อานาปานสติ หมายถึง การมีความระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก (อาน- : ลมหายใจเข้า[1] + อปาน- : ลมหายใจออก[1] + สติ : ความระลึก) อานาปานสติเป็นได้ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน บางคัมภีร์กล่าวว่าเป็นอารมณ์กรรมฐานของมหาบุรุษทั้งหลาย มีอยู่ 16 คู่ โดยเป็นกายานุปัสสนา 4 คู่ เป็นเวทนานุปัสสนา 4 คู่ เป็นจิตตานุปัสสนา 4 คู่ และเป็นธัมมานุปัสสนา 4 คู่ ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับจากหยาบไปหาละเอียด คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

เมื่อเจริญอานาปานสติจะมีธรรมที่ปรากฎรวมด้วยได้แก่ สัมปชัญญะ 4 สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 วิชชาและวิมุตติ

อานาปานสติ มีกิจ 2 อย่าง คือ 1.ปชานาติ การรู้ชัดในลมหายใจออกเข้า 2.สิกขติ การศึกษาในกาย เวทนา จิต ธรรม ตามลำดับ 16 ขั้น

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แก้

การกำหนดรู้ในอานาปานสติ ตั้งแต่ข้อ 1-4 เป็นการกำหนดรู้ภายในกาย จัดเรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

  1. หายใจออก-เข้ายาวรู้
  2. หายใจออก-เข้าสั้นรู้
  3. หายใจออก-เข้า กำหนดพิจารณาในกายทั้งปวง
  4. หายใจออก-เข้า เห็นกองลมทั้งปวงสงบก็รู้

เมื่อเจริญอานาปานสติ ได้พิจารณาความเป็นไปในกาย ย่อมเห็นชัดในอิริยาบถและการเคลื่อนไหวของกายจนสัมปชัญญะทั้งสี่บริบูรณ์ก็จะเกิดสติสัมโพชฌงค์ขึ้นมา เมื่อศีลวิสุทธิเกิดขึ้นเพราะศรัทธาพละและปัญญาพละสมดุลกันก็จะเกิดธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ขึ้นมา เมื่อจิตตวิสุทธิเกิดขึ้นเพราะวิริยะพละสมดุลกับสมาธิพละก็จะเกิดวิริยะสัมโพชฌงค์ขึ้น

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แก้

ตั้งแต่ข้อ 5 - 8 สติเริ่มละเอียดจะจับชัดที่ความรู้สึกคือเวทนาได้ชัดเจน จึงเรียกว่า เวทนานุปัสสนา

5.หายใจออก-เข้า กำหนดรู้ในความรู้สึกปีติ

6.หายใจออก-เข้า กำหนดรู้ในความรู้สึกสุข

7.หายใจออก-เข้า กำหนดพิจารณาในจิตสังขารทั้งปวง (จิตสังขารได้แก่สิ่งที่ปรุงแต่งจิตคือเจตสิก)

8.หายใจออก-เข้า กำหนดระงับจิตสังขารทั้งปวง

ในการเจริญอานาปานสติแบบวิปัสสนากรรมฐาน จะไม่เข้าสู่จตุตถฌาน เนื่องจากการกำหนดวิปัสสนากรรมฐานต้องใช้ลมหายใจเป็นตัวแทนของรูปขันธ์อยู่ การเข้าจตุตถฌานจะทำให้ลมหายใจเข้าออกจะหายไปจนรับรู้ไม่ได้ ( ตามหลักในอนุปุพพนิโรธ9 )

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แก้

ตั้งแต่ข้อ 9 - 12 สติเริ่มละเอียดจนสามารถกำหนดชัดที่จิต อันเกิดจากจิตสังขารสงบระงับ จึงเรียกว่า จิตตานุปัสสนา เพราะรู้แจ้งในกายในจิตสังขารและในจิตจึงสามารถแยกรูปนามออกจากกันได้ชัดเจน ได้บรรลุญาณที่เรียกว่า นามรูปปริทเฉทญาณ และเพราะรู้เท่าทันในกระบวนการทำงานตามลำดับของจิต จนสามารถเห็นเหตุปัจจัยของรูปนามทั้งหลายที่เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท] ได้บรรลุญาณที่เรียกว่า นามรูปปัจจยปริคคหญาณ

