หลิว เช่าฉี
หลิว เช่าฉี (จีน: 刘少奇; พินอิน: Liú Shàoqí; 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1898 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969) เป็นนักปฏิวัติและนักการเมืองชาวจีน ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติตั้งแต่ ค.ศ. 1954 ถึง 1959 รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 1 ตั้งแต่ ค.ศ. 1957 ถึง 1966 และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน (ประมุขแห่งรัฐ) ตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1968 เขาเคยได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเหมา เจ๋อตง แต่ต่อมาถูกปลดจากตำแหน่งและถูกกวาดล้างในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม
หลิว เช่าฉี | |||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
刘少奇 | |||||||||||||||||
![]() | |||||||||||||||||
ประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่ 2 | |||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 27 เมษายน ค.ศ. 1959 – 31 ตุลาคม ค.ศ. 1968 (9 ปี 187 วัน) | |||||||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | โจว เอินไหล | ||||||||||||||||
รองประธานาธิบดี | ต่ง ปี้อู่ และซ่ง ชิ่งหลิง | ||||||||||||||||
ผู้นำ | เหมา เจ๋อตง (ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน) | ||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||
ถัดไป | ต่ง ปี้อู่ และซ่ง ชิ่งหลิง (รักษาการ) | ||||||||||||||||
ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ คนที่ 1 | |||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 27 กันยายน ค.ศ. 1954 – 27 เมษายน ค.ศ. 1959 (4 ปี 212 วัน) | |||||||||||||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||||||||||||
ถัดไป | จู เต๋อ | ||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 28 กันยายน ค.ศ. 1956 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1966 (9 ปี 307 วัน) | |||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||||||||||||
ถัดไป | หลิน เปียว | ||||||||||||||||
สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติ | |||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 15 กันยายน ค.ศ. 1954 – 21 ตุลาคม ค.ศ. 1968 (14 ปี 36 วัน) | |||||||||||||||||
เขตเลือกตั้ง | ปักกิ่ง ทั้งเขต | ||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||
เกิด | 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1898 หนิงเซียง มณฑลหูหนาน จักรวรรดิชิง | ||||||||||||||||
เสียชีวิต | 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 ไคเฟิง เหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน | (70 ปี)||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1921–1968) | ||||||||||||||||
คู่สมรส |
| ||||||||||||||||
บุตร | 9 (รวมถึงหลิว หยุ่นปิน และหลิว ยฺเหวียน) | ||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 刘少奇 | ||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 劉少奇 | ||||||||||||||||
| |||||||||||||||||
ในช่วงวัยรุ่น หลิวมีส่วนร่วมในขบวนการแรงงานในการนัดหยุดงานหลายครั้ง รวมถึงขบวนการ 30 พฤษภาคม หลังการปะทุของสงครามกลางเมืองจีนใน ค.ศ. 1927 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมอบหมายให้เขาทำงานในพื้นที่เซี่ยงไฮ้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และเดินทางไปยังโซเวียตเจียงซีใน ค.ศ. 1932 เขาเข้าร่วมการเดินทัพทางไกล และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคในภาคเหนือของจีนใน ค.ศ. 1936 เพื่อนำการต่อต้านญี่ปุ่นในภูมิภาคดังกล่าว ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง หลิวเป็นผู้นำสำนักงานที่ราบภาคกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายหลังเหตุการณ์กองทัพใหม่ที่สี่ใน ค.