เฉิน อี้ (จอมพล)

ผู้นำทหารและนักการเมืองชาวจีน (ค.ศ. 1901–1972)

เฉิน อี้ (จีน: 陈毅; พินอิน: Chén Yì; เวด-ไจลส์: Chen I; 26 สิงหาคม ค.ศ. 1901 – 6 มกราคม ค.ศ. 1972) เป็นผู้บัญชาการทหารและนักการเมืองคอมมิวนิสต์ชาวจีน ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1958 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ถึง 1972 เขาเป็นหนึ่งในสิบจอมพลของสาธารณรัฐประชาชนจีน

เฉิน อี้
陈毅
รองนายกรัฐมนตรีจีน
ดำรงตำแหน่ง
กันยายน ค.ศ. 1954 – มกราคม ค.ศ. 1972
หัวหน้ารัฐบาลโจว เอินไหล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนที่ 2
ดำรงตำแหน่ง
11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 – 6 มกราคม ค.ศ. 1972
หัวหน้ารัฐบาลโจว เอินไหล
รองหลัว กุ้ยปัว
ก่อนหน้าโจว เอินไหล
ถัดไปจี เผิงเฟย์
เลขาธิการพรรคประจำนครเซี่ยงไฮ้
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1950 – ค.ศ. 1954
ก่อนหน้าเหรา ชู่ฉือ
ถัดไปเคอ ชิ่งชือ
นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ คนที่ 8
ดำรงตำแหน่ง
พฤษภาคม ค.ศ. 1949 – พฤศจิกายน ค.ศ. 1958
ก่อนหน้าจ้าว จู่คัง
ถัดไปเค่อ ชิ่งชือ
อธิการบดีมหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีน คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1955 – ค.ศ. 1969
ก่อนหน้าไม่มี
ถัดไปหลิว ชุน
ปิดจนถึง 1980
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
เฉิน ชื่อจฺวิ้น (陈世俊)

26 สิงหาคม ค.ศ. 1901(1901-08-26)
อำเภอเล่อจื้อ เสฉวน จักรวรรดิชิง
เสียชีวิต6 มกราคม ค.ศ. 1972(1972-01-06) (70 ปี)
ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
คู่สมรส
  • เซียว จฺวี๋อิง (萧菊英) (สมรส 1930; เสียชีวิต 1932)
  • ไล่ เยฺว่หมิง (赖月明) (สมรส 1932) (ต่อมาแยกทางกันเพราะสงคราม โดยต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว เธอแต่งงานใหม่ในภายหลัง)
    จาง เฉียน (张茜) (สมรส 1940)[1]
บุตรเฉิน เฮ่าซู, เฉิน เสียวหลู่
ญาติหวัง กวงย่า
ชื่อเล่น元帅诗人 (yuán shuài shī rén, "จอมพลนักกวี")
陈老总 (Chén lǎozǒng, "หัวหน้าเก่าเฉิน")
501 (สัญญาณเรียกขานทางทหาร)
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
สังกัด กองทัพบกกองทัพปลดปล่อยประชาชน
ประจำการ1927–1972
ยศจอมพลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
บังคับบัญชา
  • ผู้บัญชาการ กองทัพสนามจีนตะวันออก กองทัพปลดปล่อยประชาชน
  • รองผู้บัญชาการ กองทัพสนามจีนภาคกลาง กองทัพปลดปล่อยประชาชน
ผ่านศึก
รางวัล

ชีวิตช่วงต้น

แก้

เฉินเกิดในอำเภอเล่อจื้อ ใกล้เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ในครอบครัวขุนนางฐานะปานกลาง

 
จาค็อบ โรเซนเฟลด์ (กลาง) หลิว เช่าฉี (ซ้าย) และเฉิน อี้ (ขวา)
 
รูปปั้นครึ่งตัวของเฉิน อี้ในวิทยาเขตมหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีน

สงคราม

แก้

เขาเป็นสหายของหลิน เปียวตั้งแต่สมัยที่พวกเขาทำการรบแบบกองโจร และมีบทบาทโดดเด่นในโซเวียตเจียงซี ต่อมา เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขา เขาเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาสิบจอมพลที่ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทัพทางไกล ด้วยเหตุนี้ เฉินจึงได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเย่ ถิงในกองทัพใหม่ที่สี่ในภายหลัง หลังอุบัติการณ์ว่านหนาน เฉินสืบทอดตำแหน่งต่อจากเย่ ถิงเป็นผู้บัญชาการกองทัพใหม่ที่สี่ในระหว่างสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (1937–1945) เขาเป็นกำลังสำคัญในฐานะผู้บัญชาการกองทัพสนามที่ 3 โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับซู่ ยฺวี่ เพื่อนสนิทและสหายของเขา เมื่อซู่แสดงความเชี่ยวชาญและความสามารถของเขาในการทำสงครามรูปแบบขนาดใหญ่ การแบ่งหน้าที่ระหว่างพวกเขานั้นหมายความว่าเฉินยังคงทำหน้าที่บัญชาการกองทัพสนามที่ 3 แต่มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนแผนการรบของซู่รวมถึงงานด้านการเมือง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของเขา ดังนั้น เขาและซู่จึงเป็นผู้นำการตอบโต้การรุกของกองทัพก๊กมินตั๋งในชานตงในช่วงสงครามกลางเมืองจีน และต่อมาได้บัญชาการกองทัพคอมมิวนิสต์ที่เอาชนะกองกำลังก๊กมินตั๋งในการทัพหวยไห่และยึดครองภูมิภาคแยงซีตอนล่างในช่วง ค.ศ. 1948–49 หลังยึดเซี่ยงไฮ้ได้ เขายังคงอยู่ในเซี่ยงไฮ้ในฐานะนายกเทศมนตรี ซึ่งเขาควบคุมดูแลการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสถียรภาพของเมือง ใน ค.ศ. 1949 เขาเสนอจะบัญชาการกองทัพอาสาสมัครประชาชนในเกาหลี แต่เหมาปฏิเสธ อาจเป็นเพราะซู่ คู่หูของเฉินสุขภาพไม่ดีเนื่องจากบาดแผลจากสะเก็ดระเบิด และเลือกเผิง เต๋อหวยแทน เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นจอมพลใน ค.ศ. 1955

สาธารณรัฐประชาชน

แก้

หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เฉินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ เขายังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ. 1954 ถึง 1972 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ถึง 1972 และอธิการบดีมหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1961 ถึง 1969 ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เขาอยู่ในเหตุการณ์ช่วงความสัมพันธ์จีน–โซเวียตแตกหัก ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1960 เฉินพยายามลดความตึงเครียดกับสหภาพโซเวียต โดยกล่าวต่อเอกอัครราชทูตโซเวียตประจำปักกิ่งในครั้งหนึ่งว่ามอสโกควรหยุด "ตัดความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองชาติ" และสองสัปดาห์ต่อมากล่าวต่อรองรัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียตว่ามอสโกและปักกิ่งควรพยายามรักษาพันธมิตรไว้[2]

เช่นเดียวกับผู้กำหนดนโยบายชาวจีนคนอื่น ๆ เฉินมองว่าสนธิสัญญาห้ามทดสอบอาวุธนิวเคลียร์แบบจำกัดเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1963 เป็นการแสดงให้เห็นถึงการจัดแนวใหม่ของสหรัฐและสหภาพโซเวียตที่ต่อต้านจีน[3]: 96–97  เฉินอธิบายว่า "มันมุ่งเป้ามาที่เรา"[3]: 96 

ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เฉินเป็นหนึ่งในผู้นำที่แสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดในกระแสต่อต้านเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมว่าสร้างความวุ่นวายทางสังคมและบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของจีน[4]: 154  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกบังคับให้ยื่นคำร้องขอลาพักงานและทำการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง[4]: 154  แต่เขาไม่เคยถูกไล่ออก ดังนั้นโจว เอินไหลจึงทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศแทน

เขาเป็นสมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 8 ตั้งแต่ ค.ศ. 1956 ถึง 1967 แต่ไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกกรมการเมืองชุดที่ 9 (ค.ศ. 1969) ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 9

หลังจอมพลหลิน เปียวเสียชีวิตใน ค.ศ. 1971 เขาก็ได้รับการกุ้ชื่อเสียง แม้จะไม่กลับคืนสู่พลังอำนาจเดิมของเขาก็ตาม เหมา เจ๋อตงเข้าร่วมงานศพของเฉินใน ค.ศ. 1972[5] นี่เป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายของเหมาและเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเขาในงานศพของผู้ใดก็ตามในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม

ชีวิตส่วนตัว

แก้

เมื่อไม่ได้สวมเครื่องแบบทหาร เฉินเป็นที่รู้จักจากแว่นกันแดดและเสื้อเชิ้ตสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เขาเป็นนักเล่นหมากล้อมตัวยงและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันหมากล้อมให้เป็นกีฬาอาชีพในจีน

อ้างอิง

แก้
  1. maokaikai, บ.ก. (7 January 2016). "陈毅的子女后代 陈毅有几位妻子" [The descendants of Chen Yi. How many wives did Chen Yi have?]. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2017. สืบค้นเมื่อ 9 February 2017.
  2. Shu Guang Zhang, 2010, The Sino-Soviet alliance and the Cold War in Asia, 1954-1962. The Cambridge History of the Cold War, Vol 1, p.371.
  3. 3.0 3.1 Crean, Jeffrey (2024). The Fear of Chinese Power: an International History. New Approaches to International History series. London, UK: Bloomsbury Academic. ISBN 978-1-350-23394-2.
  4. 4.0 4.1 Hou, Li (2021). Building for Oil: Daqing and the Formation of the Chinese Socialist State. Harvard-Yenching Institute monograph series. Cambridge, Massachusetts: Harvard University Asia Center. ISBN 978-0-674-26022-1.
  5. Perlez, Jane (6 December 2013). "A Leader in Mao's Cultural Revolution Faces His Past". New York Times. สืบค้นเมื่อ 26 December 2013.