9.หายใจออก-เข้า พิจารณาจิต (เพราะจิตสังขารสงบระงับ จิตในลักษณะของวิญญาณขันธ์จึงปรากฎขึ้นมาให้ศึกษาได้อย่างชัดเจน ดุจฝนตก เม็ดฝนคืออารมณ์ทั้งหลายที่ปรากฎขึ้นทางอายตนะทั้ง 6 อานาปานสติในชั้นนี้ กายปฏิสังเวทีจากข้อ 3 คือรูป จิตสังขารปฏิสังเวทีจากข้อ 7 คือเจตสิก จิตตปฏิสังเวทีจากข้อ 9 คือจิต ดังนั้นปรมัตถธรรมในฝ่ายสสังขารคือจิตเจตสิกรูปรวมเป็นรูปและนามในขันธ์ 5 จัดเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะรู้แจ้งในรูปนามทั้งหมด)

10.หายใจออก-เข้า จิตบันเทิงร่าเริงก็รู้ (จิตปราโมทย์เกิดขึ้นเพราะมีมนสิการในการพิจารณาการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของขันธ์5เมื่อจิตปราโมทย์จึงเกิดปีติสัมโพชฌงค์เพราะปีติสัมโพชฌงค์ระงับกายสงบใจสงบจึงเกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) [2]

11.หายใจออก-เข้า จิตตั้งมั่นก็รู้ (สมาธิสัมโพชฌงค์)(เมื่อจิตตั้งมั่นจึงพิจารณาว่าขันธ์5นั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเพราะอะไร ด้วยการโยนิโสมนสิการโดยวิธีอิทัปปัจจยตาเป็นต้น จนได้รู้ตามความเป็นจริงในเหตุปัจจัยแห่งปฏิจจสมุปบาท )

12.หายใจออก-เข้า จักเปลื้องจิตก็รู้ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์)(เมื่อเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท จึงรู้ว่าขันธ์5ทั้งหลายต่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ละความยินดีไม่ยินดีและไม่ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งปวง )

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แก้

ตั้งแต่ข้อ 13 - 16 สติละเอียดมากขึ้นจนสามารถพิจารณาเห็นว่ารูปนามทั้งหลายเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงเรียกว่า ธัมมานุปัสสนา

13.หายใจออก - เข้า พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ในขันธ์ทั้ง 5 มีลมหายใจเป็นตัวแทนรูปขันธ์ จะพบเห็นสังขตลักษณะ (ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ในขันธ์ทั้งห้า (สมมสนญาณ อุทธยัพพยญาณ ภังคญาณ)

14.หายใจออก - เข้า พิจารณาโดยความคลายกำหนัดในรูปนาม เห็นรูปนามเป็นสิ่งไร้ค่า (ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ)

15.หายใจออก - เข้า พิจารณาโดยไม่ยึดติดถือมั่นในรูปนามขันธ์ห้าว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะเห็นความดับไปแห่งปฏิจจสมุปบาท (มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ)

16.หายใจออก - เข้า พิจารณาสละคืนขันธ์ (สัจจานุโลมมิกญาณ โคตรภูญาณ (หรือวิทานะญาณ) มัคคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ)

ศึกษาคำอธิบายอานาปานสติ 16 ฐานอย่างละเอียดจากพระไตรปิฎกโดยตรงที่พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค อานาปาณกถา [๔๐๑]- [๔๒๒]

อ้างอิง

แก้
  • สติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
  • สติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
  • สติปัฏฐานสูตร สังยุตตนิกาย
  • อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร. อรถกถาพระไตรปิฎก.
  • มหาสติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
  • สูตรที่ ๔ ผลสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุต
  • อวิชชาสูตร ๑๙/๑
  • คิริมานนทสูตร
  • พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์๘. อานาปานสติสูตร (๑๑๘)
  • อานาปานสติสูตร ที่ ๘ อานาปานสติสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ (ม.อุ.)
  • มหาราหุโลวาทสูตร ที่ ๒.
  • ทีปสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
  • มหาวรรค อานาปาณกถา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [๓๖๒] -[๔๒๑]
  • ปฏิสัมภิทามัคค์ (ขุ.ปฏิ.31/362/244: 387/260)
  • คัมภีร์ ปรมัตถมัญชุสา มหาฎีกาแห่งวิสุทธิมัคคฺ (วิสุทฺธิ.ฏีกา 2/34)
  • วิสุทธิมัคค์ (วิสุทฺธิ. 25/52-82)
  • พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
  • อานาปาณกถา พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค
  • พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ หน้าที่ 85 - 196

ดูเพิ่ม

แก้

หนังสืออ่านเพิ่ม

แก้
  • Mindfulness with Breathing by Buddhadāsa Bhikkhu. Wisdom Publications, Boston, 1996. ISBN 0-86171-111-4.
  • Breath by Breath by Larry Rosenberg. Shambhala Classics, Boston, 1998. ISBN 1-59030-136-6.
  • Tranquillity and Insight by Amadeo Sole-Leris. Shambhala, 1986. ISBN 0-87773-385-6.

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556.
  2. ข้อที่ ๑๘๒ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้