ศ. 1941 หลิวได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการเมืองของกองทัพใหม่ที่สี่ หลังเดินทางกลับมายังเหยียนอานใน ค.ศ. 1943 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 หลิวได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานรัฐบาลประชาชนส่วนกลาง หลังการก่อตั้งสภาประชาชนแห่งชาติใน ค.ศ. 1954 หลิวได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา ใน ค.ศ. 1959 เขาสืบทอดตำแหน่งประธานสาธารณรัฐประชาชนจีนจากเหมา เจ๋อตง ในช่วงดำรงตำแหน่งประธาน เขาดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประชุมแกนนำ 7,000 คนใน ค.ศ. 1962 หลิวได้รับการประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเหมาใน ค.ศ. 1961 อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและถูกขับออกจากพรรคโดยเหมาหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1966 และท้ายที่สุดก็ถูกกักบริเวณในบ้านใน ค.ศ. 1967 เขาถูกบีบให้ออกจากวงการเมือง และถูกตราหน้าว่าเป็น "ผู้นำกองบัญชาการของชนชั้นกระฎุมพีของจีน" "ผู้เดินตามเส้นทางทุนนิยม" คนสำคัญที่สุดของจีน และผู้ทรยศต่อการปฏิวัติ เขาเสียชีวิตในคุกใน ค.ศ. 1969 ด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน หลิวถูกประณามอย่างกว้างขวางในช่วงหลายปีหลังเสียชีวิตกระทั่งได้รับการกู้ชื่อเสียงหลังเสียชีวิตโดยรัฐบาลเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1980 ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการปัวล่วนฝ่านเจิ้ง รัฐบาลเติ้งยังอนุมัติให้มีการจัดรัฐพิธีศพอย่างเป็นทางการเพื่อไว้อาลัยแก่เขา
วัยเยาว์
แก้หลิวเกิดในครอบครัวชาวนะฐานะปานกลางในหมู่บ้านหฺวาหมิงโหลว[1] อำเภอหนิงเซียง มณฑลหูหนาน[2] บรรพบุรุษมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่อำเภอจี๋ฉุ่ย มณฑลเจียงซี เขาได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่[3]: 142 โดยศึกษาที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอหนิงเซียงและได้รับการแนะนำให้เข้าเรียนในชั้นเรียนที่เซี่ยงไฮ้เพื่อเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่ประเทศรัสเซีย ใน ค.ศ. 1920 เขาและเหริน ปี้ฉือเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนสังคมนิยม ในปีถัดมา หลิวได้รับการคัดเลือกให้ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยผู้ใช้แรงงานแห่งตะวันออกขององค์การคอมมิวนิสต์สากลในมอสโก[1] หลิวศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1921 ถึง 1922 และประสบการณ์ของเขาที่นั่นมีส่วนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการจัดตั้งสหภาพแรงงานจีน การนัดหยุดงาน และคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ใต้ดินในภายหลัง[4]: 96
เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1921 ปีถัดมาเขาเดินทางกลับประเทศจีน และในฐานะเลขาธิการสมาคมแรงงานแห่งประเทศจีนทั้งหมด เขาได้นำการนัดหยุดงานของคนงานรถไฟหลายครั้งในหุบเขาแยงซีและที่อันหยวนบริเวณชายแดนเจียงซี-หูหนาน[1]
กิจกรรมการปฏิวัติ
แก้ใน ค.ศ. 1925 หลิวกลายเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการบริหารสมาคมแรงงานทั่วประเทศซึ่งมีฐานอยู่ในกว่างโจว ในช่วงสองปีถัดมา เขานำการรณรงค์ทางการเมืองและการนัดหยุดงานมากมายในหูเป่ย์และเซี่ยงไฮ้ เขาทำงานร่วมกับหลี่ ลี่ซานในเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1925 โดยจัดกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์หลังขบวนการ 30 พฤษภาคม หลังทำงานที่เซี่ยงไฮ้ หลิวเดินทางไปที่อู่ฮั่น เขาถูกจับกุมตัวสั้น ๆ ในฉางชาและจากนั้นกลับไปกว่างโจวเพื่อช่วยจัดการนัดหยุดงานกวางตุ้ง–ฮ่องกงที่ยาวนาน 16 เดือน[5]
