การลงคะแนนแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า
การลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า (อังกฤษ: plurality voting) เป็นระบบการลงคะแนนซึ่งผู้ลงคะแนนสามารถลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครได้เพียงรายเดียว และผู้สมัครรายใดที่ได้รับคะแนนมากกว่ารายอื่นจะเป็นผู้ชนะการเลือกไป โดยในระบบที่ใช้สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียว (single-member districts) อาจเรียกว่า ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (first-past-the-post, ย่อ FPTP) ระบบการลงคะแนนแบบตัวเลือกเดียว (single-choice voting) ระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าอย่างง่าย (simple plurality) หรือ ระบบเสียงข้างมากอย่างง่าย (relative/simple majority) ส่วนในกรณีที่ใช้ในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนหลายคน อาจเรียกเป็น แบบผู้ชนะกินรวบ (winner-takes-all) หรือ ระบบแบ่งเขตหลายเบอร์ (bloc voting)
ระบบนี้ยังใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ หรือผู้นำฝ่ายบริหารในหลายประเทศ เช่น ในการเลือกตั้งเกือบทั้งหมดในสหรัฐ สภาล่างในอินเดีย (โลกสภา) สภาสามัญชนในอังกฤษ และการเลือกตั้งท้องถิ่นของสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส (แบบสองรอบ) และแคนาดาในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ
การลงคะแนนในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าหรือคะแนนเสียงที่เหนือกว่าแตกต่างจากระบบเสียงข้างมากซึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งจำเป็นจะต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด (absolute majority) จากคะแนนเสียงทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าผู้ชนะจะมีคะแนนเสียงมากกว่าผู้สมัครรายอื่น ๆ ทุกรายรวมกัน ส่วนในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าหรือคะแนนเสียงที่เหนือกว่าผู้ชนะแค่ต้องได้รับคะแนนที่มากกว่าผู้สมัครรายอื่นจึงจะชนะการเลือกตั้ง
ในทั้งระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าและเสียงข้างมากอาจจะใช้สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ในกรณีหลัง อาจจะเรียกว่าเป็นระบบบัตรลงคะแนนหลายรอบ (exhaustive ballots) ซึ่งจะสามารถหาผู้ชนะได้รอบละคนและเริ่มการนับใหม่จนได้ผู้ชนะครบทุกที่นั่ง
ในบางกรณี รวมถึงฝรั่งเศส และในรัฐลุยเซียนาและรัฐจอร์เจียของสหรัฐ ใช้การลงคะแนนระบบสองรอบ (two-ballot) หรือระบบตัดเชือก (runoff-election) ซึ่งอาจจะต้องใช้การนับคะแนนถึงสองรอบในการหาผู้ชนะที่ได้คะแนนเสียงที่เหนือกว่า หากในการนับคะแนนรอบแรกไม่มีผู้สมัครรายได้คะแนนเสียงข้างมากเกินร้อยละ 50 ของคะแนนเสียงทั้งหมด ในรอบที่สองนั้นจะคัดเหลือเพียงผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดสองอันดับแรกเข้าชิงตำแหน่งเท่านั้น
ในเกณฑ์อื่นที่พบได้ คือ ผู้สมัครทุกคนจะต้องมีคะแนนเสียงถึงจำนวนขั้นต่ำที่ต้องการ ในรอบแรกจึงจะสามารถเข้าไปแข่งขันในรอบที่สองได้ ในกรณีที่ยังมีผู้สมัครมากกว่าสองคนในรอบที่สอง จะใช้หลักคะแนนเสียงที่เหนือกว่าในการตัดสินผู้ชนะ
