิน จัดให้พิงก์ฟลอยด์อยู่อันดับที่ 3 ในรายชื่อ '50 ศิลปินตลอดกาล' โดยอ้างอิงจากผลโหวตสะสมของอัลบั้มของแต่ละศิลปินที่มีอยู่ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ออลไทม์ท็อปวันเทาซันด์อัลบั้ม (1,000 อัลบั้มยอดนิยมตลอดกาล)[404] ใน ค.ศ. 2008 อเล็กซิส เพทริดิส นักวิจารณ์ดนตรีป็อปคนหลักของเดอะการ์เดียน เขียนว่า "ผ่านไป 30 ปี โพรเกรสซิฟร็อกก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ [...] เว้นแต่พิงก์ฟลอยด์ ซึ่งไม่เคยเป็นวงโพรเกรสซิฟจริงจัง เพียงแค่ชอบเพลงยาว ๆ และ 'คอนเซปต์' เท่านั้น ที่ได้รับการยอมรับในรายชื่ออัลบั้มยอดเยี่ยม 100 อันดับแรก"[405] นักเขียน เอริก โอลเซน เรียกพิงก์ฟลอยด์ว่า "วงมัลติแพลทินัมที่ทั้งเพี้ยนที่สุดและทดลองที่สุดในยุคอัลบั้มร็อก"[406]
พิงก์ฟลอยด์ได้รับรางวัลหลายรายการ ใน ค.ศ. 1981 เจมส์ กัทรี วิศวกรเสียง ได้รับรางวัลแกรมมีในสาขา "อัลบั้มประเภทไม่ใช่คลาสสิกที่มีงานวิศวกรรมยอดเยี่ยม" (Best Engineered Non-Classical Album) จากอัลบั้มเดอะวอลล์ และใน ค.ศ. 1983 โรเจอร์ วอเทอส์ได้รับรางวัลแบฟตาในสาขา "เพลงต้นฉบับที่เขียนขึ้นสำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" (Best Original Song Written for a Film) จากเพลง "อะนาเทอร์บริกอินเดอะวอลล์" ในภาพยนตร์พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์[407] ใน ค.ศ. 1995 วงได้รับรางวัลแกรมมีในสาขา "การแสดงดนตรีบรรเลงร็อกยอดเยี่ยม" (Best Rock Instrumental Performance) จากเพลง "มารูนด์"[408] ใน ค.ศ. 2008 สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน ก็ได้พระราชทานรางวัลโพลาร์มิวสิก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรางวัลสูงสุดทางดนตรีของประเทศสวีเดน "สำหรับการมีส่วนสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ตลอดหลายทศวรรษ ในการผสมผสานศิลปะและดนตรีในการพัฒนาของวัฒนธรรมสมัยนิยม"[409][410] โดยมีวอเทอส์และเมสันเข้ารับรางวัลพระราชทานนี้ พิงก์ฟลอยด์ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลใน ค.ศ. 1996, หอเกียรติยศดนตรีของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 2005 และหอเกียรติยศฮิตพาเรดใน ค.ศ. 2010[411]
พิงก์ฟลอยด์มีอิทธิพลต่อศิลปินจำนวนมาก ทั้งเดวิด โบวี ได้ยกให้บาร์เรตต์เป็นผู้สร้างแรงบรรดาลใจคนสำคัญ ส่วนดิเอดจ์ มือกีตาร์วงยูทู ได้ซื้อดีเลย์เพดัลตัวแรกหลังจากได้ยินเสียงคอร์ดกีตาร์ขึ้นต้นเพลง "ด็อกส์" จากอัลบั้มแอนิมัลส์[412] ศิลปินและวงดนตรีอื่นที่ได้รับอิทธิพลจากพิงก์ฟลอยด์ ได้แก่ ควีน, เรดิโอเฮด, สตีเวน วิลสัน, มาริลเลียน, ควีนสไรก์, ไนน์อินช์เนลส์, ดิออร์บ และเดอะสแมชชิงพัมป์กินส์[413] พวกเขายังมีอิทธิพลต่อแนวนีโอ-พร็อก ซึ่งเป็นแนวเพลงย่อยที่แยกตัวออกมาในในคริสต์ทศวรรษ 1980[414] วงร็อกอังกฤษ โมสต์ลีออทัมน์ ได้ผสานแนวดนตรีของเจเนซิสและพิงก์ฟลอยด์เข้าด้วยกันในการสร้างสรรค์งานของตนเอง[415]
พิงก์ฟลอยด์เป็นแฟนตัวยงของกลุ่มตลกมอนตีไพทอน และได้ช่วยสนับสนุนภาพยนตร์เรื่อง มอนตี้ ไพธอน ป่วนจอกศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 1975[416] ใน ค.ศ. 2016 พิงก์ฟลอยด์กลายเป็นวงที่สอง (ต่อจากเดอะบีเทิลส์) ที่ได้ปรากฏบนแสตมป์ไปรษณีย์ชุดพิเศษของสหราชอาณาจักร ซึ่งออกโดยรอยัลเมล[417] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของซิงเกิลแรกของวง มีการจัดนิทรรศการภาพและเสียงที่ชื่อ แดร์มอร์ทัลรีเมนส์ ที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ตในลอนดอน[418] นิทรรศการนี้ประกอบด้วยการวิเคราะห์ภาพปกอัลบั้ม, อุปกรณ์ประกอบเวทีจากการแสดงสด, และภาพถ่ายจากคลังส่วนตัวของเมสัน[419][420] เนื่องจากได้รับความนิยมสูง การจัดแสดงจึงขยายเวลาออกไปอีกสองสัปดาห์จากวันปิดเดิมที่กำหนดไว้คือวันที่ 1 ตุลาคม[421]
สมาชิกวง
แก้- ซิด บาร์เรตต์ – ร้อง กีตาร์ริทึมและลีด (ค.ศ. 1965–1968) (เสียชีวิต ค.ศ. 2006)[422]
- เดวิด กิลมอร์ – กีตาร์ลีดและริทึม ร้อง เบส คีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์ (ค.ศ. 1967–ปัจจุบัน)
- นิก เมสัน – กลอง เพอร์คัชชัน (ค.ศ. 1965–ปัจจุบัน)
- โรเจอร์ วอเทอส์ – เบส ร้อง กีตาร์ริทึม ซินธิไซเซอร์ (ค.ศ. 1965–1985; แขกรับเชิญใน ค.ศ. 2005)
- ริชาร์ด ไรต์ – คีย์บอร์ด เปียโน ออร์แกน ซินธิไซเซอร์ ร้อง (ค.ศ. 1965–1981 1987–2008; นักดนตรีห้องบันทึกก่อนหน้านี้ใน ค.ศ. 1987)[nb 55] (เสียชีวิต ค.ศ. 2008)[425]
ผลงาน
แก้สตูดิโออัลบั้ม
แก้- เดอะไพเพอร์แอตเดอะเกตส์ออฟดอว์น (ค.ศ. 1967)
- อะซอเซอร์ฟูลออฟซีเครตส์ (ค.ศ. 1968)
- มอร์ (ค.ศ. 1969)
- อุมมากุมมา (ค.ศ. 1969)
- อะตอมฮาร์ตมาเทอร์ (ค.ศ. 1970)
- เมดเดิล (ค.ศ. 1971)
- อ็อบสเคียวด์บายคลาวส์ (ค.ศ. 1972)
- เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน (ค.ศ. 1973)
- วิชยูเวอร์เฮียร์ (ค.ศ. 1975)
- แอนิมัลส์ (ค.ศ. 1977)
- เดอะวอลล์ (ค.ศ. 1979)
- เดอะไฟนัลคัต (ค.ศ. 1983)
- อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซัน (ค.ศ. 1987)
- เดอะดิวิชันเบลล์ (ค.ศ. 1994)
- ดิเอนด์เลสริเวอร์ (ค.ศ. 2014)
ทัวร์คอนเสิร์ต
แก้- พิงก์ฟลอยด์เวิลด์ทัวร์ (ค.ศ. 1968)
- เดอะแมนแอนด์เดอะเจอร์นีย์ทัวร์ (ค.ศ. 1969)
- อะตอมฮาร์ตมาเทอร์เวิลด์ทัวร์ (Atom Heart Mother World Tour; ค.ศ. 1970–1971)
- เมดเดิลทัวร์ (Meddle Tour; ค.ศ. 1971)
- ดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนทัวร์ (ค.ศ. 1972–1973)
- เฟรนช์ซัมเมอร์ทัวร์ (ค.ศ. 1974)
- บริทิชวินเทอร์ทัวร์ (ค.ศ. 1974)
- วิชยูเวอร์เฮียร์ทัวร์ (ค.ศ. 1975)
- อินเดอะเฟลชทัวร์ (ค.ศ. 1977)
- เดอะวอลล์ทัวร์ (ค.ศ. 1980–1981)
- อะโมเมนทารีแลปส์ออฟรีซันทัวร์ (ค.ศ. 1987–1989)
- เดอะดิวิชันเบลล์ทัวร์ (ค.ศ. 1994)
หมายเหตุ
แก้- ↑ ไรต์ศึกษาด้านสถาปัตยกรรมจนถึง ค.ศ. 1963 ก่อนจะเปลี่ยนไปเรียนดนตรีที่ราชวิทยาลัยดนตรีแห่งลอนดอน[13]
- ↑ เลนาร์ดออกแบบเครื่องฉายแสงซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อหมุนแผ่นดิสก์เจาะรู ทำให้เกิดลวดลายของแสงฉายบนผนัง เครื่องมือเหล่านี้เคยถูกสาธิตในรายการ ทูมอร์โรส์เวิลด์ รุ่นแรก ๆ และช่วงเวลาหนึ่ง เลนาร์ดก็เล่นคีย์บอร์ดร่วมกับวง โดยใช้ห้องนั่งเล่นในแฟลตของเขาเป็นห้องซ้อม[17]
- ↑ ไรต์เคยพักอาศัยอยู่ที่แฟลตของเลนาร์ดช่วงสั้น ๆ เช่นกัน[18]
- ↑ โพวีย์สะกดชื่อวงว่า "Meggadeaths" ส่วนเบลกสะกดว่า "Megadeaths"[20] บางแหล่งกล่าวว่าวงเคยใช้ชื่อว่า "Architectural Abdabs" ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม โพวีย์มองว่าเป็นการอ่านพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์นักศึกษาผิดไป[21] ชื่อ "Tea Set" เป็นชื่อที่โพวีย์ยืนยันว่าใช้ตลอดมา ส่วนคำอ้างของเบลกว่าเคยสะกดว่า "T-Set" นั้นยังไม่มีหลักฐานรองรับ[22]
- ↑ เซสชันบันทึกเสียงสี่เพลงนี้กลายเป็นเดโมแรกของวง ประกอบด้วยเพลงอาร์แอนด์บีคลาสสิก "ไอม์อะคิงบี" (ต้นฉบับเป็นของนักร้องเพลงบลูส์ สลิม ฮาร์โป) และเพลงต้นฉบับของซิด บาร์เรตต์อีกสามเพลง ได้แก่ "บัตเตอร์ฟลาย" (Butterfly), "ลูซีลีฟ" (Lucy Leave) และ "ดับเบิลโอโบ" (Double O Bo) ซึ่งเมสันอธิบายว่าเป็น "การพบกันของโบ ดิดด์ลีย์ กับธีม 007"[26]