เขาได้รับเลือกเข้าสู่คณะกรรมาธิการกลางของพรรคใน ค.ศ. 1927 และได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากรมแรงงานของพรรค[6] หลิวกลับไปทำงานที่สำนักงานใหญ่พรรคในเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1929 และได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคแมนจูเรียในเฟิ่งเทียน[7] ใน ค.ศ. 1930 และ 1931 เขาเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 และ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 6 และได้รับเลือกเข้าสู่คณะกรรมาธิการบริหารกลาง (หรือก็คือกรมการเมือง) ของสาธารณรัฐโซเวียตจีนใน ค.ศ. 1931 หรือ 1932 ต่อมาใน ค.ศ. 1932 เขาออกจากเซี่ยงไฮ้และเดินทางไปยังเจียงซีโซเวียต[8]
หลิวได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลฝูเจี้ยนใน ค.ศ. 1932 เขาเข้าร่วมการเดินทัพทางไกลใน ค.ศ. 1934 อย่างน้อยก็จนถึงการประชุมจุนอี้ที่สำคัญ แต่หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปยัง "พื้นที่สีขาว" (พื้นที่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋ง) เพื่อจัดกิจกรรมใต้ดินในภาคเหนือของจีน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ปักกิ่งและเทียนจิน เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคในจีนตอนเหนือใน ค.ศ. 1936 โดยนำขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในพื้นที่นั้นด้วยความช่วยเหลือจากเผิง เจิ้น, อัน จื่อเหวิน, ปั๋ว อีปัว, เคอ ชิ่งชือ, หลิว หลานเทา และเหยา อี้หลิน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1937 เขาก่อตั้ง ร่วมกับส่วนที่เหลือของสำนักจีนภาคเหนือ ในปักกิ่ง[9]: 104 ในปีเดียวกัน เขาท้าทายจาง เหวินเทียนเกี่ยวกับปัญหาทางประวัติศาสตร์ของพรรค โดยวิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายหลัง ค.ศ. 1927 ซึ่งถือเป็นการละเมิดฉันทามติที่บรรลุในการประชุมจุนอี้ที่ว่าแนวทางของพรรคถูกต้องโดยพื้นฐาน[9]: 103 หลิวดำรงตำแหน่งผู้บริหารสำนักที่ราบภาคกลางใน ค.ศ. 1939 และผู้บริหารสำนักจีนตอนกลางใน ค.ศ. 1941
ใน ค.ศ. 1937 หลิวเดินทางไปยังฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เหยียนอาน และใน ค.ศ. 1941 เขากลายเป็นกรรมาธิการการเมืองของกองทัพใหม่ที่สี่[10] เขาได้รับเลือกเป็นหนึ่งในห้าเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสภาแห่งชาติของพรรคครั้งที่ 7 ใน ค.ศ. 1945 ในรายงานหลังการประชุม หลิวได้แสดง "จุดมวลชน" สี่ประการที่ต้องปลูกฝังในสมาชิกพรรคทุกคน: "ทุกสิ่งเพื่อมวลชน; ความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อมวลชน; ศรัทธาในการปลดปล่อยตนเองของมวลชน; และการเรียนรู้จากมวลชน[11]
หลังจากการประชุมครั้งนั้น เขากลายเป็นผู้นำสูงสุดของกองกำลังคอมมิวนิสต์ทั้งหมดในแมนจูเรียและจีนตอนเหนือ[10] ซึ่งเป็นบทบาทที่นักประวัติศาสตร์มักมองข้าม
สาธารณรัฐประชาชนจีน
แก้หลิวได้รับตำแหน่งรองประธานรัฐบาลประชาชนส่วนกลางใน ค.ศ. 1949 ใน ค.ศ. 1954 ประเทศจีนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งแรก ที่การประชุมครั้งแรกของสภานี้ เขาได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำของสภา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่จนกระทั่งสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่สองใน ค.ศ. 1959 ตั้งแต่ ค.ศ. 1956 กระทั่งถึงวาระสุดท้ายใน ค.ศ. 1966 เขาดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 1[10]
งานของหลิวเน้นไปที่กิจการด้านการจัดองค์กรและทฤษฎีของพรรค[12] เขาเป็นผู้ร่างข้อบังคับของพรรคและควบคุมดูแลการพัฒนาองค์กรของพรรคให้เป็นไปตามหลักการลัทธิมากซ์–เลนิน[13]: 18–19 เขาเป็นคอมมิวนิสต์แบบโซเวียตดั้งเดิมและสนับสนุนการวางแผนโดยรัฐและการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก เขาขยายความเชื่อทางการเมืองและเศรษฐกิจของตนในงานเขียนของเขา ผลงานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเขา ได้แก่ How to be a Good Communist (1939), On the Party (1945) และ Internationalism and Nationalism (1952)
