หมา

สายพันธุ์สัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่ง
(เปลี่ยนทางจาก สุนัข)

หมา หรือคำสุภาพว่า สุนัข (ชื่อวิทยาศาสตร์: Canis familiaris[4][5] หรือ Canis lupus familiaris[5]) เป็นสัตว์ที่สืบเชื้อสายมาจากหมาป่าที่ปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มักชูหางขึ้นสูง หมาสืบสายพันธุ์จากหมาป่าโบราณที่สูญพันธุ์แล้ว[6][7] และญาติใกล้ชิดกับหมาที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่คือหมาป่าสมัยใหม่[8] หมาเป็นสัตว์สปีชีส์แรกที่ถูกปรับเป็นสัตว์เลี้ยง[9][8]ให้กับคนเก็บของป่าล่าสัตว์เมื่อมากกว่า 15,000 ปีก่อน[7] ซึ่งอยู่ก่อนหน้าการพัฒนาด้านเกษตรกรรม[1]

หมาบ้าน
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: อย่างน้อย 14,200 ปีก่อน - ปัจจุบัน[1]
สถานะการอนุรักษ์
สัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอต
Eukaryota
อาณาจักร: สัตว์
Animalia
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
Chordata
ชั้น: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Mammalia
อันดับ: สัตว์กินเนื้อ
Carnivora
วงศ์: Canidae
Canidae
สกุล: Canis
Canis
Linnaeus, 1758[2]
สปีชีส์: Canis familiaris
ชื่อทวินาม
Canis familiaris
Linnaeus, 1758[2]
ชื่อพ้อง[3]
รายการ
  • C. aegyptius Linnaeus, 1758
  • C. alco C. E. H. Smith, 1839,
  • C. americanus Gmelin, 1792
  • C. anglicus Gmelin, 1792
  • C. antarcticus Gmelin, 1792
  • C. aprinus Gmelin, 1792
  • C. aquaticus Linnaeus, 1758
  • C. aquatilis Gmelin, 1792
  • C. avicularis Gmelin, 1792
  • C. borealis C. E. H. Smith, 1839
  • C. brevipilis Gmelin, 1792
  • C. cursorius Gmelin, 1792
  • C. domesticus Linnaeus, 1758
  • C. extrarius Gmelin, 1792
  • C. ferus C. E. H. Smith, 1839
  • C. fricator Gmelin, 1792
  • C. fricatrix Linnaeus, 1758
  • C. fuillus Gmelin, 1792
  • C. gallicus Gmelin, 1792
  • C. glaucus C. E. H. Smith, 1839
  • C. graius Linnaeus, 1758
  • C. grajus Gmelin, 1792
  • C. hagenbecki Krumbiegel, 1950
  • C. haitensis C. E. H. Smith, 1839
  • C. hibernicus Gmelin, 1792
  • C. hirsutus Gmelin, 1792
  • C. hybridus Gmelin, 1792
  • C. islandicus Gmelin, 1792
  • C. italicus Gmelin, 1792
  • C. laniarius Gmelin, 1792
  • C. leoninus Gmelin, 1792
  • C. leporarius C. E. H. Smith, 1839
  • C. lupus familiaris Linnaeus,1758
  • C. major Gmelin, 1792
  • C. mastinus Linnaeus, 1758
  • C. melitacus Gmelin, 1792
  • C. melitaeus Linnaeus, 1758
  • C. minor Gmelin, 1792
  • C. molossus Gmelin, 1792
  • C. mustelinus Linnaeus, 1758
  • C. obesus Gmelin, 1792
  • C. orientalis Gmelin, 1792
  • C. pacificus C. E. H. Smith, 1839
  • C. plancus Gmelin, 1792
  • C. pomeranus Gmelin, 1792
  • C. sagaces C. E. H. Smith, 1839
  • C. sanguinarius C. E. H. Smith, 1839
  • C. sagax Linnaeus, 1758
  • C. scoticus Gmelin, 1792
  • C. sibiricus Gmelin, 1792
  • C. suillus C. E. H. Smith, 1839
  • C. terraenovae C. E. H. Smith, 1839
  • C. terrarius C. E. H. Smith, 1839
  • C. turcicus Gmelin, 1792
  • C. urcani C. E. H. Smith, 1839
  • C. variegatus Gmelin, 1792
  • C. venaticus Gmelin, 1792
  • C. vertegus Gmelin, 1792

เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นเวลายาวนาน ทำให้หมากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของคนจำนวนมาก[10] และสามารถเจริญเติบโตด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งซึ่งสำหรับวงศ์สุนัขอื่น ๆ ถือว่าไม่เพียงพอ[11] หลายสหัสวรรษถัดมา หมาเริ่มปรับพฤติกรรมให้เข้ากับพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะ และพันธะระหว่างมนุษย์-วงศ์สุนัขยังคงเป็นหัวข้องานวิจัย[12]

หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย[13] พันธุ์หมามีรูปร่าง ขนาด และสีต่างกัน โดยมีบทบาทต่อมนุษย์หลายแบบ เช่น ล่าสัตว์, ไล่ต้อน, ลากสิ่งของ, ป้องกันสถานที่, ช่วยเหลือตำรวจและทหาร, เพื่อนมิตร, รักษา และช่วยเหลือคนพิการ อิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เหล่านี้ทำให้มันได้รับฉายา "เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์"

บรรพบุรุษและที่มาของความเชื่อง

วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของหมาชี้ให้เห็นว่าหมาเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน หมาสืบทอดจากหมาป่าและหมาธรรมดาสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหมานั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้หมาเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของหมาในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ หมาทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ หมาที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆ โอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression)

ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลหมา กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของหมาตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่หมาในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพหมาที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าหมามีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์

การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของหมาได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรหมาทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของหมาป่า

สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำหมาจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในหมาจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่นเหมือน อวัยวะเพศชาย

ชีววิทยา

กายวิภาคศาสตร์

หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีเพื่อให้มีพฤติกรรมหลากหลาย การรับรู้ความรู้สึก และลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน[13] หมาสายพันธุ์ต่าง ๆ ในสมัยใหม่มีขนาด รูปร่าง และพฤติกรรมหลากหลายกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น[13] หมาเป็นทั้งนักล่าและสัตว์กินซาก และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กระดูกข้อเท้าเชื่อมกัน และระบบหมุนเวียนเลือดที่ช่วยในการวิ่งและความอดทน และมีฟันที่ใช้จับและฉีกให้ขาด เช่นเดียวกับสัตว์นักล่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น

ขนาดและส่วนสูง

หมามีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน หมาตัวเล็กที่สุดที่รู้จักกันคือหมาพันธุ์ยอร์กเชอร์เทร์เรียร์ เมื่อยืนอยู่จะสูง 6.3 เซนติเมตร ยาว 9.5 เซนติเมตร ตลอดทั้งหัวและลำตัว และหนัก 113 กรัม หมาตัวใหญ่ที่สุดที่รู้จักคือหมาพันธุ์อิงลิชมาสติฟ หนัก 177.6 กิโลกรัม และความยาวจากจมูกถึงหาง 250 เซนติเมตร[14] หมาที่สูงที่สุดคือหมาพันธุ์เกรตเดน เมื่อยืนอยู่สูง 195.7 เซนติเมตร[15]

ประสาทสัมผัส

ประสาทสัมผัสของหมา ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรู้รสชาติ การสัมผัสและการตอบสนองไวต่อสนามแม่เหล็กของโลก

หาง

หมามีหางหลายรูปร่าง ได้แก่ ตรง ตรงตั้งขึ้น โค้งคล้ายเคียว ม้วนเป็นวง หรือหมุนเป็นเกลียว หน้าที่หลักของหางหมาคือสื่อสารอารมณ์ของมัน เป็นสิ่งสำคัญกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในหมานักล่าบางตัวถูกกุดหางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ[16] หมาบางสายพันธุ์ เช่น Braque du Bourbonnais ลูกหมาอาจเกิดมามีหางสั้นหรือไม่มีหางเลยก็ได้[17]

สุขภาพ

พืชที่ปลูกตามบ้านเรือนหลายชนิดเป็นพิษกับร่างกายของหมา เช่น ต้นคริสต์มาส เบโกเนีย และว่านหางจระเข้[18]

หมาบางสายพันธุ์มีแนวโน้มเจ็บป่วยเป็นโรคบางโรค เช่น ศอกและสะโพกเจริญผิดปกติ ตาบอด หูหนวก หลอดเลือดแดงตีบ ปากแหว่งเพดานโหว่ และกระดูกสะบ้าเคลื่อน