- ↑ ตามข้อมูลของโพวีย์ ภายใน ค.ศ. 1964 วงเริ่มเรียกตัวเองว่า "Abdabs"[18]
- ↑ หลังจากนั้นไม่นาน อุปกรณ์ของวงถูกขโมยไป ทำให้วงต้องซื้อใหม่โดยการผ่อนจ่าย[38]
- ↑ พวกเขาตัดคำว่า "The" ออกจากชื่อวงในช่วงต้นปี ค.ศ. 1967[48]
- ↑ ชาฟฟ์เนอร์มองว่าเงินล่วงหน้าจำนวน 5,000 ปอนด์นั้นถือว่าเหลือเฟือ แต่โพวีย์เห็นว่าข้อตกลงนั้นไม่ดีนัก เพราะเงินจะต้องจ่ายเป็นงวดตลอดระยะเวลาห้าปี[51]
- ↑ ก่อนเซสชันนี้ ในวันที่ 11 และ 12 มกราคม วงได้บันทึกเวอร์ชันยาวของ "อินเตอร์สเตลลาร์โอเวอร์ไดรฟ์"[51] และในช่วงเวลาประมาณวันที่ 29 มกราคม ยังได้ถ่ายทำมิวสิกฟิล์มสั้น ๆ ของเพลง "อาร์โนลด์ เลย์น" ในซัสเซกซ์[52]
- ↑ ขณะอยู่ในห้องอัดของอีเอ็มไอ พิงก์ฟลอยด์ได้ทดลองกับเทคนิคดนตรีแปลงรูป (musique concrète) และได้ชมเดอะบีเทิลส์บันทึกเสียงเพลง "เลิฟลีริตา" ด้วย[60]
- ↑ การยื่นขอใบอนุญาตทำงานของบริษัทแบล็กฮิลล์ล่าช้า ทำให้วงต้องยกเลิกวันแสดงหลายรายการในสหรัฐ[68]
- ↑ พิงก์ฟลอยด์ออกซิงเกิล "แอปเปิลส์แอนด์ออเรนเจส" ในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1967[71]
- ↑ การที่บาร์เรตต์ขาดงานหลายครั้ง ทำให้วงต้องจองตัวเดวิด โอ'ลิสต์มาแทนที่[73] และวินน์-วิลสัน (Wynne-Willson) ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ดูแลแสงไฟ เพื่อมาช่วยดูแลกิจวัตรประจำวันของบาร์เรตต์[74]
- ↑ ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1967 บาร์เรตต์เสนอให้เพิ่มสมาชิกใหม่อีก 4 คน โดยวอเทอร์สเล่าว่า "เป็นพวกเพี้ยนสองคนที่เขาไปเจอมาที่ไหนสักที่ คนนึงเล่นแบนโจ อีกคนเป่าแซกโซโฟน ... [และ]นักร้องหญิงอีกสองคน"[77]
- ↑ หนึ่งในหน้าที่แรกของกิลมอร์ คือการแสดงเลียนแบบการเล่นกีตาร์ของบาร์เรตต์ในมิวสิกฟิล์มของเพลง "แอปเปิลส์แอนด์ออเรนเจส"[82]
- ↑ เมสันไม่แน่ใจว่าใครในวงเป็นคนพูดว่า "ช่างเขาเถอะ" (let's not bother)[85]
- ↑ หลังจากนั้นช่วงหนึ่ง บาร์เรตต์ยังมาร่วมเล่นในบางการแสดง ดูเหมือนว่าเขายังสับสนว่าเขายังเป็นสมาชิกของวงอยู่หรือไม่[91]
- ↑ ทอร์เกอร์สันเคยเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายชายเคมบริดจ์ (Cambridgeshire High School for Boys) ร่วมกับวอเทอร์สและบาร์เรตต์[99]
- ↑ อัลบั้มก่อนหน้านี้ของวงบันทึกเสียงด้วยระบบสี่แทร็ก ส่วนอะตอมฮาร์ตมาเทอร์ เป็นอัลบั้มแรกที่ใช้เครื่องบันทึกเสียงแบบแปดแทร็ก[106]
- ↑ อุปกรณ์ของวงซึ่งมีมูลค่าประมาณ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถูกขโมยหลังการแสดงในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1970 ที่โกดังในนิวออร์ลีนส์ เกือบทำให้การเงินของวงล้มครืน อย่างไรก็ตาม หลังจากแจ้งเอฟบีไอเพียงไม่กี่ชั่วโมง วงก็สามารถกู้คืนอุปกรณ์ส่วนใหญ่กลับมาได้
- ↑ โพวีย์ระบุว่าวันที่วางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรคือ 5 พฤศจิกายน แต่เว็บไซต์ทางการของพิงก์ฟลอยด์ระบุว่าเป็นวันที่ 13 พฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ทุกแหล่งข้อมูลเห็นตรงกันว่าวางจำหน่ายในสหรัฐเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม[116]
- ↑ การผลิตอัลบั้มเมดเดิลประกอบด้วยเซสชันที่กระจายไปเป็นเวลาหลายเดือน โดยวงบันทึกเสียงในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายน แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน พวกเขาเล่นที่ดองคัสเตอร์และนอริช ก่อนจะกลับมาบันทึกเสียงอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ในเดือนพฤษภาคม พวกเขาแบ่งเวลาระหว่างเซสชันที่แอบบีย์โรด การซ้อม และการแสดงคอนเสิร์ตทั่วสหราชอาณาจักร พวกเขาใช้เวลาช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมในการแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งยุโรป และช่วงเดือนสิงหาคมในตะวันออกไกลและออสเตรเลีย ก่อนจะกลับมายังยุโรปอีกครั้งในเดือนกันยายน[117] ในเดือนตุลาคม พวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์คอนเสิร์ต พิงก์ฟลอยด์: ไลฟ์แอตปอมเปอี ก่อนจะออกทัวร์ในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน[118]
- ↑ หลังจบเซสชัน บาร์เรตต์ไปร่วมงานเลี้ยงก่อนแต่งงานของกิลมอร์ แต่สุดท้ายก็ออกจากงานไปโดยไม่ร่ำลา และไม่มีสมาชิกคนใดพบเขาอีกเลย ยกเว้นวอเทอส์ที่เจอกับบาร์เรตต์อีกครั้งในสองสามปีต่อมา[149] ปกอัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์ที่ออกแบบโดยทอร์เกอร์สัน ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดที่ว่า ผู้คนมักปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเพราะกลัวจะเจ็บปวด เกล็น โพวีย์ (Glen Povey) ผู้เขียนชีวประวัติของวงพิงก์ฟลอยด์ได้เขียนไว้ จึงแสดงภาพนักธุรกิจชายสองคนจับมือกัน โดยหนึ่งในนั้นกำลังถูกไฟลุกไหม้[150]
- ↑ ไบรอัน ฮัมฟรีส์เป็นวิศวกรเสียงของอัลบั้มแอนิมัลส์ ซึ่งเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1976[154]
- ↑ วงสั่งทำบอลลูนรูปหมูยาว 30 ฟุต (9.1 เมตร) และเริ่มถ่ายภาพในวันที่ 2 ธันวาคม แต่สภาพอากาศเลวร้ายทำให้การถ่ายทำล่าช้า แล้วบอลลูนก็หลุดออกจากเชือกเนื่องจากลมแรง สุดท้ายไปตกลงที่เคนต์ ซึ่งชาวนาในท้องถิ่นเก็บไว้ โดยเขาเล่าว่าตกใจมากเพราะมันทำให้วัวของเขาตื่นตกใจ[156] การถ่ายภาพอันยากลำบากได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจซ้อนภาพหมูลงบนภาพถ่ายของโรงไฟฟ้า[157]
- ↑ เพลง "พิกส์ออนเดอะวิง" มีการอ้างอิงถึงความสัมพันธ์อันโรแมนติกของวอเทอส์กับแคโรลิน แอนน์ คริสตี (Carolyne Anne Christie)[160]
- ↑ ไม่ใช่เพียงวอเทอส์เท่านั้นที่รู้สึกหดหู่กับการแสดงในสถานที่ขนาดใหญ่ กิลมอร์เองก็ปฏิเสธที่จะเล่นเพลงอองคอร์ตามปกติในคืนนั้น[165]
- ↑ ใน ค.ศ. 1976 พิงก์ฟลอยด์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาการเงิน นอร์ตันวอร์เบิร์กกรุ๊ป (Norton Warburg Group, NWG) โดย NWG กลายมาเป็นตัวแทนในการรวบรวมเงินของวงและจัดการวางแผนทางการเงินทั้งหมด โดยคิดค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 300,000 ปอนด์ (เท่ากับ £1,831,000 ในปี 2023[37]) NWG ลงทุนเงินของวงระหว่าง 1.6 ล้านปอนด์ถึง 3.3 ล้านปอนด์ในโครงการลงทุนเสี่ยงสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีในสหราชอาณาจักรเป็นหลัก ไม่นานก็เห็นได้ชัดว่าวงยังคงขาดทุนอยู่ NWG ไม่เพียงแต่ลงทุนในธุรกิจที่กำลังล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังทำให้วงต้องรับผิดชอบภาษีสูงถึง 83% ของรายได้ ในที่สุดวงก็ยุติความสัมพันธ์กับ NWG และเรียกร้องคืนเงินที่ยังไม่ได้ลงทุน ซึ่งในเวลานั้นมีมูลค่า 860,000 ปอนด์ แต่ได้รับเพียง 740,000 ปอนด์เท่านั้น[169] ในที่สุดพิงก์ฟลอยด์จึงฟ้อง NWG เป็นเงิน 1 ล้านปอนด์ ฐานฉ้อโกงและประมาทเลินเล่อ NWG ล้มละลายใน ค.ศ. 1981 โดยแอนดรูว์ วอร์เบิร์ก (Andrew Warburg) หนีไปสเปน วอเทอร์บรูก (Waterbrook) ได้ซื้อกิจการนอร์ตันวอร์เบิร์กอินเวสต์เมนต์ (Norton Warburg Investments) และขายหุ้นจำนวนมากในราคาขาดทุน แอนดรูว์ วอร์เบิร์กเริ่มรับโทษจำคุกสามปีเมื่อกลับมาถึงสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1987[169]
