ปัญญา จินตะเวช (19 ธันวาคม พ.ศ. 2490 – 24 กันยายน พ.ศ. 2565) เป็นนักการเมืองชาวไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี

ปัญญา จินตะเวช
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด19 ธันวาคม พ.ศ. 2490
จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย
เสียชีวิต24 กันยายน พ.ศ. 2565 (74 ปี)
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย
พรรคการเมืองพรรคเพื่อไทย
คู่สมรสนางสืบทรัพย์ จินตะเวช (สกุลเดิม:ใจหาญ)

ประวัติ แก้

ปัญญา จินตะเวช เกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2490 เป็นบุตรของ วิฑูรย์ จินตะเวช มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน รวมถึง ตุ่น จินตะเวช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี หลายสมัย พี่ชาย และนายศักดิ์ชัย จินตะเวช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี น้องชาย อุดร จินตะเวช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี

ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2516 สมรสกับนางสืบทรัพย์ จินตะเวช อดีตสมาชิกสภาจังหวัดอุบลราชธานีหลายสมัย มีบุตร 3 คน ได้แก่ นายประภูศักดิ์ จินตะเวช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี เขต 9 พรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี เขตอำเภอเดชอุดม, นายเศกสิทธิ์ จินตะเวช และนางวิเกศญา จินตะเวช พัชรธรรมพันธุ์ [1] สมรสกับนายวิเชียร พัชรธรรมพันธุ์ อัยการศาลสูงจังหวัดอุบลราชธานี อดีตอัยการจังหวัดปทุมธานี และอัยการจังหวัดเดชอุดม

ประวัติการศึกษา แก้

สำเร็จการศึกษาชั้นประถม โรงเรียนบ้านหนองแสง อำเภอเดชอุดม, ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนมัธยมวิฑูรย์วิทยาการ อำเภอเดชอุดม, ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนวิลัยวัฒนาอุบลราชธานี, รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (รป.บ.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา (ศษ.ม.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

ประวัติการทำงาน แก้

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2506 ทำกิจการโรงภาพยนตร์ที่อำเภอเดชอุดม ชื่อโรงหนังหลักเมืองภาพยนตร์ ร่วมกับบิดาและพี่ชาย ต่อมาในปีพ.ศ. 2516 ได้ทำกิจการหน่วยฉายภาพยนตร์เคลื่อนที่ ชื่อ ปัญจพรภาพยนตร์  เร่ฉายภาพยนตร์ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและใกล้เคียง เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มี 5 หน่วยบรรทุกด้วยรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ซึ่งเป็นหน่วยเร่ฉายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี ใช้จอความกว้างใหญ่ถึง ๓๖ เมตร โดยพากย์เสียงภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศด้วยตนเอง ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศทองคำฝังเพชร ในการประกวดการฉายภาพยนตร์จากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานีในขณะนั้น ในระหว่างเร่ฉายภาพยนตร์ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในจังหวัด

ในปีพ.ศ. 2526 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอุบลราชธานี เขตอำเภอเดชอุดม ประกอบด้วยตำบลจำนวน 16 ตำบล ได้รับการเลือกตั้งจำนวน ๒ สมัย

ในปีพ.ศ. 2531 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี เขตเลือกตั้งที่ ๒ ประกอบด้วยอำเภอเดชอุดม อำเภอน้ำยืน อำเภอนาจะหลวย อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอบุณฑริก ในนามพรรคปวงชนชาวไทย ซึ่งมีพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก  อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค และได้รับการเลือกตั้ง ด้วยคะแนน 81,000 คะแนนเศษ

ต่อมาในปีพ.ศ. 2535 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วยอำเภอเดชอุดม อำเภอนาเยีย อำเภอน้ำยืน อำเภอนาจะหลวย อำเภอพิบูลมังสาหาร และอำเภอบุณฑริก ในนามพรรคความหวังใหม่ ซึ่งมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค เนื่องจากพรรคปวงชนชาวไทย ได้ยุบพรรค โดยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 มีวาระเพียง 8 เดือนเศษ จึงมีการยุบสภาผู้แทนราษฏร เนื่องจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ ถูกรัฐประหาร  และได้รับเลือกตั้งในสมัยที่ 3 ในปีเดียวกันมีวาระ 2 ปีเศษ ได้รับตำแหน่ง กรรมาธิการการสาธารณสุข และโฆษกคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร

พ.ศ. 2535 ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น

พ.ศ. 2538 ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม นายพูลสวัสดิ์ มูลศาสตรสาทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม

พ.ศ. 2538 ได้ยื่นแปรญัติขอจัดตั้งศาลจังหวัดเดชอุดม และผลักดันจนสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติผ่านกฎหมาย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2538 โดยมีสาระสำคัญคือ จัดตั้งศาลจังหวัดขึ้นที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่อำเภอเดชอุดม อำเภอนาจะหลวย อำเภอน้ำยืน อำเภอบุณฑริก กิ่งอำเภอทุ่งศรีอุดม และกิ่งอำเภอนาเยีย เนื่องจากปริมาณคดีในเขตอำเภอและกิ่งอำเภอดังกล่าวมีปริมาณพอสมควร การคมนาคม ระหว่างตัวจังหวัดกับอำเภอต่างๆ บางแห่งมีระยะทางห่างไกล และไม่สะดวกในการเดินทาง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องรับบริการด้านอำนวยความยุติธรรมจากรัฐ

และในปีเดียวกันขณะดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้ง วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม เป็นผลสำเร็จ

ต่อมาในปีพ.ศ. 2539 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี เขตเลือกตั้งที่ 3 ประกอบด้วยอำเภอเดชอุดม อำเภอน้ำยืน อำเภอนาจะหลวย อำเภอนาเยีย และอำเภอบุณฑริก ในนามพรรคความหวังใหม่ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 4 ด้วยคะแนน 98,000 คะแนนเศษ  ได้ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (มีนายสุขวิทย์ รังสิตพล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) และได้ดำรงตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อีกตำแหน่ง

ปีพ.ศ. 2552 ได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และในปีพ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี เขตเลือกตั้งที่ 9 ประกอบด้วย อำเภอนาจะหลวย อำเภอบุณฑริก  และตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร  ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับต้นของจังหวัดอุบลราชธานีในสมัยนั้น โดยชนะคู่แข่งเท่าตัว เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยที่ 5 ได้รับตำแหน่ง กรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร

ในปีพ.ศ. 2557 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ในเขตเลือกตั้งเดิม เป็นสมัยที่ 6

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

อ้างอิง แก้