ประธานประเทศ
แก้หลิวพูดสนับสนุนนโยบายก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าอย่างแข็งขันในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 8 ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1958 อย่างไรก็ตาม ต่อมาเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบของการรณรงค์ โดยเฉพาะภาวะอดอยากที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ในระหว่างการประชุมหลูชานใน ค.ศ. 1959 หลิวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขมาตรการและสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจที่สายกลางมากขึ้น[14] ในการประชุมนี้ หลิวยืนหยัดร่วมกับเติ้ง เสี่ยวผิงและเผิง เจิ้นเพื่อสนับสนุนนโยบายของเหมาต่อผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์มากกว่า เช่น เฉิน ยฺหวินและโจว เอินไหล
ด้วยเหตุนี้ หลิวจึงมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นภายในพรรค ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1959 เขาสืบทอดตำแหน่งประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน (ประธานาธิบดีจีน) ต่อจากเหมา อย่างไรก็ตาม หลิวเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของนโยบายก้าวกระโดดไกลในการประชุมหลูชานเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1959[14] เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของการก้าวกระโดดไกล หลิวและเติ้ง เสี่ยวผิงได้นำการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ส่งเสริมความนิยมของพวกเขาในหมู่กลไกของพรรคและประชาชนทั่วประเทศ นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งและหลิวโดดเด่นในด้านความเป็นสายกลางมากกว่าแนวคิดหัวรุนแรงของเหมา ตัวอย่างเช่น ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจจากการก้าวกระโดดไกลทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องเลื่อนแผนห้าปีฉบับที่สาม หลิวเป็นผู้นำกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มบทบาทของตลาด สร้างแรงจูงใจด้านวัตถุแก่แรงงาน ลดอัตราการลงทุนของภาครัฐ กำหนดเป้าหมายพัฒนาที่สมเหตุสมผล เพิ่มงบประมาณสำหรับอุตสาหกรรมผู้บริโภค[15]: 40 ระหว่างการทำงานเบื้องต้นของแผนห้าปีฉบับที่สาม หลิวกล่าวว่า:[15]: 51
ในอดีต แนวรบด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้นยาวเกินไป มีโครงการมากเกินไป ความต้องการสูงเกินไปและเร่งรีบ การออกแบบทำได้ไม่ดี และโครงการต่าง ๆ เริ่มต้นอย่างเร่งรีบ ... เราให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตเพียงอย่างเดียวและละเลยคุณภาพ เราตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป เราต้องจดจำประสบการณ์การเรียนรู้ที่เจ็บปวดเหล่านี้เสมอ
แตกแยกกับเหมา
แก้หลิวได้รับการยอมรับอย่างเปิดเผยว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาเลือกใน ค.ศ. 1961 อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1962 การที่เขาคัดค้านนโยบายของเหมาทำให้เหมาไม่ไว้วางใจเขา การสนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงปฏิบัติของหลิวและการวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของการก้าวกระโดดไกลทำให้เห็นถึงความแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างเขากับเหมา[16] หลังจากที่เหมาประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูเกียรติภูมิของตนในคริสต์ทศวรรษ 1960[17] การล่มสลายของหลิวก็ "หลีกเลี่ยงไม่ได้" ในที่สุด ตำแหน่งของหลิวในฐานะผู้นำอันดับสองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีส่วนสำคัญในการทำให้เหมาเกิดความขัดแย้งกับเขา ความขัดแย้งนี้มีน้ำหนักมากกว่าความเชื่อทางการเมืองหรือความจงรักภักดีต่อกลุ่มของหลิวในคริสต์ทศวรรษ 1960[16] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงและหลังการประชุมเจ็ดพันแกนนำ ซึ่งบ่งชี้ว่าการข่มเหงหลิวในเวลาต่อมาเป็นผลจากการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจที่เกินเลยเป้าหมายและความเป็นอยู่ที่ดีของจีนหรือพรรค
หลิวเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ใน ค.ศ. 1964 ที่ไม่เต็มใจจะสนับสนุนการรณรงค์แนวรบที่สามที่เสนอโดยเหมาเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในพื้นที่ภายในของจีน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการรุกรานโดยสหรัฐหรือสหภาพโซเวียต[15]: 41 เพื่อพยายามประวิงเวลา หลิวเสนอให้มีการสำรวจและวางแผนเพิ่มเติม[15]: 40 โคเวลล์ เอฟ. เมย์สเกนส์ นักวิชาการ เขียนว่า หลิวและเพื่อนร่วมงานระดับสูงที่เห็นด้วยกับเขาไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมในการรณรงค์อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้หลังจากความล้มเหลวของก้าวกระโดดไกลและพวกเขาต้องการที่จะสานต่อแนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไปในการพัฒนาพื้นที่และเพิ่มการบริโภค[15]: 41 เมื่อความกลัวการรุกรานของอเมริกาเพิ่มขึ้นหลังอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย หลิวและเพื่อนร่วมงานของเขาก็เปลี่ยนมุมมองและเริ่มสนับสนุนการสร้างแนวรบที่สามอย่างเต็มที่[15]: 7
ภายใน ค.ศ. 1966 ผู้นำระดับสูงของจีนไม่กี่คนตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่กำลังเติบโตของการทุจริตและระบบราชการที่มากเกินไปภายในพรรคและรัฐบาล ด้วยเป้าหมายที่จะปฏิรูปการปกครองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง หลิวเองจึงเป็นประธานในการประชุมกรมการเมืองที่ขยายใหญ่ที่เป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม หลิวและพันธมิตรทางการเมืองของเขาสูญเสียการควบคุมการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วหลังจากที่มันถูกประกาศ เมื่อเหมาใช้ขบวนการนี้เพื่อค่อย ๆ ผูกขาดอำนาจทางการเมืองและกำจัดผู้ที่เขาเห็นว่าเป็นศัตรู[18]
ไม่ว่าจะมีสาเหตุอื่นใด การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ประกาศใน ค.ศ. 1966 เป็นการสนับสนุนลัทธิเหมาอย่างเปิดเผย และทำให้เหมามีอำนาจและอิทธิพลในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของเขาในระดับสูงสุดของรัฐบาลออกจากพรรค นอกจากการปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในจีน และการยุยงของเหมาให้เยาวชนจีนทำลายอาคารเก่า วัด และงานศิลปะอย่างไม่เลือกหน้า รวมถึงการโจมตีครู ผู้บริหารโรงเรียน ผู้นำพรรค และพ่อแม่ของตนเองแล้ว[19] การปฏิวัติวัฒนธรรมยังทำให้ชื่อเสียงของเหมาเพิ่มขึ้นอย่างมากจนหมู่บ้านทั้งหมดนำเอาธรรมเนียมการสวดภาวนาต่อเหมาก่อนอาหารทุกมื้อมาใช้[20]
ทั้งในการเมืองระดับชาติและวัฒนธรรมสมัยนิยมของจีน เหมาสถาปนาตนเองเป็นกึ่งเทพที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด โดยกำจัดผู้ใดก็ตามที่สงสัยว่าต่อต้านเขา[21] และสั่งการมวลชนและยุวชนแดง "ให้ทำลายสถาบันของรัฐและพรรคเกือบทั้งหมด[18] หลังจากที่มีการประกาศการปฏิวัติวัฒนธรรม สมาชิกอาวุโสส่วนใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่แสดงความลังเลในการปฏิบัติตามทิศทางของเหมา รวมถึงหลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกปลดจากตำแหน่งเกือบจะทันที และถูกวิพากษ์วิจารณ์และทำให้เสียชื่อเสียงอย่างรุนแรงพร้อมกับครอบครัวของพวกเขา[19] หลิวและเติ้ง พร้อมด้วยคนอื่น ๆ อีกมากมาย ถูกประณามว่าเป็น "พวกเดินตามเส้นทางทุนนิยม"[22] หลิวถูกตราหน้าว่าเป็น "ผู้บัญชาการกองบัญชาการกระฎุมพีของจีน" "ผู้เดินตามเส้นทางทุนนิยม" คนสำคัญของจีน "ผู้เดินตามเส้นทางทุนนิยมที่ใหญ่ที่สุดในพรรค" และเป็นผู้ทรยศต่อการปฏิวัติ[23] เขาถูกปลดจากตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยหลิน เปียวในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1966