- ↑ เจมส์ กัทรีเข้ามาแทนไบรอัน ฮัมฟรีส์ในฐานะวิศวกรเสียง เนื่องจากฮัมฟรีส์หมดแรงใจจากการทำงานกับวงถึง 5 ปี[172] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1979 สถานะทางการเงินของวงย่ำแย่จนต้องย้ายออกจากสหราชอาณาจักรเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และย้ายไปบันทึกเสียงที่ซูเปอร์แบร์สตูดิโอส์ (Super Bear Studios) ใกล้เมืองนิส[173]
- ↑ หลังจากนั้น พิงก์ฟลอยด์จ้างไรต์ให้ทำหน้าที่เป็นนักดนตรีรับจ้างในการทัวร์อัลบั้มเดอะวอลล์[178] ขณะเดียวกัน ช่วงท้ายของเซสชันการทำอัลบั้มเดอะวอลล์ เมสันได้ปล่อยหน้าที่ในการมิกซ์ขั้นสุดท้ายให้เป็นของวอเทอส์ กิลมอร์ เอซริน และกัทรี ส่วนตนเองเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อบันทึกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเขา นิก เมสันส์ฟิกทิเชียสสปอตส์[179]
- ↑ วอเทอส์ลาพักจากการถ่ายทำภาพยนตร์นานหกสัปดาห์ และเมื่อกลับมาก็พบว่าผู้กำกับอลัน พาร์กเกอร์ได้ใช้สิทธิในฐานะศิลปินทำการดัดแปลงบางส่วนของภาพยนตร์ตามความเห็นของตน วอเทอส์โกรธมาก ทั้งสองมีปากเสียงกัน และพาร์กเกอร์ขู่ว่าจะถอนตัว กิลมอร์จึงเข้ามาไกล่เกลี่ย เตือนวอเทอส์ว่า เขาและสมาชิกวงคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของบริษัท และสามารถลงคะแนนเสียงเอาชนะเขาได้ในเรื่องลักษณะนี้[187]
- ↑ พิงก์ฟลอยด์ได้สร้างซาวด์แทร็กเวอร์ชันดัดแปลงขึ้นใหม่สำหรับบางเพลงในภาพยนตร์พิงก์ฟลอยด์ – เดอะวอลล์[187]
- ↑ การบันทึกเสียงของอัลบั้มดำเนินในสตูดิโอทั้งหมดแปดแห่ง รวมถึงสตูดิโอในบ้านของกิลมอร์ที่ฮุกเอนด์แมเนอร์ และของวอเทอส์ที่อีสต์ชีน[192]
- ↑ ระหว่างเซสชัน วอเทอส์โมโหมากและเริ่มต่อว่าไมเคิล เคเมน ซึ่งขณะนั้นได้ระบายอารมณ์โดยการเขียนคำซ้ำ ๆ ว่า "I Must Not Fuck Sheep" ลงบนกระดาษโน้ตในห้องควบคุมเสียง[191]
- ↑ วอเทอส์จ้างวิลลี คริสตี (Willie Christie) น้องเขยของเขา ให้มาถ่ายภาพสำหรับปกอัลบั้ม[194]
- ↑ แม้ว่าชื่อของกิลมอร์จะไม่ปรากฏในเครดิตการผลิตอัลบั้ม แต่เขายังคงได้รับค่าตอบแทนในฐานะนักดนตรีและโปรดิวเซอร์[196]
- ↑ เพลง "นอตนาวจอห์น" ถูกปล่อยเป็นซิงเกิล โดยท่อนคอรัสที่ร้องว่า "Fuck all that" ถูกปรับเป็น "Stuff all that" นิตยสารเมโลดีเมเกอร์เรียกมันว่า "หมุดหมายในประวัติศาสตร์แห่งความเลวร้าย"[200]
- ↑ ไรต์กำลังอยู่ระหว่างการหย่าร้างที่ยากลำบาก และในภายหลังกล่าวว่า อัลบั้มนี้ "เกิดขึ้นในช่วงที่ผมหลงทางในชีวิต"[203]
- ↑ วอเทอส์ไปบันทึกซาวด์แทร็กภาพยนตร์เรื่อง เวนเดอะวินด์โบลวส์ รวมไปถึงอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองของเขาชื่อ เรดิโอ เค.เอ.โอ.เอส.[206]
- ↑ ศิลปินอย่างจอน แคริน และฟิล แมนซาเนรา มีส่วนร่วมในอัลบั้มด้วย โดยมีบ็อบ เอซรินเข้าร่วมงานอีกครั้ง[211]
- ↑ แอนดี แจ็กสัน เป็นวิศวกรเสียงของอัลบั้ม[215]
- ↑ ชื่อของไรต์ปรากฏเพียงในรายชื่อเครดิตผู้ร่วมงานเท่านั้น (ไม่ได้ขึ้นเครดิตโปรดิวเซอร์หรือสมาชิกวงหลัก)[222]
- ↑ กิลมอร์หย่ากับภรรยาชื่อจินเจอร์ (Ginger Gilmour) และเมสันแต่งงานกับนักแสดงหญิง แอนเน็ตต์ ลินตัน (Annette Lynton)[232]
- ↑ ทอร์เกอร์สันยังจัดทำวิดีโอใหม่อีก 6 ชิ้นสำหรับใช้ในการทัวร์ที่กำลังจะมาถึง[238]
- ↑ วอเทอส์ปฏิเสธคำเชิญให้เข้าร่วมกับวงเมื่อทัวร์ดำเนินมาถึงยุโรป[243]
- ↑ ใน ค.ศ. 1995 พิงก์ฟลอยด์ออกอัลบั้มแสดงสด พัลส์ พร้อมด้วยวิดีโอคอนเสิร์ต[244]
- ↑ ในสัปดาห์หลังจากการแสดงสด ความนิยมในผลงานของพิงก์ฟลอยด์กลับมาอีกครั้ง โดยร้านเอชเอ็มวีรายงานว่ายอดขายอัลบั้มรวมเพลง เอโคส์: เดอะเบสต์ออฟพิงก์ฟลอยด์ (Echoes: The Best of Pink Floyd) เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ ส่วนแอมะซอนก็รายงานยอดขายอัลบั้มเดอะวอลล์พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ[250] กิลมอร์ประกาศในเวลาต่อมาว่าจะบริจาครายได้ส่วนของเขาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นให้แก่องค์กรการกุศล พร้อมกระตุ้นให้นักดนตรีและบริษัทค่ายเพลงที่เกี่ยวข้องทำเช่นเดียวกัน[250]
- ↑ ใน ค.ศ. 2006 กิลมอร์เริ่มทัวร์ตามสถานที่ขนาดเล็ก โดยมีไรต์และนักดนตรีจากยุคหลังวอเทอส์ร่วมแสดงด้วย การแสดงเพลง "วิชยูเวอร์เฮียร์" และ "คอมฟ์เทอบลีนัมบ์" ของกิลมอร์ ไรต์ และเมสันในช่วงอองคอร์ เป็นการรวมตัวของพิงก์ฟลอยด์ครั้งเดียวหลังงานไลฟ์ 8 จนถึง ค.ศ. 2012[256]
- ↑ บาร์เรตต์ทิ้งมรดกว่า 1.25 ล้านปอนด์ไว้ในพินัยกรรม โดยแบ่งให้กับครอบครัวใกล้ชิด ซึ่งต่อมาได้นำทรัพย์สินและผลงานศิลปะของเขาบางส่วนออกประมูล[259]
- ↑ ในช่วงต้น ค.ศ. 1965 พิงก์ฟลอยด์ได้เข้าร่วมออดิชั่นในรายการ เรดีสเตดีโก! ของไอทีวี ซึ่งเมสันบรรยายว่าเป็น "รายการเพลงที่ดีที่สุดในยุคนั้น"[304] แม้จะฟังดูสุดโต่งเกินไปสำหรับผู้ชมทั่วไป แต่พวกเขาก็ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมออดิชั่นครั้งที่สอง โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาจะต้องเล่นเพลงที่กรรมการคุ้นเคยมากกว่า พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวในรายการดังกล่าว[305] นอกจากนี้ใน ค.ศ. 1965 พวกเขายังได้เข้าร่วมออดิชั่นในรายการ เมโลดีเมเกอร์บีตคอนเทสต์ (Melody Maker Beat Contest) แต่ก็แพ้ให้กับผู้ชนะระดับประเทศในที่สุด[305]
- ↑ ผู้จัดการทัวร์ ปีเตอร์ วัตต์ ได้เข้าร่วมกับทีมงานของวงก่อนที่จะทัวร์ยุโรปใน ค.ศ. 1968[353]
- ↑ ปกอัลบั้มวิชยูเวอร์เฮียร์ที่ออกแบบโดยทอร์เกอร์สันประกอบด้วย 4 ด้าน (รวมปกใน) ซึ่งสื่อถึงการไม่อยู่ 4 ประการ ที่สัมพันธ์กับธาตุพื้นฐานตามแนวคิดคลาสสิก ได้แก่ ดิน ลม ไฟ และน้ำ ส่วนปกอัลบั้มเดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูน แสดงลำแสงสีขาวซึ่งแทนความเป็นหนึ่งเดียว พุ่งผ่านปริซึมที่แทนสังคม แล้วแยกออกเป็นสีรุ้ง ซึ่งแทนความแตกแยกของความเป็นหนึ่งเดียว เหลือไว้ซึ่งความไม่อยู่ของความเป็นหนึ่งเดียว[128] แนวคิดการไม่อยู่นี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดอัตถิภาวนิยมของอาลแบร์ กามูว์ ผู้ซึ่งให้นิยามของความไร้สาระว่าเป็น "การไม่มีคำตอบต่อความปรารถนาในความเป็นหนึ่งเดียวของแต่ละคน"[128]
- ↑ มาคส์มองว่า ความวิกลจริตคือรูปแบบสูงสุดของการแปลกแยกจากตัวตน[379]
- ↑ ไรต์ไม่ได้เป็นสมาชิกวงตามกฎหมายหลัง ค.ศ. 1979 โดยมีข้อตกลงในสัญญาการออกตั้งแต่ปีนั้นห้ามไม่ให้เขากลับมาเข้าร่วมนิติบุคคลอีกแม้ว่าเขาจะยังคงทำงานกับวงและเปิดตัวต่อสาธารณะในฐานะสมาชิกเต็มตัวก่อนจะออกจากวงอย่างถาวรใน ค.ศ. 1981[423] ในช่วงต้น ค.ศ. 1987 เขาถูกรับเชิญในอะโมเมนทาลีลาร์ปออฟรีสัน และได้เข้าร่วมทัวร์ครั้งต่อมาในช่วงปลาย ค.ศ. 1987 ซึ่งนับจากนั้นเป็นต้นมาเขาได้รับเครดิตและเปิดตัวต่อสาธารณะเป็นสมาชิกวงอย่างเป็นทางการอีกครั้งแม้ว่าสถานการณ์ทางกฎหมายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง[424]
อ้างอิง
แก้- ↑ "Rock & Roll Hall of Fame: Pink Floyd biography". Rock and Roll Hall of Fame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-09. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Blake 2008, pp. 37–38: Mason meeting Waters while studying architecture at the London Polytechnic; Fitch 2005, p. 335: Waters meeting Mason while studying architecture at the London Polytechnic.
