พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มักย่อเป็น พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เป็นกฎหมายไทยระดับพระราชกำหนด ซึ่งตราขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2548 กฎหมายให้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการลัดขั้นตอนปกติ, มีอำนาจออกกฎหมายเพื่อบังคับแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน, และพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย นอกจากนี้ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังถูกจำกัดอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการจับกุม คุมขัง ค้นเคหสถาน สิทธิในการเดินทาง แสดงความเห็น และการเสนอข่าว
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 | |
---|---|
ข้อมูลทั่วไป | |
ผู้ตรา | คณะรัฐมนตรีทักษิณ 2 |
วันตรา | 16 กรกฎาคม 2548 |
ผู้อนุมัติ | รัฐสภาไทย[a] |
วันอนุมัติ | 29 สิงหาคม 2548 |
วันเริ่มใช้ | 17 กรกฎาคม 2548 |
ท้องที่ใช้ | ประเทศไทย |
ผู้รักษาการ | นายกรัฐมนตรี |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง | |
| |
คำสำคัญ | |
สถานการณ์ฉุกเฉิน | |
เว็บไซต์ | |
วิกิซอร์ซ |
จนถึง พ.ศ. 2563 มีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดนี้รวม 8 ครั้งใน 6 รัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประกาศใช้ในบางพื้นที่เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ส่วนครั้งล่าสุดมีการประกาศใช้ใน พ.ศ. 2563 ในการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาปีนั้น และยังเป็นครั้งแรกที่ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ
กระบวนการออกกฎหมาย
แก้ในช่วงที่เริ่มเกิดความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (ตั้งแต่ปี 2547) และโดยเฉพาะเหตุระเบิดในจังหวัดยะลาเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2548[1] คณะรัฐมนตรีทักษิณ 2 ได้มีมติอนุมัติร่างพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. .... ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ต่อมามีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2548 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไป หลังจากนั้นมีการเสนอให้รัฐสภาอนุมัติเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งมีการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 สิงหาคม 2548 วุฒิสภาในวันที่ 26 และ 29 สิงหาคม 2548 รัฐสภาลงมติเห็นชอบ จึงถือว่าได้รับอนุมัติจากรัฐสภาและมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติ[2]
บทบัญญัติ
แก้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
แก้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี อาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรก็ได้ มีคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินมีหน้าที่เสนอแนะนายกรัฐมนตรี การประกาศสถานการณ์ฉูกเฉินใช้บังคับได้ไม่เกินคราวละสามเดือน โดยการต่ออายุเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้อีกกี่ครั้งก็ได้ คราวละไม่เกินสามเดือน
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีทั้งนายกรัฐมนตรีประกาศก่อน แล้วจึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา หรือออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี[1]
สถานการณ์ฉุกเฉิน หมายถึง สถานการณ์อันกระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรืออาจทำให้ประเทศหรือบางท้องที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน หรือมีการก่อการร้าย ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบอบการปกครอง เอกราช ผลประโยชน์ของชาติ ความปลอดภัยของประชาชน การป้องปัดหรือแก้ไขความเสียหายจากภัยพิบัติ (มาตรา 4)
สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ได้แก่ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิตร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือเชื่อว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สิน ของรัฐหรือบุคคล และมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติ (มาตรา 11)
อำนาจของนายกรัฐมนตรี
แก้ในเขตท้องที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีมีอำนาจดังต่อไปนี้ (มาตรา 9)
- ประกาศเคอร์ฟิว
- ห้ามการชุมนุมหรือมั่วสุม หรือยุยงให้เกิดความไม่สงบ
- ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร
- ห้ามหรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
- ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปหรืออยู่ในสถานที่หนึ่ง
- ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด
ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง นายกรัฐมนตรียังมีอำนาจดังต่อไปนี้ (มาตรา 11)[3]: 132–3
- ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้โฆษณา หรือผู้สนับสนุนให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกคำสั่งยึดหรืออายัดอาวุธ หรือวัตถุต้องสงสัยอื่น
- ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
- ออกคำสั่งตรวจค้น รื้อ ถอน หรือทำลายซึ่งอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งกีดขวาง
- ตรวจสอบจดหมาย หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนการสั่งระงับหรือยับยั้งการติดต่อหรือการสื่อสาร
- สั่งห้ามมิให้พลเมืองไทยออกไปนอกราชอาณาจักร หรือให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักร
- ประกาศห้ามมิให้กระทำการใด ๆ หรือสั่งให้กระทำการใด ๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยของประชาชน
- ประกาศให้การซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจใช้ในการก่อความไม่สงบหรือก่อการร้ายต้องรายงาน หรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขที่นายกรัฐมนตรีกำหนด
- ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารช่วยระงับเหตุการณ์ร้ายแรง หรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบโดยด่วน