ใน ค.ศ. 1967 หลิวและหวัง กวงเหม่ย์ ภรรยาของเขาถูกกักบริเวณในบ้านในปักกิ่ง[24] จุดยืนทางเศรษฐกิจหลักของหลิวถูกโจมตี รวมถึง "สามเสรีภาพและหนึ่งหลักประกัน" ของเขา (ซึ่งส่งเสริมที่ดินส่วนตัว ตลาดเสรี การบัญชีอิสระสำหรับวิสาหกิจขนาดเล็ก และโควตาผลผลิตครัวเรือน) และ "สี่เสรีภาพ" (ซึ่งอนุญาตให้บุคคลในชนบทเช่าที่ดิน ให้กู้ยืมเงิน จ้างแรงงาน และทำการค้า)[25] หลิวถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมดและถูกขับออกจากพรรคในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1968 หลังถูกจับกุม หลิวก็หายตัวไปจากสายตาสาธารณชน
การถูกโจมตี เสียชีวิต และการฟื้นฟู
แก้ในที่ประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 9 หลิวถูกประณามว่าเป็นผู้ทรยศและสายลับของศัตรู โจวเอินไหลอ่านคำตัดสินของพรรคว่าหลิวเป็น "ทรราชอาชญากร สายลับศัตรู และคนขายชาติที่รับใช้พวกจักรวรรดินิยม พวกแก้ลัทธิสมัยใหม่ และพวกปฏิกิริยาก๊กมินตั๋ง" อาการของหลิวไม่ดีขึ้นหลังจากที่เขาถูกประณามในสภา และเสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน[26][27]
ในบันทึกความทรงจำที่เขียนโดยแพทย์ประจำตัวหลักของหลิว เขาโต้แย้งข้อกล่าวหาเรื่องการรักษาทางการแพทย์ที่ไม่เหมาะสมต่อหลิวในช่วงวันสุดท้ายของเขา ตามที่ ดร. กู่ ฉีหฺวา กล่าวไว้ มีคณะแพทย์เฉพาะกิจที่รับผิดชอบการรักษาอาการป่วยของหลิว ระหว่างเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1968 ถึงตุลาคม ค.ศ. 1969 หลิวมีอาการปอดบวมทั้งหมดเจ็ดครั้งเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมโทรม และมีการปรึกษาหารือเป็นกลุ่มทั้งหมด 40 ครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ชั้นนำเกี่ยวกับการรักษาโรคนี้ หลิวได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทุกวันโดยคณะแพทย์ และพวกเขาพยายามอย่างสุดความสามารถภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาเสียชีวิตในเรือนจำจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานในเวลา 06:45 น. ของวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โดยใช้นามแฝงในไคเฟิง และถูกเผาในวันรุ่งขึ้น[28][29][24]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 สองปีหลังเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นสู่อำนาจ การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 5 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 ได้ออก "มติว่าด้วยการฟื้นฟูเกียรติภูมิของสหายหลิว เช่าฉี มติฉบับนั้นได้ฟื้นฟูชื่อเสียงของหลิวอย่างสมบูรณ์ โดยประกาศว่าการขับไล่เขาออกไปนั้นไม่ยุติธรรม และลบคำ "ทรราช คนขายชาติ และคนขี้ขลาด" ที่ถูกตราหน้าเขาในขณะที่เขาเสียชีวิต[22] นอกจากนี้ ยังประกาศให้เขาเป็น "มาร์กซิสต์และนักปฏิวัติชนกรรมาชีพผู้ยิ่งใหญ่" และยอมรับเขาในฐานะผู้นำหลักคนหนึ่งของพรรค หลิน เปียวถูกกล่าวโทษว่า "สร้างหลักฐานเท็จ" เพื่อใส่ร้ายหลิว และร่วมมือกับแก๊งออฟโฟร์เพื่อทำให้เขาตกเป็นเหยื่อ "การใส่ร้ายทางการเมืองและการข่มเหงทางร่างกาย" ใน ค.ศ. 1980 หลิวได้รับการฟื้นฟูหลังความตายโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง การฟื้นฟูชื่อเสียงนี้รวมถึงการขอโทษอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล โดยยอมรับว่าหลิวถูกข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมและผลงานของเขาต่อการปฏิวัติจีนและการพัฒนาในช่วงต้นของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นมีความสำคัญและเป็นเชิงบวก[30] หลังจากการเสร็จสิ้นพิธีฟื้นฟูชื่อเสียง เถ้ากระดูกของหลิวถูกโปรยลงทะเลนอกชายฝั่งชิงเต่า ตามความปรารถนาที่เขาแสดงไว้ก่อนเสียชีวิต[31]