สติปัญญาและพฤติกรรม

หมาแต่ละตัวและแต่ละสายพันธุ์ มีสัญชาตญาณของตนเอง นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากหมาป่ามาเป็นหมาเลี้ยง ได้มีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์หมาสืบทอดกันมามากกว่า 4,000 ชั่วอายุ ทำให้ลักษณะร่างกายของหมาหลายสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของพวกมันอย่างมาก แต่หมาแต่ละสายพันธุ์ยังคงรักษาลักษณะพฤติกรรมของหมาป่าที่มันเคยเป็นไว้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งหมาป่าและหมาเลี้ยงมีวิธีสื่อสารโดยการเห่า การใช้ภาษากาย และสัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม ทั้งนี้หมามีพฤติกรรมให้การสร้างอาณาเขตของมัน เช่น การฉี่รดตามที่ต่าง ๆ เพื่อบอกว่าตรงนี้เป็นเจ้าของ และการเดินเป็นวงกลมก่อนนอนเพื่อกระจายกลิ่นตัวไปรอบ ๆ และกำหนดอาณาเขตไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้ามารบกวน

บทบาทกับมนุษย์

วัฒนธรรมของการเลี้ยงสุนัขนั้นมีมาตั้แต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเดิมทีนั้นจะเป็นสุนัขป่า และได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อมาอาศัยกับมนุษย์ ซึ่งสุนัขสั้นเป็นสัตว์ที่ถูกเอาไว้ใช้งาน เช่น เลี้ยงสุนัขไว้เพื่อออกล่าสัตว์ร่วมกับมนุษย์ เลี้ยงไว้เพื่อควบคุมหรือต้อนสัตว์ เลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าบ้าน เป็นต้น