- ↑ For Billboard chart history see: Titus, Christa; Waddell, Ray (2005). "Floyd's 'Dark Side' Celebrates Chart Milestone". Billboard. สืบค้นเมื่อ 12 August 2012.; for sales figures see: Smirke, Richard (March 16, 2013). "Pink Floyd, 'The Dark Side of the Moon' At 40: Classic Track-By-Track Review". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 22, 2016.; Povey 2008, p. 345: A US number 1.
- ↑ Schaffner, p. 183
- ↑ For 250 million records sold see: "Pink Floyd Reunion Tops Fans' Wish List in Music Choice Survey". Bloomberg Television. 26 September 2007. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.; For 75 million RIAA certified units sold see: "Top Selling Artists". Recording Industry Association of America. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.; For 37.9 million albums sold since 1993 see: "The Nielsen Company & Billboard's 2012 Music Industry Report". Business Wire. 4 January 2013. สืบค้นเมื่อ 10 May 2014.
- ↑ "For The Record: Pink Floyd's 'The Wall'". GRAMMY.com (ภาษาอังกฤษ). 23 November 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 August 2020. สืบค้นเมื่อ 7 September 2020.
- ↑ Povey 2008, p. 286: Rock and Roll Hall of Fame induction; Povey 2008, p. 287: The UK Hall of Fame induction; For the Hit Parade Hall of Fame induction see: "Pink Floyd – 2010 Inductee". Hit Parade Hall of Fame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ 8.0 8.1 Blake 2008, pp. 37–38: Mason meeting Waters while studying architecture at the London Polytechnic; Fitch 2005, p. 335: Waters meeting Mason while studying architecture at the London Polytechnic.
- ↑ Glenn Povey (2007). Echoes: The Complete History of Pink Floyd. Mind Head Publishing. p. 13. ISBN 978-0-9554624-0-5.
- ↑ 10.0 10.1 Schaffner 1991, pp. 22–23.
- ↑ Mason 2005, p. 27.
- ↑ Povey 2008, p. 15.
- ↑ Blake 2008, pp. 39–40.
- ↑ Blake 2008, pp. 39–40: Wright was also an architecture student when he joined Sigma 6; Povey 2008, pp. 13–14: The formation of Sigma 6; Schaffner 1991, p. 27: Instrumental line-up of Sigma 6: Waters (lead guitar), Wright (rhythm guitar) and Mason (drums).
- ↑ Blake 2008, pp. 38–39.
- ↑ "Highgate house where Pink Floyd was formed available to rent". Evening Standard. 17 December 2023. สืบค้นเมื่อ 12 January 2024.
- ↑ 17.0 17.1 Mason 2005, pp. 24–26.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Povey 2008, p. 14.
- ↑ Povey 2008, pp. 13–18.
- ↑ Blake 2008, p. 39: Megadeaths; Povey 2008, p. 13: Meggadeaths.
- ↑ Povey 2008, pp. 14–15.
- ↑ Blake 2008, pp. 43–44: The T-Set as an alternate spelling; Povey 2008, pp. 28–29: The Tea Set used throughout.
- ↑ Nick Mason (2011). Inside Out: A Personal History of Pink Floyd. Hachette UK. p. 16. ISBN 978-1-78022-175-5.
- ↑ Blake 2008, p. 41.
- ↑ Blake 2008, pp. 42–44.
- ↑ 26.0 26.1 Mason 2005, pp. 29–30.
- ↑ Povey 2008, p. 19.
- ↑ Mason 2005, p. 30.
- ↑ Blake 2008, pp. 44–45: Klose quit the band in mid 1965 and Barrett took over on lead guitar (secondary source); Mason 2005, p. 32: Klose quit the band in mid 1965 (primary source).
- ↑ Blake 2008, pp. 43–44.
- ↑ Mason 2005, pp. 33–34.
- ↑ Hughes, Rob (3 October 2023). "Pink Floyd's early years: how Syd Barrett & Co. got freaky". Classic Rock. สืบค้นเมื่อ 5 January 2025.
- ↑ "Entertainment | Obituary: Syd Barrett". BBC News. 11 July 2006. สืบค้นเมื่อ 5 January 2025.
- ↑ Povey 2008, pp. 18–19.
- ↑ Mason 2005, pp. 33–37: The origin of the band name Pink Floyd (primary source); Povey 2008, pp. 18–19: The origin of the band name Pink Floyd (secondary source).
- ↑ Mason 2005, pp. 33–37: Jenner was impressed by Barrett and Wright; Schaffner 1991, p. 17: Jenner and King became Pink Floyd's business managers.
- ↑ 37.0 37.1 37.2 37.3 UK Retail Price Index inflation figures are based on data from Clark, Gregory (2017). "The Annual RPI and Average Earnings for Britain, 1209 to Present (New Series)". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
- ↑ Schaffner 1991, p. 32.
- ↑ 39.0 39.1 Schaffner 1991, pp. 32–33.
- ↑ Mason 2005, pp. 50–51.
- ↑ Mason 2005, pp. 46–49: (primary source); Schaffner 1991, p. 34: (secondary source).
- ↑ Mason 2005, pp. 52–53: Jenner and King's connections helped gain the band important coverage; Schaffner 1991, p. 44: "apparently very psychedelic"
- ↑ Mason 2005, p. 49.
- ↑ Mason 2005, p. 54.
- ↑ 45.0 45.1 Mason 2005, pp. 54–58.
- ↑ Schaffner 1991, p. 49.
- ↑ di Perna 2002, p. 29: Pink Floyd as a spack rock band; Povey 2008, p. 37: The music industry began to take notice of Pink Floyd.
- ↑ Blake 2008, p. 79.
- ↑ Blake 2011, pp. 72, 74.
- ↑ Povey 2008, p. 342: Release date for "Arnold Layne"; Schaffner 1991, pp. 54–55: Signing with EMI.
- ↑ 51.0 51.1 51.2 Povey 2008, p. 37.
- ↑ Mason 2005, pp. 59–63.
- ↑ Mason 2005, pp. 84–85.
- ↑ Povey 2008, p. 342.
- ↑ Blake 2008, pp. 86–87.
- ↑ Mason 2005, pp. 86–87.
- ↑ Povey 2008, p. 43.
- ↑ Mason 2005, p. 82: Barrett was "completely distanced from everything going on"; Schaffner 1991, p. 51: Barrett's increasing LSD use starting early 1967.
- ↑ Mason 2005, pp. 87–88: Smith negotiated Pink Floyd's first record contract; Schaffner 1991, p. 55: Morrison negotiated Pink Floyd's first contract and in it they agreed to record their first album at EMI Studios.
- ↑ Blake 2008, p. 85.
- ↑ Mason 2005, pp. 92–93.
- ↑ 62.0 62.1 62.2 62.3 62.4 62.5 62.6 Roberts 2005, p. 391.
- ↑ Cavanagh, John (2003). The Piper at the Gates of Dawn. New York [u.a.]: Continuum. pp. 55–56. ISBN 978-0-8264-1497-7.
- ↑ Mason 2005, p. 95: "The band started to play and Syd just stood there"; Schaffner 1991, p. 36: June Child was Blackhill's assistant and secretary.
- ↑ Povey 2008, p. 67.
- ↑ Blake 2008, p. 123.
- ↑ Povey 2008, pp. 67–71.
- ↑ Povey 2008, p. 69.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 88–90.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 91–92.
- ↑ Povey 2008, p. 72.
- ↑ Mason 2005, pp. 95–105: Barrett's mental deterioration and Pink Floyd's first US tour (primary source); Schaffner 1991, pp. 91–94: Barrett's mental deterioration and Pink Floyd's first US tour (secondary source).
- ↑ Fitch 2005, p. 224.
- ↑ Blake 2008, p. 102.
- ↑ 75.0 75.1 Povey 2008, p. 47.
- ↑ Blake 2011, p. 109.
- ↑ Blake 2008, p. 110.
- ↑ Mason 2005, p. 28.
- ↑ Mason 2005, p. 34.
- ↑ Blake 2008, pp. 110–111: "the band intending to continue with Barrett"; Mason 2005, pp. 109–111: O'Rourke set Gilmour up in O'Rourke's home; Schaffner 1991, p. 104: Gilmour was officially announced as a new member of Pink Floyd.
- ↑ Schaffner 1991, p. 107.
- ↑ Schaffner 1991, p. 104.
- ↑ Palacios 2010, p. 317.
- ↑ Povey 2008, p. 78.
- ↑ Mason 2005, p. 111.
- ↑ Blake 2008, p. 112.
- ↑ Blake 2008, pp. 90–113: (secondary source); Mason 2005, pp. 78–105: (primary source).
- ↑ Povey 2008, pp. 78–80.
- ↑ Mason 2005, pp. 112–114, 127–131: On O'Rourke becoming the band's manager.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 107–108.
- ↑ Blake 2008, pp. 112–114.
- ↑ Blake 2008, pp. 3, 9, 113, 156, 242, 279, 320, 398: After Barrett's departure, the burden of lyrical composition and creative direction fell mostly on Waters.
- ↑ 93.0 93.1 di Perna 2002, p. 13.
- ↑ "The 30-Year Technicolor Dream". Mojo. July 1995.
- ↑ Blake 2008, pp. 116–117.
- ↑ 96.0 96.1 Blake 2008, p. 117.
- ↑ 97.0 97.1 Blake 2008, p. 118.
- ↑ Roberts, James (1 November 1997). "Hipgnotic Suggestion". Frieze (37). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2013. สืบค้นเมื่อ 12 September 2012.
Throughout the 70s many of the more successful rock bands adopted similarly abstract imagery, in particular Led Zeppelin (the album IV, 1971, dispensed with their name and the title of the record entirely) and Pink Floyd, who, following the Beatles, were only the second band to be allowed by EMI to use an outside designer.
- ↑ Fitch 2005, p. 311.
- ↑ Povey 2008, p. 84.
- ↑ Mason 2005, pp. 127–131.
- ↑ Harris 2005, p. 168: (secondary source); Mason 2005, pp. 133–135: (primary source).
- ↑ Povey 2008, pp. 87–89.
- ↑ Povey 2008, pp. 135–136.
- ↑ Povey 2008, p. 344.
- ↑ Schaffner 1991, p. 154.
- ↑ Blake 2008, p. 148.
- ↑ 108.0 108.1 Schaffner 1991, p. 144.
- ↑ Povey 2008, pp. 128–140.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 150–151.
- ↑ Povey 2008, p. 122.
- ↑ Harris 2005, p. 71: "a couple of bottles of wine and a couple of joints"; Mason 2005, p. 153: Lacking a central theme they experimented.
- ↑ Harris 2005, p. 72.
- ↑ "Review of Pink Floyd – Meddle". BBC Music. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2012. สืบค้นเมื่อ 5 August 2012.
