สัญญา (ศาสนาพุทธ)

สัญญา (ภาษาสันสกฤต: สํชญา) แปลว่า ความจำได้หมายรู้ แบ่งออกเป็น 2 คือ 1. ความจำได้ และ 2. ความหมายรู้

ความจำได้ จัดเป็น ระบบความจำที่สามารถจำคน สัตว์ สิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ผ่านอายตนะทั้ง 6 คือ จำสิ่งที่เห็น จำเสียงที่ได้ยิน จำกลิ่น จำรสชาติ จำสัมผัสทางกาย จำสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ทั้งจำเวทนา จำสัญญา จำสังขาร ซึ่งสัญญานั้น เมื่ออายุมากหรือไม่ค่อยได้ทบทวน ก็อาจลืมเลือนไปได้เหมือนกัน ทำให้จำผิด ๆ ถูก ๆ

ความหมายรู้ หมายถึง การนำสัญญามาใช้ในการให้ความหมายของสิ่งต่างๆ เช่น การจะรู้ว่านี้คือสีเขียว เพราะเคยจำได้ว่า มีการให้สมมุติบัญญัติว่าสิ่งนี้เรียกว่าสีเขียว จึงมีการให้ความหมายต่อสิ่งนั้นว่าสีเขียว ต่อมาเมื่อพบเจอหรือนึกถึงคิดถึงสิ่งที่บัญญัติว่าเป็นสีเขียว ก็จะให้ความหมายของสิ่งนั้น ว่านี้คือสีเขียว เรียกว่าสีเขียว เป็นต้น ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้

สัญญาเจตสิก จัดเป็นความจำระยะสั้นสามารถหลงลืมได้ เช่น ใครเป็นใครชื่ออะไร เพราะไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ปัญญาเจตสิกจัดเป็นความจำระยะยาวที่ยังไงก็ไม่ลืมเพราะเป็นความรู้ที่ใช้ในการเอาชีวิตรอด เช่น คนเราต้องกินข้าว อะไรบ้างเป็นอันตรายต่อชีวิต สิ่งเหล่านี้เราจะไม่ลืม

ทางพุทธศาสนา สัญญา คือขันธ์หนึ่งใน 5 ขันธ์ และเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง มี 2 ประเภทคือสัญญา 6 และสัญญา 10 ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าสัญญานั้นย้อนกลับไปได้ไม่สิ้นสุด เช่นเราลองนึกถึงตัวเราในอดีตที่กำลังเศร้ากับการกระทำที่ผิดพลาดของตนในอดีต ในสัญญาของตัวเราในอดีตก็มีเหตุการณ์ที่ตัวเราในอดีตขณะนั้นมีภาพตัวเราที่เป็นอดีตของอดีตตัวเราทำความผิดพลาดซ้อนอีกดังนั้นสัญญาจะมีลักษณะซ้อนทับกับไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด แต่ที่เราจำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ เพราะอำนาจสติมีกำลังน้อย และสัญญาก็ตกอยู่ในกฎอนิจจัง ที่ย่อมเสื่อมได้เป็นเรื่องธรรมดา

สัญญา 6

แก้

หมายถึง ความทรงจำมี 6 คือ

  1. จักขุสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางตา (ภาพ)
  2. โสตสัญญา (เสียง) สิ่งที่ทรงจำทางหู
  3. ฆานะสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางจมูก (กลิ่น)
  4. ชิวหาสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางลิ้น (รสชาติ)
  5. กายสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางกาย (ประสาทสัมผัส)
  6. มนสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางใจ (มโนสิ่งทรงจำทางใจมี 3 คือ 1. จำเวทนา 2. จำสัญญา 3. จำสังขาร 3 คือ 1. กายสังขาร (การบังคับร่างกาย) 2. วจีสังขาร (ความคิดตรึก ตรอง) 3. จิตตะสังขาร (อารมณ์ที่จรเข้ามาในใจ)

สัญญา 10

แก้

สัญญา 10 เป็นหมวดธรรม ที่ช่วยให้ผู้พิจารณา ช่วยให้สัญญานั้น หมายรู้ในสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้องเป็นจริง ไม่วิปลาสในธรรม ถ้ามีสติพิจารณา ก็เป็นสิ่งที่ใช้สามารถบริกรรมภาวนา จนบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน

( เนื่องจากสัญญาข้อ 10 ข้ออานาปานสติเป็นสิ่งที่ช่วยภาวนาให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ สัญญาข้ออื่นๆอีก 9 ข้อ ย่อมสำคัญเท่าเทียมกัน )