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในมหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งเพื่อรำลึกถึงวันครบรอบ 120 ปีของการเกิดของหลิว เช่าฉี[32]
มรดกของหลิว เช่าฉียังคงเป็นที่ถกเถียงกันในประเทศจีน แม้บทบาทของเขาในการปฏิวัติจีนและการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงแรกจะเป็นที่ยอมรับ แต่การที่เขาถูกข่มเหงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมและความทุกข์ทรมานที่ตามมานั้นก็แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของเส้นทางการเมืองของเขา แนวทางปฏิบัติจริงของหลิวต่อเศรษฐกิจถูกมองว่าเป็นรากฐานของการปฏิรูปที่เปลี่ยนแปลงประเทศจีนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20"[33]
ชีวิตส่วนตัว
แก้หลิวแต่งงานห้าครั้ง รวมถึงกับเหอ เป่าเจิน (何宝珍) และหวัง กวงเหม่ย์ (王光美)[34] เซี่ย เฟย์ (谢飞) ภรรยาคนที่สามของเขา มาจากเหวินชาง ไห่หนาน และเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่เข้าร่วมการเดินทัพทางไกลใน ค.ศ. 1934[35] หวัง กวงเหม่ย์ ภรรยาของเขาขณะที่เขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1969 ถูกเหมาจับเข้าคุกในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เธอถูกกระทำอย่างโหดร้ายในห้องขังเดี่ยวเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ[36]
หลิว ยฺหวิ่นปิน (จีน: 刘允斌; พินอิน: Liú Yǔnbīn) ลูกชายคนที่สาม เป็นนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงผู้ซึ่งถูกเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาฆ่าตัวตายใน ค.ศ. 1967 ด้วยการนอนบนรางรถไฟ เขาได้รับการฟื้นฟูหลังความตายและชื่อเสียงของเขาได้รับการฟื้นคืนใน ค.ศ. 1978
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 Dittmer, Lowell, Liu Shao-ch’i and the Chinese Cultural Revolution: The Politics of Mass Criticism, University of California Press (Berkeley), 1974, p. 27
- ↑ Snow, Edgar, Red Star Over China, Random House (New York), 1938. Citation is from the Grove Press 1973 edition, pp. 482–484
- ↑ Hammond, Ken (2023). China's Revolution and the Quest for a Socialist Future. New York, NY: 1804 Books. ISBN 9781736850084.
- ↑ Li, Xiaobing (2018). The Cold War in East Asia. Abingdon, Oxon: Routledge. ISBN 978-1-138-65179-1.
- ↑ Dittmer, p. 14
- ↑ Chen, Jerome. Mao and the Chinese Revolution, (London), 1965, p. 148
- ↑ Dittmer, p. 15
- ↑ Snow, pp. 482–484
- ↑ 9.0 9.1 Gao Hua, How the Red Sun Rose: The Origins and Development of the Yan'an Rectification Movement, 1930–1945, Chinese University of Hong Kong Press. 2018
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Dittmer 1974, p. 17 citing Tetsuya Kataoka, Resistance and Revolution in China: The Communists and the Second United Front, 1974 pre-publication.
- ↑ MacFarquhar, Roderick (1973). "Problems of Liberalization and the Succession at the Eighth Party Congress". The China Quarterly (56): 617–646. doi:10.1017/S0305741000019524. ISSN 0305-7410. JSTOR 652160.
- ↑ Dittmer 1974, p. 206
- ↑ Tsang, Steve; Cheung, Olivia (2024). The Political Thought of Xi Jinping. Oxford University Press. ISBN 9780197689363.
- ↑ 14.0 14.1 Dikötter, Frank. Mao's Great Famine: The History of China's Most Devastating Catastrophe, 1958-62. Walker & Company, 2010.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 Meyskens, Covell F. (2020). Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China. Cambridge, United Kingdom: Cambridge University Press. ISBN 978-1-108-78478-8. OCLC 1145096137.