สำหรับกระบวนการจับกุมและควบคุมตัวบุคคล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการร้องขอต่อศาล หากศาลอนุญาตก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวได้ไม่เกิน 7 วัน และต้องควบคุมตัวไว้ในสถานที่ที่กำหนดซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ แต่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้กระทำผิดมิได้ และสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อได้อีก คราวละ 7 วัน แต่รวมระยะเวลาทั้งหมดต้องไม่เกินกว่า 30 วัน[3]: 133 ปิยบุตร แสงกนกกุล เห็นว่า หากพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม "ประกาศตามาตรา ๑๑ ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘" ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ได้ก็น่าจะเป็นหลักประกันให้แก่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ดีระดับหนึ่ง[4]
ความรับผิด และบทลงโทษ
แก้ผู้เสียหายจากการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่สามารถฟ้องคดียังศาลปกครองได้ และเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด "เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น" ผู้ได้รับความเสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (มาตรา 17)[3]: 133
ผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามกฎหมายนี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 18)
การประกาศใช้กฎหมาย
แก้จนถึง พ.ศ. 2563 มีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวรวม 8 ครั้ง ครั้งแรกคือ การประกาศใช้ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลา ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ซึ่งมีการขยายระยะเวลาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ในปี 2562 มีการลดพื้นที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส)
ครั้งล่าสุด มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ในการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาในประเทศไทย พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศใช้กับสถานการณ์โรคระบาด และเป็นครั้งแรกที่ประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวทั่วราชอาณาจักร มีการเปรียบเทียบพระราชกำหนดนี้กับพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งหลายฝ่ายเสนอว่าควรยกเลิกพระราชกำหนดฯ แล้วใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวแทน โดยมีความเหมือนและแตกต่างกัน ดังนี้[5]
ข้อเหมือน | ข้อต่าง |
---|---|
|
|
ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีมติยกเลิก พรก.ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ โดยกลับไปใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ในการดูแลสถานการณ์ดังกล่าว โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป[6] และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กันยายนปีเดียวกัน ทั้งนี้ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป[7]
อนึ่ง ระหว่างวันที่ 15–22 ตุลาคม 2563 มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยประยุทธ์ จันทร์โอชาอ้างเหตุขวางขบวนเสด็จฯ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563[8][9] นอกจากนี้ยังใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันในวันที่ 16 ตุลาคม
ข้อวิจารณ์
แก้ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิจารณ์แบ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ประกอบด้วย ประเด็นการออกพระราชกำหนด เขาเห็นว่าการอ้างเหตุระเบิดในจังหวัดยะลา พ.ศ. 2548 สามารถใช้กฎหมายอื่นแก้ไขได้ และรัฐบาลควรออกพระราชกำหนดสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น มิใช่ออกเป็นกฎหมายกลางสำหรับใช้ทั่วประเทศ ประเด็นระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาเห็นว่าการให้นายกรัฐมนตรีครั้งละไม่เกิน 3 เดือนนานเกินไป และเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารอย่างเดียวโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา สำหรับประเด็นการตัดอำนาจของศาลปกครอง เขาสันนิษฐานผู้ร่างอาจเกรงกลัวมาตรการชั่วคราวของศาลปกครองที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายสะดุด หรือต้องการหลบเลี่ยงการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยองค์กรตุลาการ เขาเห็นว่า ในสถานการณ์ฉุกเฉินยอมให้มีการผ่อนปรนลดขั้นตอนการตรวจสอบก่อนการใช้อำนาจ แต่ไม่ลดการตรวจสอบหลังการใช้อำนาจ[4]
เชิงอรรถ
แก้- ↑ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 22 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 8
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 รู้จัก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรการขั้นสุดสู้โควิด?
- ↑ บรรหาร กำลา (พฤศจิกายน–ธันวาคม 2551). "บทวิเคราะห์การบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กับปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ" (PDF). จุลนิติ. 5 (6). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-07-01. สืบค้นเมื่อ 2020-06-29.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 วรชัย แสนสีระ (พฤษภาคม–มิถุนายน 2553). "จุดต่างแห่งอำนาจตาม พ.ร.บ. กฎอัยการศึกฯ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ" (PDF). จุลนิติ. 7 (3). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-29. สืบค้นเมื่อ 2020-06-29.
- ↑ 4.0 4.1 แสงกนกกุล, ปิยบุตร (6 มีนาคม 2549). "บทวิเคราะห์ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ โดย อาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล". เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย. สืบค้นเมื่อ 2020-06-30.
- ↑ ชำนาญ เทียบพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กับพรก.ฉุกเฉิน ความเหมือนหรือต่าง ในวิกฤตโควิด-19
- ↑ "ศบค.มีมติยกเลิก "พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ" คุมโควิดระบาด ตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้". tnnthailand.com. 2022-09-23.
- ↑ "ราชกิจจาฯ ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผล 1 ต.ค.นี้". Thai PBS.
- ↑ Vegpongsa, Tassannee (14 October 2020). "Thai Leader Declares 'Severe' State of Emergency in Bangkok as Anti-Government Protests Continue". Time.com. AP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-21. สืบค้นเมื่อ 21 October 2020.
- ↑ "Police clear protest as emergency decree bans gatherings". Bangkok Post. Reuters. 15 October 2020. สืบค้นเมื่อ 21 October 2020.