( โลกนี้มีแต่แตกกระจายเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่พึงประมาทในชีวิตที่ไร้แก่นสารนี้ ) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงอุทธยัพพยญาณ

  • อนัตตสัญญา พิจารณาว่า จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา พิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก 6 ประการเหล่านี้ เป็นอนัตตา

(สิ่งทั้งปวงเป็นดุจภาพมายาไม่พึงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆเลย) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงภังคญาณ

  • อสุภสัญญา พิจารณากายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่าง ๆ ว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้

(เห็นกายนี้เป็นของไม่สะอาด) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงนิพพิทาญาณ

  • อาทีนวสัญญา พิจารณาว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละอองบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ พิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้

(เห็นกายนี้เป็นรังแห่งโรค) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงอาทีนวญาณ

  • ปหานสัญญา ไม่ยินดี ละ บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ยินดี ละ บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ยินดี ละ บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ยินดี ละ บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า ที่เกิดขึ้นแล้ว

( พิจารณาเห็นว่ากามวิตกทำให้จิตยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดจากการอยากเสพกามนั้นอีก พิจารณาเห็นว่าพยาบาทวิตกการอาฆาตจองเวรเป็นเหตุให้จิตยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาล้างแค้นอีก และพิจารณาเห็นว่าวิหิงสาการเบียดเบียนเป็นเหตุให้จิตใต้สำนึกรู้สึกเสียใจนความชั่วที่เคยทำไว้กับผู้อื่นจนเป็นเหตุยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้ความผิดนั้น ) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงภยญาณ

  • วิราคสัญญา พิจารณาว่าธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์

(วิราคะหมายถึงความไม่ยินดีหรือการปราศจากราคะ การยินดีในสภาวะไร้ตัณหาไม่มีกิเลส ซึ่งเป็นสภาวะของสมุทัย คือละเหตุแห่งทุกข์ คือตัณหาความทะยานอยาก อันเกิดจากการเห็นทุกข์เห็นภัยเห็นโทษในพระไตรลักษณ์ หรือปฏิบัติตามมรรคมีองค์8 ก็ย่อมเกิดสมุทัยและนิโรธขึ้นมาด้วยกัน ) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงสัจจานุโลมิกญาณ - โดยสภาวะจะเริ่มปรากฎตั้งแต่อุทธยัพพยญาณ คือเมื่อเห็นทุกข์จากไตรลักษณ์จากวิปัสสนาญาณ มรรคย่อมปรากฎตามลำดับ สมุทัยและนิโรธย่อมปรากฎตามลำดับ เมื่อเข้าสัจจานุโลมมิกญาณ พิจารณาทั้ง 8 ญาณ ทั้ง 8 มรรค วิราคะจึงถือปรากฎชัดอย่างสมบูรณ์เต็ม เพื่อพิจารณาละตัณหาเพื่อจะวางความพอใจไม่พอใจทั้งหมดในโลกลงเสียได้

  • นิโรธสัญญา พิจารณาว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์

(นิโรธ ในที่นี้คือการพิจารณาเห็นความดับแห่งทุกข์ เกิดขึ้นตามลำดับของการดับไปแห่งปฏิจจสมุปบาทหรือปฏิโลม ) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงปฏิสังขาญาณ

  • สัพพโลเกอนภิรตสัญญา การกำหนดหมายในความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง ละอุบายและอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิตย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น

( การสำคัญว่าโลกนี้งดงามดุจราชรถ เพียงเพราะจิตเข้าไปปรุงแต่งวาดฝันสร้างขึ้นมาเอง) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงมุญจิตุกัมยตาญาณ

  • สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา การกำหนดหมายในความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง ความอึดอัด ระอา เกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง

( โลกนี้มีปกติโกลาหล ที่ยังไม่วุ่นวายขึ้น เพราะศีลธรรมและกฎระเบียบยังควบคุมไว้ได้อยู่บ้างเท่านั้น แต่ถ้าเกิดความโกลาหลขึ้นก็ไม่ควรตกใจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ดุจเดินอยู่ท่ามกลางพายุแห่งความโกลาหลที่คาดเดาไม่ได้เลย ก็ยังสามารถสงบอยู่ได้ เพราะเข้าใจในธรรมดาแห่งโลก - แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รีบดับไฟที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วปล่อยมันไหม้ต่อไปจนพินาศ แม้ต้องแก้ไขก็ยังสามารถสงบอยู่ได้ เพียงแก้ไปตามเหตุที่พึ่งกระทำเท่านั้น ) เป็นสัญญาที่ปรากฎในช่วงสังขารุเปกขาญาณ

  • อานาปานสติ การนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น ฯลฯ

อ้างอิง

แก้