- ↑ For "Meddle not only confirms lead guitarist David Gilmour's emergence" see: Costa, Jean-Charles (6 January 1972). "Pink Floyd: Meddle". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2008. สืบค้นเมื่อ 19 August 2009.; Povey 2008, p. 150: The release dates for Meddle.
- ↑ Povey 2008, p. 150: A 5 November UK release date for Meddle; For a 13 November UK release date for Meddle see: "Pink Floyd – Echoes (click Echoes image link)". pinkfloyd.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2009. สืบค้นเมื่อ 22 August 2009.
- ↑ Mason 2005, p. 157: (primary source); Povey 2008, pp. 142–144: (secondary source)
- ↑ Povey 2008, pp. 155: Touring the US in November, 174: Pink Floyd: Live at Pompeii.
- ↑ Schaffner 1991, p. 155.
- ↑ Watts 1996, pp. 56–57.
- ↑ Manning 2006, p. 164, "The Albums".
- ↑ 122.0 122.1 Mason, Nick (2004). There Is No Dark Side Inside Out: A Personal History of Pink Floyd (New ed.). Widenfeld & Nicolson. p. 164. ISBN 0-297-84387-7.
- ↑ 123.0 123.1 123.2 Povey, Glenn (2006). Playing Different Tunes 1972–1973 Echoes : The Complete History of Pink Floyd (New ed.). Mind Head Publishing. pp. 155 and 166. ISBN 978-0-9554624-0-5.
- ↑ Harris 2005, pp. 103–104: Recording schedule for Dark Side; Harris 2005, p. 104: Alan Parsons as an engineer on Dark Side; Schaffner 1991, p. 159: The Dark Side of the Moon as an allusion to lunacy, rather than astronomy.
- ↑ Povey 2008, pp. 164–173.
- ↑ Harris 2005, pp. 140–141: (secondary source); Mason 2005, p. 177: (primary source).
- ↑ Harris 2005, p. 151.
- ↑ 128.0 128.1 128.2 Weinstein 2007, p. 86.
- ↑ Harris 2005, pp. 12–13, 88–89.
- ↑ Schaffner 1991, p. 166.
- ↑ 131.0 131.1 131.2 Povey 2008, p. 160.
- ↑ Hollingworth, Roy (1973). "Historical info – 1973 review, Melody Maker". pinkfloyd.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2011. สืบค้นเมื่อ 28 May 2011.
- ↑ Grossman, Lloyd (24 May 1973). "Dark Side of the Moon Review". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 June 2008. สืบค้นเมื่อ 7 August 2009.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 166–167.
- ↑ For Billboard chart history see: Titus, Christa; Waddell, Ray (2005). "Floyd's 'Dark Side' Celebrates Chart Milestone". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2013. สืบค้นเมื่อ 12 August 2012.; for sales figures see: Smirke, Richard (16 March 2013). "Pink Floyd, 'The Dark Side of the Moon' At 40: Classic Track-By-Track Review". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2016. สืบค้นเมื่อ 22 June 2016.; Povey 2008, p. 345: A US number 1.
- ↑ 136.0 136.1 Povey 2008, p. 345.
- ↑ Harris 2005, pp. 172–173.
- ↑ 138.0 138.1 1634–1699: McCusker, J. J. (1997). How Much Is That in Real Money? A Historical Price Index for Use as a Deflator of Money Values in the Economy of the United States: Addenda et Corrigenda (PDF). American Antiquarian Society. 1700–1799: McCusker, J. J. (1992). How Much Is That in Real Money? A Historical Price Index for Use as a Deflator of Money Values in the Economy of the United States (PDF). American Antiquarian Society. 1800–present: Federal Reserve Bank of Minneapolis. "Consumer Price Index (estimate) 1800–". สืบค้นเมื่อ January 1, 2020.
- ↑ Schaffner 1991, p. 173.
- ↑ Povey 2008, p. 184.
- ↑ Mason 2005, pp. 177: Parsons declined an offer to continue working with Pink Floyd, 200: Pink Floyd hired Humphries.
- ↑ 142.0 142.1 142.2 Schaffner 1991, pp. 184–185.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 178–184.
- ↑ Schaffner 1991, p. 184: The motif reminded Waters of Barrett; Watkinson & Anderson 2001, p. 119: Gilmour composed the motif entirely by accident.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 185–186.
- ↑ Schaffner 1991, p. 184.
- ↑ Watkinson & Anderson 2001, p. 120.
- ↑ Blake 2008, p. 231.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 189–190.
- ↑ 150.0 150.1 Povey 2008, p. 346.
- ↑ Blake 2008, p. 236.
- ↑ Povey 2008, p. 200.
- ↑ Blake 2008, pp. 241–242.
- ↑ Mason 2005, pp. 218–220.
- ↑ Blake 2008, pp. 245–246: (secondary source); Mason 2005, pp. 223–225: (primary source).
- ↑ Blake 2008, p. 246.
- ↑ Blake 2008, p. 246: (secondary source); Mason 2005, pp. 223–225: (primary source).
- ↑ Blake 2008, pp. 242–245.
- ↑ 159.0 159.1 Blake 2008, p. 242.
- ↑ Blake 2008, pp. 244–245.
- ↑ 161.0 161.1 Blake 2008, pp. 242–243.
- ↑ Povey 2008, p. 347.
- ↑ Blake 2008, p. 247.
- ↑ Blake 2008, pp. 252–253.
- ↑ 165.0 165.1 Mason 2005, pp. 235–236.
- ↑ Povey 2008, p. 207.
- ↑ Mason 2005, p. 230.
- ↑ Blake 2008, pp. 258–259.
- ↑ 169.0 169.1 Schaffner 1991, pp. 206–208.
- ↑ Blake 2008, p. 260.
- ↑ Blake 2008, pp. 260–261.
- ↑ Mason 2005, p. 238.
- ↑ Mason 2005, pp. 240–242: (primary source); Schaffner 1991, p. 213: (secondary source).
- ↑ Simmons 1999, pp. 76–95.
- ↑ Schaffner 1991, p. 219: That's why Wright "got the boot"; Simmons 1999, pp. 86–88: Wright, "hadn't contributed anything of any value".
- ↑ Mason 2005, p. 246.
- ↑ Simmons 1999, p. 88.
- ↑ Blake 2008, pp. 285–286: Wright as a paid musician during the tour.
- ↑ Mason 2005, p. 249.
- ↑ Bronson 1992, p. 523: Peak US chart position for "Another Brick in the Wall (Part II)"; Roberts 2005, p. 391: Peak UK chart position for "Another Brick in the Wall (Part II)".
- ↑ Roberts 2005, p. 391: Peak UK chart position for The Wall; Rosen 1996, p. 246: Peak US chart position for The Wall.
- ↑ "RIAA most certified albums". Recording Industry Association of America. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2013. สืบค้นเมื่อ 14 February 2021.
- ↑ Blake 2008, p. 279.
- ↑ Scarfe 2010, pp. 91–115.
- ↑ Blake 2008, pp. 285–286.
- ↑ Blake 2008, p. 289.
- ↑ 187.0 187.1 187.2 Blake 2008, pp. 288–292.
- ↑ Povey 2008, p. 229.
- ↑ "Past Winners and Nominees – Film – Awards". BAFTA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 October 2017. สืบค้นเมื่อ 26 December 2010.
- ↑ Blake 2008, pp. 294–295.
- ↑ 191.0 191.1 Blake 2008, pp. 296–298.
- ↑ Blake 2008, pp. 296–298: (secondary source); Mason 2005, p. 268: (primary source)
- ↑ Blake 2008, pp. 295–298: (secondary source); Mason 2005, p. 268: (primary source)
- ↑ 194.0 194.1 Blake 2008, p. 299.
- ↑ 195.0 195.1 Blake 2008, p. 295.
- ↑ Blake 2008, pp. 294–300: (secondary source); Mason 2005, pp. 269–270: (primary source).
- ↑ Blake 2008, p. 300: Peak US chart position for The Final Cut; Roberts 2005, p. 391: Peak UK chart position for The Final Cut.
- ↑ Blake 2008, p. 294: (secondary source); Mason 2005, p. 265: (primary source).
- ↑ Schaffner 1991, p. 243.
- ↑ Blake 2008, p. 300.
- ↑ Loder, Kurt (14 April 1983). "Pink Floyd – The Final Cut". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2008. สืบค้นเมื่อ 4 September 2009.
- ↑ Blake 2008, pp. 302–309.
- ↑ 203.0 203.1 Blake 2008, pp. 309–311.
- ↑ 204.0 204.1 Blake 2008, pp. 311–313.
- ↑ Mason 2005
- ↑ Schaffner 1991, pp. 263–266.
- ↑ Blake 2008, pp. 311–313: O'Rourke's involvement in the settlement; Povey 2008, p. 240: "a spent force".
- ↑ Schaffner 1991, p. 271.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 268–269
- ↑ In the Studio with Redbeard, A Momentary Lapse of Reason (Radio broadcast), Barbarosa Ltd. Productions, 2007
- ↑ 211.0 211.1 Schaffner 1991, pp. 264–268.
- ↑ Blake 2008, pp. 316–317.
- ↑ Manning 2006, p. 134: Pink Floyd employed Wright as a paid musician with weekly earnings of $11,000; Schaffner 1991, p. 269: "would make us stronger legally and musically".
- ↑ Blake 2008, p. 318.
- ↑ Fitch 2005, p. 158.
- ↑ Schaffner 1991, p. 274
- ↑ Blake 2008, p. 320.
- ↑ Mason 2005, pp. 284–285.
- ↑ "The Greatest Feud in Rock". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 14 June 2005. สืบค้นเมื่อ 24 May 2020.
- ↑ Schaffner 1991, p. 273.
- ↑ Blake 2008, p. 166.
- ↑ Blake 2008, p. 366.
- ↑ Povey 2008, p. 349.
- ↑ Blake 2008, p. 328.
- ↑ Blake 2008, p. 327.
- ↑ Blake 2008, pp. 326–327.
- ↑ Blake 2008, p. 322.
- ↑ Schaffner 1991, p. 277.
- ↑ Blake 2008, pp. 329–335.
- ↑ "Pink Floyd star Roger Waters regrets suing band". BBC News. 19 September 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 February 2016. สืบค้นเมื่อ 10 March 2016.
- ↑ Mason 2005, pp. 311–313.
- ↑ Blake 2008, p. 352.
- ↑ Mason 2005, pp. 314–321.
- ↑ 234.0 234.1 Blake 2008, p. 355.
- ↑ Blake 2008, p. 356.
- ↑ Blake 2008, pp. 356–357: (secondary source); Mason 2005, pp. 314–321: (primary source).
- ↑ Blake 2008, p. 359.
- ↑ Mason 2005, p. 322.
- ↑ Blake 2008, pp. 357–358.
- ↑ Mason 2005, p. 319.
- ↑ Mason 2005, p. 330: Momentary Lapse of Reason tour crew was almost identical to the Division Bell tour crew; Povey 2008, p. 270: Rehearsing for over two weeks at Norton Air Force Base before opening in Miami.