ในวิชารัฐศาสตร์ การใช้ระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียวหรือหลายคนเพื่อเลือกตั้งองค์การใด ๆ ที่มีสมาชิกหลายคนนั้นเรียกว่า single-member district plurarity (SMDP) ซึ่งในหลายครั้งถูกเรียกว่า "ผู้ชนะกินรวบ" เพื่อให้แตกต่างชัดเจนกับระบบสัดส่วน
วลี "ผู้ชนะกินรวบ" นั้นบางครั้งอาจหมายถึงการเลือกตั้งผู้แทนหลายคนพร้อม ๆ กันในเขตเลือกตั้งเดียวในระบบแบ่งเขตหลายเบอร์ หรือเรียกอีกอย่างว่าระบบลงคะแนนยกชุด (bloc voting) หรือ MMDP ซึ่งในระบบนี้ใช้ในการลงคะแนนเลือกคณะผู้เลือกตั้งในระดับรัฐเพื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ
การลงคะแนน
แก้การลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าใช้ในการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศใน 43 ประเทศจากทั้งหมด 193 ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยมีความเกี่ยวพันกับสหราชอาณาจักร สหรัฐ แคนาดา และอินเดีย[1]
ในแบบที่ใช้เลือกผู้สมัครคนเดียวนั้น ผู้ลงคะแนนสามารถลงคะแนนได้เพียงแค่ผู้สมัครเพียงรายเดียว และการตัดสินผู้ชนะนั้นใช้เกณฑ์จำนวนคะแนนเสียงที่มีมากที่สุด (คะแนนเสียงที่เหนือกว่า) จึงทำให้การลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่านี้เป็นระบบที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ลงคะแนนและกรรมการผู้นับคะแนน (อย่างไรก็ตามการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นมักจะเป็นข้อโต้แย้งอยู่เสมอในระบบนี้)
ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติที่มีผู้แทนคนเดียวในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้ลงคะแนนที่อยู่ในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ จะสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เพียงรายเดียวจากจำนวนผู้สมัครทั้งหมดในเขตเลือกตั้งนั้น ในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งจะถือเป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้งนั้นโดยปริยาย
ในการเลือกตั้งเพื่อหาผู้ชนะเพียงคนเดียวในระดับประเทศ เช่น ประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดี ใช้ระบบการลงคะแนนแบบในเดียวกันซึ่งผู้ชนะเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด
ในการลงคะแนนระบบสองรอบนั้น โดยปกติจะให้ผู้สมัครเพียงสองรายที่ได้รับคะแนนสูงสุดในรอบแรกเข้าไปสู่รอบที่สอง หรือเรียกอีกอย่างว่า "รอบตัดเชือก"
ในการลงคะแนนเพื่อหาผู้แทนที่มากกว่าหนึ่งคนต่อเขตเลือกตั้ง ผู้ชนะเหล่านั้นคือผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุด (จำนวนขึ้นอยู่กับการจัดที่นั่งในเขตเลือกตั้ง) โดยกฎที่ใช้มีทั้งผู้ลงคะแนนสามารถเลือกได้เพียงคนเดียว หรือหลายคนแต่ไม่เกินกี่คน หรือจำนวนใด ๆ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญก็ได้
บัตรลงคะแนน
แก้โดยทั่วไป บัตรลงคะแนนในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าสามารถแบ่งได้เป็นสองแบบหลัก แบบง่ายที่สุดประกอบด้วยช่องว่างซึ่งเว้นไว้เพื่อเขียนชื่อผู้สมัครที่ต้องการด้วยลายมือ แบบที่เป็นระเบียบมากขึ้นจะมีรายชื่อผู้สมัครและมีช่องว่างข้างหน้าชื่อผู้สมัครสำหรับการกาเครื่องหมายเลือกผู้สมัครรายเดียว (หรือหลายรายในบางระบบ)
ตัวอย่างการลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า
แก้การเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร
แก้ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับแคนาดา และสหรัฐ ใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวในการเลือกตั้งระดับประเทศ ซึ่งในแต่ละเขตเลือกตั้งจะมีผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียว ผู้สมัครรายใดที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดในเขตนั้นจะได้รับเลือก (คะแนนเสียงที่เหนือกว่าชนะ) โดยไม่จำเป็นจะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ 50 ของคะแนนเสียงทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อค.ศ. 1992 พรรคเสรีประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งหนึ่งในสกอตแลนด์โดยมีคะแนนเพียงร้อยละ 26 เท่านั้น ในระบบเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียวที่ใช้ระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าในการเลือกผู้ชนะนั้นมักจะทำให้เกิดพรรคใหญ่เพียงสองพรรค ในประเทศที่ใช้ระบบสัดส่วนในการเลือกตั้งนั้นในทางกลับกันไม่เป็นประโยชน์ที่จะลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองใหญ่ จึงทำให้เกิดระบบการเมืองแบบหลายพรรคขึ้น
ในสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร แต่ในการเลือกตั้งในระดับสภาของตนนั้นใช้แบบสัดส่วนในการเลือกตั้ง ในสหราชอาณาจักรทั้งหมดใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนในการเลือกตั้งสภายุโรป
ประเทศที่ได้รับมรดกทางการเมืองมาจากบริเตนใหญ่นั้นล้วนจะมีสองพรรคใหญ่ ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เช่นในสหรัฐซึ่งมีพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ส่วนในแคนาดานั้นถือเป็นข้อยกเว้น โดยมีพรรคการเมืองใหญ่หลัก ๆ ถึงสามพรรค ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ใหม่ ซึ่งเป็นฝ่ายซ้าย พรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นฝ่ายขวา และพรรคเสรีนิยม ซึ่งอยู่ตรงกลางค่อนไปทางซ้าย ส่วนพรรคในลำดับที่สี่ซึ่งไม่ถือเป็นพรรคการเมืองหลักในปัจจุบันได้แก่ พรรคบล็อกเกเบกัวซึ่งสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของรัฐเกแบ็ก และเป็นพรรคประจำเขตซึ่งลงแข่งขันเพียงแค่ในการเมืองระดับรัฐ ส่วนในนิวซีแลนด์นั้นเคยใช้ระบบเดียวกับบริเตนใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเช่นกัน ซึ่งทำให้พลเมืองชาวนิวซีแลนด์ไม่พอใจเพราะปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขจึงทำให้รัฐสภานิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายใน ค.ศ. 1993 ไปใช้ระบบการเลือกตั้งเช่นเดียวกับเยอรมนี ซึ่งใช้ระบบสัดส่วน (PR) โดยมีที่นั่งจำนวนหนึ่งมาจากแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต่อมาจึงทำให้นิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศที่มีการเมืองแบบหลายพรรค[2]
ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 2015 มีข้อเรียกร้องจากพรรคเอกราชสหราชอาณาจักรในการปฏิรูประบบเลือกตั้งให้เป็นแบบสัดส่วนเนื่องจากพรรคฯ ได้รับคะแนนเสียงทั้งประเทศถึง 3,881,129 คะแนน แต่ได้ที่นั่งในสภาไปเพียงแค่ที่นั่งเดียว[3] ส่วนพรรคกรีนนั้นร่วมชะตากรรมเดียวกันคือที่นั่งกับคะแนนเสียงไม่สัมพันธ์กัน ในขณะที่พรรคชาติสกอตนั้นได้คะแนนเสียงเพียง 1,454,436 คะแนน แต่ได้ที่นั่งถึง 56 ที่นั่งเนื่องจากแรงสนับสนุนท่วมท้นในเขตเลือกตั้งของสกอตแลนด์
ตัวอย่าง