อาหาร

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Thalmann, Olaf; Perri, Angela R. (2018). "Paleogenomic Inferences of Dog Domestication". ใน Lindqvist, C.; Rajora, O. (บ.ก.). Paleogenomics. Population Genomics. Springer, Cham. pp. 273–306. doi:10.1007/13836_2018_27. ISBN 978-3-030-04752-8.
  2. Linnæus, Carl (1758). Systema naturæ per regna tria naturæ, secundum classes, ordines, genera, species, cum characteribus, differentiis, synonymis, locis. Tomus I (ภาษาละติน) (10 ed.). Holmiæ (Stockholm): Laurentius Salvius. pp. 38–40. สืบค้นเมื่อ 11 February 2017.
  3. Wozencraft, W. C. (2005). "Order Carnivora". ใน Wilson, D. E.; Reeder, D. M. (บ.ก.). Mammal Species of the World: A Taxonomic and Geographic Reference (3rd ed.). Johns Hopkins University Press. pp. 575–577. ISBN 978-0-8018-8221-0. OCLC 62265494. url=https://books.google.com/books?id=JgAMbNSt8ikC&pg=PA576
  4. Alvares, Francisco; Bogdanowicz, Wieslaw; Campbell, Liz A.D.; Godinho, Rachel; Hatlauf, Jennifer; Jhala, Yadvendradev V.; Kitchener, Andrew C.; Koepfli, Klaus-Peter; Krofel, Miha; Moehlman, Patricia D.; Senn, Helen; Sillero-Zubiri, Claudio; Viranta, Suvi; Werhahn, Geraldine (2019). "Old World Canis spp. with taxonomic ambiguity: Workshop conclusions and recommendations. CIBIO. Vairão, Portugal, 28th - 30th May 2019" (PDF). IUCN/SSC Canid Specialist Group. สืบค้นเมื่อ 6 March 2020.
  5. 5.0 5.1 Wang & Tedford 2008, p. 1.
  6. Bergström, Anders; Frantz, Laurent; Schmidt, Ryan; Ersmark, Erik; Lebrasseur, Ophelie; Girdland-Flink, Linus; Lin, Audrey T.; Storå, Jan; Sjögren, Karl-Göran; Anthony, David; Antipina, Ekaterina; Amiri, Sarieh; Bar-Oz, Guy; Bazaliiskii, Vladimir I.; Bulatović, Jelena; Brown, Dorcas; Carmagnini, Alberto; Davy, Tom; Fedorov, Sergey; Fiore, Ivana; Fulton, Deirdre; Germonpré, Mietje; Haile, James; Irving-Pease, Evan K.; Jamieson, Alexandra; Janssens, Luc; Kirillova, Irina; Horwitz, Liora Kolska; Kuzmanovic-Cvetković, Julka; Kuzmin, Yaroslav; Losey, Robert J.; Dizdar, Daria Ložnjak; Mashkour, Marjan; Novak, Mario; Onar, Vedat; Orton, David; Pasaric, Maja; Radivojevic, Miljana; Rajkovic, Dragana; Roberts, Benjamin; Ryan, Hannah; Sablin, Mikhail; Shidlovskiy, Fedor; Stojanovic, Ivana; Tagliacozzo, Antonio; Trantalidou, Katerina; Ullén, Inga; Villaluenga, Aritza; Wapnish, Paula; Dobney, Keith; Götherström, Anders; Linderholm, Anna; Dalén, Love; Pinhasi, Ron; Larson, Greger; Skoglund, Pontus (2020). "Origins and genetic legacy of prehistoric dogs". Science. 370 (#6516): 557–564. doi:10.1126/science.aba9572. PMC 7116352. PMID 33122379. S2CID 225956269.
  7. 7.0 7.1 Frantz, Laurent A. F.; Bradley, Daniel G.; Larson, Greger; Orlando, Ludovic (2020). "Animal domestication in the era of ancient genomics". Nature Reviews Genetics. 21 (#8): 449–460. doi:10.1038/s41576-020-0225-0. PMID 32265525. S2CID 214809393.
  8. 8.0 8.1 Freedman, Adam H; Wayne, Robert K (2017). "Deciphering the Origin of Dogs: From Fossils to Genomes". Annual Review of Animal Biosciences. 5: 281–307. doi:10.1146/annurev-animal-022114-110937. PMID 27912242.
  9. Larson G, Bradley DG (2014). "How Much Is That in Dog Years? The Advent of Canine Population Genomics". PLOS Genetics. 10 (#1): e1004093. doi:10.1371/journal.pgen.1004093. PMC 3894154. PMID 24453989.
  10. Ostrander, Elaine A.; Wang, Guo-Dong; Larson, Greger; Vonholdt, Bridgett M.; Davis, Brian W.; Jagannathan, Vidyha; Hitte, Christophe; Wayne, Robert K.; Zhang, Ya-Ping (2019). "Dog10K: An international sequencing effort to advance studies of canine domestication, phenotypes, and health". National Science Review. 6 (#4): 810–824. doi:10.1093/nsr/nwz049. PMC 6776107. PMID 31598383.
  11. Axelsson, E.; Ratnakumar, A.; Arendt, M.L.; Maqbool, K.; Webster, M.T.; Perloski, M.; Liberg, O.; Arnemo, J.M.; Hedhammar, Å.; Lindblad-Toh, K. (2013). "The genomic signature of dog domestication reveals adaptation to a starch-rich diet". Nature. 495 (#7441): 360–364. Bibcode:2013Natur.495..360A. doi:10.1038/nature11837. ISSN 0028-0836. PMID 23354050. S2CID 4415412.
  12. Berns, G.S.; Brooks, A.M.; Spivak, M. (2012). Neuhauss, Stephan C.F (บ.ก.). "Functional MRI in Awake Unrestrained Dogs". PLOS ONE. 7 (#5): e38027. Bibcode:2012PLoSO...738027B. doi:10.1371/journal.pone.0038027. PMC 3350478. PMID 22606363.
  13. 13.0 13.1 13.2 Dewey, T. and S. Bhagat. 2002. "Canis lupus familiaris, Animal Diversity Web.
  14. "World's Largest Dog". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-19. สืบค้นเมื่อ 7 January 2008.
  15. "Guinness World Records – Tallest Dog Living". Guinness World Records. 31 August 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2011. สืบค้นเมื่อ 7 January 2009.
  16. "The Case for Tail Docking". Council of Docked Breeds. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-14. สืบค้นเมื่อ 22 October 2008.
  17. "Bourbonnais pointer or 'short tail pointer'". Braquedubourbonnais.info. สืบค้นเมื่อ 19 December 2012.
  18. "Plants poisonous to dogs – Sunset". Sunset.

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น