- ↑ 242.0 242.1 Blake 2008, pp. 363–367.
- ↑ 243.0 243.1 Blake 2008, p. 367.
- ↑ Povey 2008, pp. 264, 285, 351–352: Pulse.
- ↑ Sinclair, David (6 November 2004). "Review: XS All Areas and Inside Out". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 27 September 2020.
- ↑ 246.0 246.1 Mason 2005, p. 342: (primary source); Povey 2008, p. 237: (secondary source).
- ↑ Blake 2008, pp. 380–384: (secondary source); Mason 2005, pp. 335–339: (primary source).
- ↑ Povey 2008, p. 287.
- ↑ 249.0 249.1 Blake 2008, p. 386.
- ↑ 250.0 250.1 "Donate Live 8 profit says Gilmour". BBC News. 5 July 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2011. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Blake 2008, p. 395.
- ↑ "Gilmour says no Pink Floyd reunion". NBC News. 9 September 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ 253.0 253.1 Castaldo, Gino (3 February 2006). "The requiem of David Gilmour: Pink Floyd gone?". La Repubblica (ภาษาอิตาลี). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2011. สืบค้นเมื่อ 9 May 2006.
- ↑ Kielty, Martin (7 January 2013). "Pink Floyd was over in 1985 says Waters". Classic Rock Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 December 2013.; "Pink Floyd star: Reunion unlikely". Toronto Sun. wenn.com. 28 September 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 December 2013. สืบค้นเมื่อ 1 December 2013.
- ↑ Maxwell, Jackson (11 March 2021). "David Gilmour Confirms Pink Floyd Are Broken Up for Good: "I'm Done with it"". Guitar Player. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 March 2021. สืบค้นเมื่อ 12 March 2021.
- ↑ Blake 2008, pp. 387–389.
- ↑ 257.0 257.1 Pareles, Jon (12 July 2006). "Syd Barrett, a Founder of Pink Floyd And Psychedelic Rock Pioneer, Dies at 60". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2012. สืบค้นเมื่อ 7 September 2009.
- ↑ Blake 2008, pp. 390–391.
- ↑ Blake 2008, p. 394.
- ↑ Youngs, Ian (11 May 2007). "Floyd play at Barrett tribute gig". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 August 2013. สืบค้นเมื่อ 3 August 2013.
- ↑ Booth, Robert (16 September 2008). "Pink Floyd's Richard Wright dies". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 October 2013. สืบค้นเมื่อ 7 September 2009.
- ↑ "Floyd Founder Wright dies at 65". BBC News. 15 September 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 August 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ "David Gilmour Performs Pink Floyd's "Remember a Day" in Tribute to Rick Wright" (Video). 15 September 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ "Official Keith Emerson Website – Richard Wright Tribute by Keith Emerson". www.keithemerson.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 October 2016. สืบค้นเมื่อ 3 August 2016.
- ↑ Simpson, Dave (12 March 2010). "Pink Floyd's legal victory over EMI is a triumph for artistic integrity". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 18 February 2023.
- ↑ "Pink Floyd end EMI legal dispute". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 4 January 2011. สืบค้นเมื่อ 18 February 2023.
- ↑ Bychawski, Adam (11 July 2010). "Pink Floyd's Roger Waters and David Gilmour reunite for charity gig: Duo play together for Hoping Foundation". NME. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 August 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Barth, Chris (15 July 2010). "Roger Waters Reunites With David Gilmour for 'Wall' Tour". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2010. สืบค้นเมื่อ 1 August 2010.
- ↑ "Why Pink Floyd?, Pink Floyd & EMI 2011 remastered campaign". Whypinkfloyd.com. 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2011. สืบค้นเมื่อ 27 May 2011.
{{cite web}}
: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ Kreps, Daniel (2 December 2015). "Pink Floyd Release Rare '1965: Their First Recordings' EP". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2015. สืบค้นเมื่อ 6 December 2015.
- ↑ Roseb, Craig (9 October 2014). "Pink Floyd Returns With First New Song From Final Album The Endless River". Yahoo! Music. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2020. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ Maloney, Devon (5 July 2014). "New Pink Floyd Album 'The Endless River' Out in October". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2014. สืบค้นเมื่อ 18 September 2014.
- ↑ Roberts, Randall (22 September 2014). "Pink Floyd offers release date, cover art for album 'The Endless River'". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2014. สืบค้นเมื่อ 22 September 2014.
- ↑ "Reviews for The Endless River by Pink Floyd". Metacritic. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2014. สืบค้นเมื่อ 5 November 2014.
- ↑ Kharpal, Arjun (10 November 2014). "Pink Floyd album becomes most pre-ordered on Amazon". CNBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 November 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ Moss, Liv (16 November 2014). "Pink Floyd score first Number 1 album in nearly 20 years!". Official Charts Company. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 November 2014. สืบค้นเมื่อ 16 November 2014.
- ↑ "Pink Floyd score first Number 1 album in nearly 20 years!". localuknews.co.uk. 17 November 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 December 2014. สืบค้นเมื่อ 17 November 2014.
- ↑ Lee, Dave (27 November 2014). "Vinyl record sales hit 18-year high". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 November 2014. สืบค้นเมื่อ 27 November 2014.
- ↑ Everitt, Matt (9 October 2014). "Shaun Keaveny, with a Pink Floyd Exclusive, Pink Floyd Talk to 6 Music's Matt Everitt". BBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2014. สืบค้นเมื่อ 10 October 2014.
- ↑ Greene, Andy (29 October 2014). "David Gilmour: There's No Room in My Life for Pink Floyd". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2014. สืบค้นเมื่อ 9 November 2014.
- ↑ "David Gilmour's New Album "Coming Along Very Well..." in 2015". Neptune Pink Floyd. 29 October 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 November 2014. สืบค้นเมื่อ 9 November 2014.
- ↑ Music, Guardian (14 August 2015). "Pink Floyd are 'done', says Dave Gilmour". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2016.
- ↑ "Pink Floyd Detail Massive 27-Disc 'Early Years' Box Set". Rolling Stone. 28 July 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 September 2017. สืบค้นเมื่อ 29 July 2016.
- ↑ Kreps, Daniel (29 August 2019). "Pink Floyd Ready Massive 'The Later Years' Box Set". Rolling Stone (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2019. สืบค้นเมื่อ 30 August 2019.
- ↑ "Pink Floyd's 'Delicate Sound of Thunder' to be reissued in multiple formats". NME. 27 September 2020.
- ↑ Moore, Sam (10 March 2021). "Pink Floyd announce 'Live At Knebworth 1990' live album". NME. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2021. สืบค้นเมื่อ 11 March 2021.
- ↑ Mazza, Ed (30 May 2018). "Pink Floyd Co-Founder Forms New Act To Play The Band's Earliest Songs". HuffPost UK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 30 May 2018.
- ↑ Kielty, Martin. "Nick Mason's Pink Floyd Supergroup Announces Debut Tour". Ultimate Classic Rock. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2018. สืบค้นเมื่อ 30 May 2018.
- ↑ Greene, Andy. "Pink Floyd's Nick Mason to Play Pre-'Dark Side of the Moon' Songs on U.S. Tour". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 June 2019. สืบค้นเมื่อ 1 June 2019.
- ↑ Grow, Kory. "See Roger Waters, Nick Mason Reunite to Play 'Set the Controls for the Heart of the Sun'". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 April 2019. สืบค้นเมื่อ 1 June 2019.
- ↑ Greene, Andy (10 December 2018). "Nick Mason on the State of Pink Floyd: 'It's Silly to Still Be Fighting'". Rolling Stone (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2020. สืบค้นเมื่อ 27 September 2020.
- ↑ 292.0 292.1 292.2 Greene, Andy (1 June 2021). "Roger Waters Announces 'Animals' Deluxe Edition, Plans for a Memoir". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 October 2022. สืบค้นเมื่อ 2 June 2021.
- ↑ 293.0 293.1 293.2 Alexis, Petridis (7 April 2022). "'This is a crazy, unjust attack': Pink Floyd re-form to support Ukraine". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 April 2022. สืบค้นเมื่อ 7 April 2022.
- ↑ "David Gilmour: Why I'm Bringing Back Pink Floyd After 28 Years". Rolling Stone. 8 April 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2022. สืบค้นเมื่อ 8 April 2022.
- ↑ 295.0 295.1 Willman, Chris (7 February 2023). "Roger Waters Is 'Antisemitic to Rotten Core,' Says Former Pink Floyd Lyricist Polly Samson — and Her Husband, David Gilmour, Emphatically Agrees". Variety. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2023. สืบค้นเมื่อ 8 February 2023.
- ↑ Zemler, Emily (21 July 2023). "Roger Waters to Release 'The Dark Side of the Moon Redux' as a Solo LP in October". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 August 2023. สืบค้นเมื่อ 21 July 2023.
ROGER WATERS HAS re-recorded Pink Floyd's seminal album, The Dark Side of the Moon, and will release it as a solo LP, The Dark Side of the Moon Redux, on Oct. 6 via SGB Music.
- ↑ Monroe, Jazz (19 January 2023). "Pink Floyd announce Dark Side of the Moon box set for 50th anniversary". Pitchfork (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 14 March 2025.
- ↑ Brown, Helen (6 September 2024). "David Gilmour review, Luck and Strange: Graceful ruminations on love and mortality". The Independent (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 6 September 2024.
- ↑ Thomas, Daniel (2 October 2024). "Pink Floyd agrees deal to sell music rights to Sony for $400mn". Financial Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 November 2024. สืบค้นเมื่อ 2 October 2024.
- ↑ Aswad, Jem (14 March 2023). "Pink Floyd's $500 Million Catalog Sale Is 'Basically Dead' — Or Is It?". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 16 March 2023.
- ↑ Greene, Andy (26 August 2024). "David Gilmour on his new LP Luck and Strange, and plans for upcoming tour". Rolling Stone (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 27 August 2024.
- ↑ Willman, Chris (26 February 2025). "'Pink Floyd at Pompeii' Restored Concert Film to Get Imax Release, in Conjunction With First-Time Stand-Alone Live Album". Variety. สืบค้นเมื่อ 27 February 2025.
- ↑ Povey 2008, p. 86.
- ↑ Mason 2005, p. 31.
- ↑ 305.0 305.1 Mason 2005, pp. 31–32.
- ↑ 306.0 306.1 George-Warren 2001, p. 761.
- ↑ di Perna 2002, p. 29.
- ↑ Greene, Doyle (2016). Rock, Counterculture and the Avant-Garde, 1966–1970: How the Beatles, Frank Zappa and the Velvet Underground Defined an Era. McFarland. p. 158. ISBN 978-1-4766-2403-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 October 2016.
- ↑ 309.0 309.1 George-Warren 2001, p. 760.
- ↑ Ramparts. Noah's Ark, Incorporated. 1971.
Pink Floyd was one of the original English acid-rock bands, and probably the acidiest of them all.