- ↑ 16.0 16.1 Teiwes, Frederick C., and Warren Sun. The Tragedy of Lin Biao: Riding the Tiger during the Cultural Revolution, 1966-1971. University of Hawaii Press, 1996.
- ↑ Spence, Jonathan D. The Search for Modern China, New York: W.W. Norton and Company. 1999. ISBN 0-393-97351-4 p. 566.
- ↑ 18.0 18.1 Qiu Jin, The Culture of Power: the Lin Biao Incident in the Cultural Revolution, Stanford University Press: Stanford, California. 1999, p. 45
- ↑ 19.0 19.1 Spence, Jonathan D. The Search for Modern China, New York: W.W. Norton and Company. 1999. ISBN 0-393-97351-4 p. 575.
- ↑ Spence, Jonathan D. The Search for Modern China, New York: W.W. Norton and Company. 1999. ISBN 0-393-97351-4 p. 584
- ↑ Barnouin, Barbara and Yu Changgen. Zhou Enlai: A Political Life. Hong Kong: Chinese University of Hong Kong, 2006. ISBN 962-996-280-2 p. 4
- ↑ 22.0 22.1 Dittmer, Lowell (1981). "Death and Transfiguration: Liu Shaoqi's Rehabilitation and Contemporary Chinese Politics". The Journal of Asian Studies. 40 (3): 455–479. doi:10.2307/2054551. ISSN 0021-9118. JSTOR 2054551.
- ↑ "Liu Shaoqi (1898-1969)". Chinese University of Hong Kong. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2018.
- ↑ 24.0 24.1 Mathews, Jay (4 March 1980). "5 Children of Liu Shaoqi Detail Years in Disfavor". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 25 September 2022.
- ↑ Coderre, Laurence (2021). Newborn socialist things : materiality in Maoist China. Durham [N.C.]: Duke University Press. p. 68. ISBN 978-1478014300.
- ↑ Chung, Jang. Wild Swans: Three Daughters of China. Touchstone: New York. 2003. p. 391. ISBN 0-7432-4698-5.
- ↑ Glover, Jonathan (1999). Humanity : A Moral History of the Twentieth Century. London: J. Cape. p. 289. ISBN 0-300-08700-4.
- ↑ 回忆抢救刘少奇, 炎黄春秋 [Liu Shaoqi's Emergency Treatment] (ภาษาChinese (China)). Sina.com History. 12 November 2013.
- ↑ Alexander V. Pantsov . Mao: The Real Story . Simon & Schuster 2013. p. 519. ISBN 1451654480.
- ↑ Vogel, Ezra F. Deng Xiaoping and the Transformation of China. Harvard University Press, 2011.
- ↑ "Rehabilitation of Liu Shaoqi (Feb. 1980)". China Internet Information Center. 22 June 2011. สืบค้นเมื่อ 14 July 2024.
- ↑ "Xi's speech commemorating 120th anniversary of Liu Shaoqi's birth published". People's Daily. 4 December 2018. สืบค้นเมื่อ 4 December 2018.
- ↑ Lo Porto-Lefébure, Alessia (6 March 2009). "NAUGHTON (Barry) – The Chinese Economy. Transitions and Growth . – Cambridge (Mass.), The MIT Press, 2007. 528 p." Revue française de science politique. 59 (1): IV. doi:10.3917/rfsp.591.0134d. ISSN 0035-2950.
- ↑ 前国家主席刘少奇夫人王光美访谈录 (ภาษาChinese (China)). Sina.com. สืบค้นเมื่อ 29 January 2011.
- ↑ 长征时与刘少奇结伉俪,琼籍女红军传奇人生 (ภาษาChinese (China)). สืบค้นเมื่อ 29 January 2011.
- ↑ Lieberthal, Kenneth. Governing China: From Revolution to Reform. W.W. Norton: New York, 1995.[ไอเอสบีเอ็น ไม่มี]
ข้อมูล
แก้- "Fifth Plenary Session of 11th C.C.P. Central Committee", Beijing Review, No. 10 (10 March 1980), pp. 3–10, which describes the official rehabilitation measures.