- ↑ Santelli, Robert (June 1985). Sixties rock, a listener's guide. Contemporary Books. p. 264. ISBN 978-0-8092-5439-2.
Of all the major bands to emerge in Britain in the late sixties, none was more wildly experimental and more closely tied to the atmospheric qualities of acid rock than Pink Floyd.
- ↑ Greene, Doyle (2016). Rock, Counterculture and the Avant-Garde, 1966–1970: How the Beatles, Frank Zappa and the Velvet Underground Defined an Era. McFarland. p. 182. ISBN 978-1-4766-2403-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 October 2016.
- ↑ Chapman 2012, p. 113.
- ↑ DeRogatis 2006, p. xvi.
- ↑ The Hutchinson Softback Encyclopedia. Helicon. 1993. p. 653. ISBN 978-0-09-177134-8.
- ↑ Cormack 2024, p. 81.
- ↑ Cormack 2024, p. 78.
- ↑ 318.0 318.1 Palacios 2010.
- ↑ Povey & Russell 1997, p. 97.
- ↑ Povey 2008, p. 85.
- ↑ Miles 2011.
- ↑ Fowler, David (2008). Youth culture in modern Britain, c.1920-c.1970: from ivory tower to global movement – a new history. Palgrave Macmillan. p. 9. ISBN 978-0-333-59921-1.
... the most celebrated psychedelic pop group of the 1960s, Pink Floyd ...
- ↑ Fitch 2001, p. 45.
- ↑ Hibbert 1996, p. 147.
- ↑ George-Warren 2001, pp. 760–761.
- ↑ 326.0 326.1 di Perna 2006, p. 59.
- ↑ Palacios 2010, p. 101.
- ↑ Chapman 2010, pp. 97–99.
- ↑ Chapman 2010, p. 99.
- ↑ Palacios 2010, p. 82.
- ↑ Palacios 2010, p. 115.
- ↑ Denyer, Ralph (1992). The Guitar Handbook. Dorling Kindersley Ltd. p. 23. ISBN 0-679-74275-1.
- ↑ 333.0 333.1 di Perna 2006, p. 58: "the missing link"; For Rolling Stone's "100 Greatest Guitarists" list see: "100 Greatest Guitarists of All Time: 51) David Gilmour". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ di Perna 2006, pp. 58–59.
- ↑ 335.0 335.1 335.2 335.3 Brown 2006, p. 62.
- ↑ Brown 2006, p. 66.
- ↑ Blake 2008, p. 86.
- ↑ Blake 2008, p. 134.
- ↑ Blake 2008, p. 178.
- ↑ Mason 2005, p. 169: Synthesiser use in "On the Run"; Fitch 2005, p. 324: Synthesiser use on "Welcome to the Machine"; Fitch & Mahon 2006, p. 71: Synthesiser use on "In the Flesh?".
- ↑ Mabbett 1995, p. 39.
- ↑ Blake 2008, pp. 297–298.
- ↑ DeRogatis, Jim (2003). Turn On Your Mind. Hal Leonard. pp. 132.
The Floyd's music was tailor-made for soundtracks, and the group did more than its share.
- ↑ Mason 2005, pp. 133–135.
- ↑ Schaffner 1991, p. 128.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 135–136.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 156–157.
- ↑ Calore, Michael (12 May 2009). "12 May 1967: Pink Floyd Astounds With 'Sound in the Round'". Wired. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2011. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Schaffner 1991, pp. 42–43.
- ↑ Fitch 2005, pp. 359–360: Peter Wynne-Willson; Mason 2005, pp. 78–79: Wynne-Willson updated the band's lighting rig with some innovative ideas.
- ↑ Mason 2005, p. 70.
- ↑ Povey 2008, p. 58.
- ↑ Mason 2005, pp. 115–119.
- ↑ Povey 2008, pp. 87: The television audience, 111: Pink Floyd performed a piece titled "Moonhead".
- ↑ Povey 2008, p. 183.
- ↑ Fitch 2005, p. 241.
- ↑ Blake 2008, pp. 280–282.
- ↑ Blake 2008, pp. 284–285.
- ↑ O'Neill Surber 2007, p. 192.
- ↑ Croskery 2007, p. 36.
- ↑ Reisch 2007, p. 268.
- ↑ Weinstein 2007, pp. 81–82.
- ↑ Fitch 2005, p. 133.
- ↑ Detmer 2007, p. 77.
- ↑ Detmer 2007, p. 75.
- ↑ 366.0 366.1 366.2 O'Neill Surber 2007, p. 197.
- ↑ Thorgerson, Storm (1978). The Work of Hipgnosis – Walk Away Reneé. A & W. p. 148. ISBN 978-0-89104-105-4.
- ↑ Weinstein 2007, p. 90.
- ↑ Cormack 2024.
- ↑ 370.0 370.1 Croskery 2007, p. 35.
- ↑ Croskery 2007, pp. 35–36.
- ↑ Croskery 2007, pp. 37–40.
- ↑ Croskery 2007, p. 40.
- ↑ Croskery 2007, pp. 37–38.
- ↑ Croskery 2007, p. 39.
- ↑ Croskery 2007, p. 41.
- ↑ Croskery 2007, pp. 41–42.
- ↑ Harris 2005, p. 89.
- ↑ 379.0 379.1 379.2 379.3 O'Neill Surber 2007, p. 195.
- ↑ O'Neill Surber 2007, p. 196.
- ↑ Detmer 2007, p. 73.
- ↑ O'Neill Surber 2007, pp. 195–196.
- ↑ Blake 2008, p. 294: The Final Cut dedicated to Waters's late father; George-Warren 2001, p. 761: A Requiem for the Postwar Dream.
- ↑ Blake 2008, pp. 294–295: The influence of WWII on The Wall, 351: An English society depleted of men after WWII.
- ↑ Blake 2008, pp. 194–195.
- ↑ Weinstein 2007, p. 85.
- ↑ Harris 2005, p. 81.
- ↑ Reisch 2007, p. 257.
- ↑ 389.0 389.1 Reisch 2007, p. 263.
- ↑ Reisch 2007, pp. 263–264.
- ↑ Reisch 2007, pp. 258–264.
- ↑ "Rock & Roll Hall of Fame: Pink Floyd biography". Rock and Roll Hall of Fame. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ For 250 million records sold see: "Pink Floyd Reunion Tops Fans' Wish List in Music Choice Survey". Bloomberg Television. 26 September 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.; For 75 million RIAA-certified units sold see: "Top Selling Artists". Recording Industry Association of America. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.; For 37.9 million albums sold since 1993 see: "The Nielsen Company & Billboard's 2012 Music Industry Report". Business Wire. 4 January 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2013. สืบค้นเมื่อ 10 May 2014.
- ↑ "Sunday Times Rich List 2013: Music Millionaires". 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2013. สืบค้นเมื่อ 23 November 2013.
- ↑ "Dark Side ranked no. 43". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2011. สืบค้นเมื่อ 27 November 2021.
- ↑ "The Wall ranked no. 87". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2011. สืบค้นเมื่อ 27 November 2021.
- ↑ "Wish You Were Here ranked no. 209". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2011. สืบค้นเมื่อ 27 November 2021.
- ↑ "Piper ranked no. 347". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2011. สืบค้นเมื่อ 27 November 2021.
- ↑ "Rolling Stone: 500 Greatest Songs of All Time 2004 301–400". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2008. สืบค้นเมื่อ 27 November 2021.
- ↑ Olsen, Eric (3 March 2004). "The 10 best rock bands ever: A purely subjective list of the groups that changed music forever". today.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Barnes, Anthony (3 October 2004). "Q: Which is biggest band of all time? A: And readers say ..." The Independent. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ "100 Greatest Artists: 51) Pink Floyd". Rolling Stone. 3 December 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 June 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ For VH1's "100 Greatest Artists of All Time" see: Juzwiak, Rich (10 August 2010). "Who Will Come Out on Top of VH1's 100 Greatest Artists of All Time?". VH1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 August 2012.
- ↑ Larkin, Colin (1998). All Time Top 1000 Albums: The World's Most Authoritative Guide to the Perfect Record Collection. Virgin. p. 281. ISBN 978-0-7535-0258-7.
- ↑ Petridis, Alexis (7 November 2008). "Pop & rock review: Genesis, The Beginning 1970–1975". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2019. สืบค้นเมื่อ 11 November 2019.
- ↑ Olsen, Eric (30 March 2004). "The 10 best rock bands ever". Today.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 May 2020. สืบค้นเมื่อ 20 February 2021.
- ↑ Povey 2008, p. 348: Grammy award for The Wall; For the 1982 BAFTA awards see: "BAFTA: Awards Database". BAFTA. 1982. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ "And the Winners Are ..." The New York Times. 2 March 1995. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ Nordstrom, Louise (21 May 2008). "Pink Floyd wins Polar Music Prize". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2012. สืบค้นเมื่อ 7 October 2010.
- ↑ "Pink Floyd". Polar Music Prize. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 January 2025. สืบค้นเมื่อ 25 January 2025.
- ↑ Povey 2008, p. 286: Rock and Roll Hall of Fame induction; Povey 2008, p. 287: The UK Hall of Fame induction; For the Hit Parade Hall of Fame induction see: "Pink Floyd – 2010 Inductee". Hit Parade Hall of Fame. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2012. สืบค้นเมื่อ 2 August 2012.
- ↑ For Bowie naming Barrett an inspiration see: Bychawski, Adam (11 July 2006). "David Bowie pays tribute to Syd Barrett". NME. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2013. สืบค้นเมื่อ 13 October 2009.; For Edge buying his first delay pedal see: McCormick, Neil, บ.ก. (2006). U2 by U2. HarperCollins. p. 102. ISBN 978-0-00-719668-5.
- ↑ For Queen citing Pink Floyd as an influence see: Sutcillfe, Phil (2009). Queen: The Ultimate Illustrated History of the Crown Kings of Rock. Voyageur Press. p. 17. ISBN 978-0-7603-3719-6.; For Marillion see: Thore, Kim (27 August 2009). "Steve Rothery Interview". All Access Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 March 2014. สืบค้นเมื่อ 24 March 2014.
{{cite web}}
: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์); Manning 2006, p. 288: Queensryche, the Orb, Nemrud, the Smashing Pumpkins; 289: Radiohead; Kitts & Tolinski 2002, p. 126: For Nine Inch Nails see the back cover; For Steven Wilson, see: Masters, Tim (6 September 2012). "Genesis honoured at Progressive Music awards". BBC News. BBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 January 2018. สืบค้นเมื่อ 30 December 2017. - ↑ "Pop/Rock " Art-Rock/Experimental " Neo-Prog". AllMusic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2015. สืบค้นเมื่อ 28 July 2015.
- ↑ Lambe, Stephen. "New Prog Rock festival hits Gloucester". BBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2017. สืบค้นเมื่อ 22 December 2015.
- ↑ Johnson, Steve (6 May 2009). "Cue the coconuts: 'Holy Grail' gallops on". Chicago Tribune. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2014. สืบค้นเมื่อ 30 November 2014.
- ↑ "Queen – not that one – to appear on postage stamps". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2020. สืบค้นเมื่อ 28 June 2020.
- ↑ "Pink Floyd exhibition announced for Victoria and Albert Museum". BBC News. 31 August 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2017. สืบค้นเมื่อ 1 October 2017.
- ↑ "V&A – Pink Floyd: Their Mortal Remains". Victoria and Albert Museum. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 October 2017. สืบค้นเมื่อ 7 October 2017.
- ↑ "Ambitious, fascinating and faceless – just like Pink Floyd themselves: Their Mortal Remains, V&A, review". The Daily Telegraph. 7 May 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 October 2017. สืบค้นเมื่อ 7 October 2017.
- ↑ "Pink Floyd exhibition set to become V&A's most visited music show". The Guardian. 30 August 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 October 2017. สืบค้นเมื่อ 7 October 2017.
- ↑ Gillan, Audrey (11 July 2006). "Syd Barrett dies aged 60". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2021. สืบค้นเมื่อ 11 October 2021.
- ↑ Blake 2008, pp. 166, 316–317.
- ↑ Pink Floyd (1988). Delicate Sound of Thunder. สืบค้นเมื่อ 31 December 2023.
- ↑ Pareles, Jon (16 September 2008). "Richard Wright, Member of Pink Floyd, Dies at 65". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2018. สืบค้นเมื่อ 11 October 2021.
ข้อมูล
แก้- Blake, Mark (2011) [2007]. Pigs Might Fly : The Inside Story of Pink Floyd. Arum Press. ISBN 978-1-78131-519-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 May 2021. สืบค้นเมื่อ 18 November 2021.
- Blake, Mark (2008). Comfortably Numb: The Inside Story of Pink Floyd. Da Capo Press. ISBN 978-0-306-81752-6.
- Bronson, Fred (1992). Weiler, Fred (บ.ก.). The Billboard Book of Number One Hits (3rd revised ed.). Billboard Books. ISBN 978-0-8230-8298-8.
- Brown, Jimmy (May 2006). "Sorcerer Full of Secrets". Guitar World. Vol. 27 no. 5.
- Chapman, Rob (2012). Syd Barrett and British Psychedelia: Faber Forty-Fives: 1966–1967. Faber & Faber. ISBN 978-0-571-29676-7.
- Cormack, Mike (2024). Everything Under The Sun: The Complete Guide To Pink Floyd. The History Press. ISBN 978-1803995359.
- Croskery, Patrick (2007). "Pigs Training Dogs to Exploit Sheep: Animals as a Beast Fable Dystopia". ใน Reisch, George A (บ.ก.). Pink Floyd and Philosophy: Careful with that Axiom, Eugene!. Open Court. ISBN 978-0-8126-9636-3.
- DeRogatis, Jim (2006). Staring at Sound: The True Story of Oklahoma's Fabulous Flaming Lips. Broadway Books. ISBN 978-0-7679-2140-4.
- Detmer, David (2007). "Dragged Down by the Stone: Pink Floyd, Alienation, and the Pressures of Life". ใน Reisch, George A (บ.ก.). Pink Floyd and Philosophy: Careful with that Axiom, Eugene!. Open Court. ISBN 978-0-8126-9636-3.
- di Perna, Alan (May 2006). "Shine On". Guitar World. 27 (5).
- di Perna, Alan (2002). "Mysterious Ways". ใน Kitts, Jeff; Tolinski, Brad (บ.ก.). Guitar World Presents: Pink Floyd. Hal Leonard. ISBN 978-0-7546-6708-7.
- Fitch, Vernon (2005). The Pink Floyd Encyclopedia (Third ed.). Collector's Guide Publishing. ISBN 978-1-894959-24-7.
- Fitch, Vernon (2001). Pink Floyd: The Press Reports 1966–1983. Collector's Guide Publishing Inc. ISBN 978-1-896522-72-2.
- Fitch, Vernon; Mahon, Richard (2006). Comfortably Numb: A History of "The Wall", Pink Floyd, 1978–1981 (1st ed.). PFA Publishing, Inc. ISBN 978-0-9777366-0-7.
- George-Warren, Holly, บ.ก. (2001). The Rolling Stone Encyclopedia of Rock & Roll (2005 revised and updated ed.). Fireside. ISBN 978-0-7432-9201-6.
- Harris, John (2005). The Dark Side of the Moon (First Hardcover ed.). Da Capo. ISBN 978-0-306-81342-9.
- Hibbert, Tom (1996) [1971]. "Who the hell does Roger Waters think he is?". ใน MacDonald, Bruno (บ.ก.). Pink Floyd: Through the Eyes of the Band, Its Fans and Foes. Da Capo. ISBN 978-0-306-80780-0.[ลิงก์เสีย]
- Kitts, Jeff; Tolinski, Brad, บ.ก. (2002). Guitar World Presents: Pink Floyd. Hal Leonard. ISBN 978-0-7546-6708-7.
- Mabbett, Andy (1995). The Complete Guide to the Music of Pink Floyd (1st UK paperback ed.). Omnibus Press. ISBN 978-0-7119-4301-8.
- Manning, Toby (2006). The Rough Guide to Pink Floyd (First ed.). Rough Guides. ISBN 978-1-84353-575-1.
- Mason, Nick (2005) [2004]. Dodd, Philip (บ.ก.). Inside Out: A Personal History of Pink Floyd (Paperback ed.). Phoenix. ISBN 978-0-7538-1906-7.
- Miles, Barry (2011). Pink Floyd: The Early Years. Omnibus Press. ISBN 978-0-85712-740-2.
- Palacios, Julian (2010). Syd Barrett and Pink Floyd: Dark Globe. Plexus. ISBN 978-0-85965-431-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2016. สืบค้นเมื่อ 12 January 2016.
- Povey, Glenn (2008) [2007]. Echoes: The Complete History of Pink Floyd. Mind Head Publishing. ISBN 978-0-9554624-1-2.
- Povey, Glen; Russell, Ian (1997). Pink Floyd: In the Flesh: The Complete Performance History (1st US paperback ed.). St. Martin's Press. ISBN 978-0-9554624-0-5.
- Reisch, George A (2007). "The Worms and the Wall: Michael Foucault on Syd Barrett". ใน Reisch, George A (บ.ก.). Pink Floyd and Philosophy: Careful with that Axiom, Eugene!. Open Court. ISBN 978-0-8126-9636-3.
- Roberts, David, บ.ก. (2005). British Hit Singles & Albums (18 ed.). Guinness World Records Limited. ISBN 978-1-904994-00-8.
- Rosen, Craig (1996). Lukas, Paul (บ.ก.). "The Billboard Book of Number One Albums". Billboard. ISBN 978-0-8230-7586-7.
- Schaffner, Nicholas (1991). Saucerful of Secrets (First ed.). Sidgwick & Jackson. ISBN 978-0-283-06127-1.
- Scarfe, Gerald (2010). The Making of Pink Floyd: The Wall (1st US paperback ed.). Da Capo Press. ISBN 978-0-306-81997-1.
- Simmons, Sylvie (December 1999). "Pink Floyd: The Making of The Wall". Mojo Magazine. Vol. 73.
- O'Neill Surber, Jere (2007). "Wish You Were Here (But You Aren't): Pink Floyd and Non-Being". ใน Reisch, George A (บ.ก.). Pink Floyd and Philosophy: Careful with that Axiom, Eugene!. Open Court. ISBN 978-0-8126-9636-3.
- Watkinson, Mike; Anderson, Pete (2001). Crazy Diamond: Syd Barrett & the Dawn of Pink Floyd (First ed.). Omnibus Press. ISBN 978-0-7119-2397-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 September 2024. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- Watts, Michael (1996) [1971]. "Pink's muddled Meddle". ใน MacDonald, Bruno (บ.ก.). Pink Floyd: Through the Eyes of the Band, Its Fans and Foes. Da Capo Press. ISBN 978-0-306-80780-0.
- Weinstein, Deena (2007). "Roger Waters: Artist of the Absurd". ใน Reisch, George A (บ.ก.). Pink Floyd and Philosophy: Careful with that Axiom, Eugene!. Open Court. ISBN 978-0-8126-9636-3.
อ่านเพิ่ม
แก้หนังสือ
- Bench, Jeff; O'Brien, Daniel (2004). Pink Floyd's The Wall: In the Studio, on Stage and on Screen (First UK paperback ed.). Reynolds and Hearn. ISBN 978-1-903111-82-6.
- Hearn, Marcus (2012). Pink Floyd. Titan Books. ISBN 978-0-85768-664-0.
- Jones, Cliff (1996). Another Brick in the Wall: The Stories Behind Every Pink Floyd Song. Broadway Books. ISBN 978-0-553-06733-0.
- Mabbett, Andy (2010). Pink Floyd: The Music and the Mystery. Omnibus Press. ISBN 978-1-84938-370-7.
- Miles, Barry (1988). Pink Floyd: 25th Anniversary Edition (Visual Documentary). Omnibus Press. ISBN 978-0-7119-4109-0.
- Miles, Barry (2007). Pink Floyd. Omnibus Press. ISBN 978-1-84609-444-6.
- Palacios, Julian (2001). Lost in the Woods: Syd Barrett and the Pink Floyd. Boxtree. ISBN 978-0-7522-2328-5.
- Reising, Russell (2005). Speak to Me. Ashgate Publishing, Ltd. ISBN 978-0-7546-4019-6.
- Ruhlmann, William (2004). Breaking Records. Routledge. ISBN 978-0-415-94305-5.
- Ruhlmann, William (1993). Pink Floyd. Smithmark. ISBN 978-0-8317-6912-3.
- Snider, Charles (2008). The Strawberry Bricks Guide to Progressive Rock. Strawberry Bricks. ISBN 978-0-615-17566-9.
สารคดี
- CreateSpace (2009). Pink Floyd: Meddle (Streaming video). Sexy Intellectual.
- John Edginton (Director) (2012). Pink Floyd: The Story of Wish You Were Here (Colour, NTSC, DVD). Eagle Rock Entertainment.
- Matthew Longfellow (Director) (2003). Classic Albums: The Making of The Dark Side of the Moon (Colour, Dolby, NTSC, DVD). Eagle Rock Entertainment.
- Pink Floyd (2007). Pink Floyd – Then and Now (Colour, NTSC DVD). Pride.
- Pink Floyd (2010). Pink Floyd – Whatever Happened to Pink Floyd? (Colour, NTSC, DVD). Sexy Intellectual.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- เว็บไซต์ทางการ
- พิงก์ฟลอยด์ ที่ออลมิวสิก
- พิงก์ฟลอยด์ ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- บริษัท พิงก์ฟลอยด์ จัดกลุ่มที่ โอเพนคอร์ปอเรตส์
- พิงก์ฟลอยด์ ที่โรลลิงสโตน
- พิงก์ฟลอยด์ กำหนดการทัวร์ที่ซองคิก