แก้ใช้จำนวนประชากรเป็นร้อยละโดยนำมาจากรัฐเทนเนสซีในสหรัฐเป็นตัวอย่างประกอบ
สมมติว่ารัฐเทนเนสซีกำลังจะจัดการเลือกตั้งเพื่อเลือกเมืองหลวงของรัฐ โดยประชากรในรัฐเทนเนสซีนั้นกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลักทั้งสี่เมืองซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละฝั่งของรัฐ ในตัวอย่างนี้ให้สมมติว่าเขตเลือกตั้งทั้งเขตนั้นอยู่ในเขตเมืองทั้งสี่นี้ และประชาชนทุกคนต้องการเลือกให้อาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด
รายชื่อเมืองผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งเมืองหลวงได้แก่
- เมมฟิส ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ มีผู้ลงคะแนนมากถึงร้อยละ 42 แต่ตั้งอยู่ไกลจากเมืองอื่นๆ
- แนชวิลล์ มีผู้ลงคะแนนร้อยละ 26 ตั้งอยู่ใจกลางรัฐ
- น็อกซ์วิลล์ มีผู้ลงคะแนนร้อยละ 17
- แชตตานูกา มีผู้ลงคะแนนร้อยละ 15
การแบ่งจำนวนเสียงข้อผู้ลงคะแนนสามารถจำแนกได้ดังนี้
42% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับเมมฟิส) |
26% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับแนชวิลล์) |
15% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับแชตตานูกา) |
17% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับน็อกซ์วิลล์) |
---|---|---|---|
|
|
|
|
หากผู้ลงคะแนนแต่ละคนในแต่ละเมืองนั้นเลือกได้เพียงเมืองเดียว (ชาวเมมฟิสเลือกเมมฟิส ชาวแนชวิลล์เลือกแนชวิลล์ เป็นต้น) เมมฟิสจะได้รับเลือกเนื่องจากมีคะแนนเสียงมากที่สุด (ร้อยละ 42) ซึ่งในระบบนี้ไม่ได้ใช้เกณฑ์คะแนนเสียงข้างมากในการเลือกผู้ชนะ เมมฟิสเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเนื่องจากได้คะแนนเสียงมากที่สุดถึงแม้ว่าอีกร้อยละ 58 ของผู้ลงคะแนนจะไม่เลือกเมมฟิสก็ตาม ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นหากมีการใช้ระบบสองรอบในการลงคะแนนซึ่งแนชวิลล์ก็จะเป็นผู้ชนะแทน (ในทางปฏิบัติแล้วผู้ลงคะแนนในแชตตานูกาและนอกซ์วิลล์จะใช้กลยุทธ์ในการเลือกตั้งและเลือกเมืองแนชวิลล์แทน)
ข้อเสีย
แก้การลงคะแนนเสียงเชิงกลยุทธ์
แก้เช่นเดียวกับระบบการลงคะแนนอื่นๆ ระบบการลงคะแนนแบบคะแนนเสียงเหนือกว่านั้นง่ายต่อเกิดการลงคะแนนเสียงเชิงกลยุทธ์ เช่น "การรอมชอม" (compromising) ผู้ลงคะแนนทั้งหลายจะถูกกดดันให้ลงคะแนนให้กับผู้สมัครรายเดียวจากสองรายที่มีโอกาสชนะมากกว่าถึงแม้ความชอบที่แท้จริงของผู้ลงคะแนนนั้นอาจจะไม่ใช่ทั้งสองคน เพราะว่าคะแนนเสียงที่ออกให้ผู้สมัครรายอื่นนั้นมีโอกาสที่จะทำให้ผู้สมัครรายที่ชอบไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่จะไปช่วยลดการสนับสนุนแก่ผู้สมัครหลักคนใดคนหนึ่งจากทั้งสองพรรคหลักที่ผู้ลงคะแนนอาจชอบมากกว่าอีกคนหนึ่งแทน พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยดังนั้นจะสามารถดึงคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งได้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งและไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อผู้ลงคะแนนเลย พรรคการเมืองที่เหลืออื่นๆ จะต้องเริ่มสร้างความนิยมและความน่าเชื่อถือผ่านการเลือกตั้งในหลายสมัยจนกว่าจะได้รับการพิจารณาโดยผู้ลงคะแนน
ในตัวอย่างกรณีรัฐเทนเนสซี หากผู้ลงคะแนนทั้งหมดของแชตตานูกาและน็อกซ์วิลล์ทำการลงคะแนนให้แก่แนชวิลล์แทน แนชวิลล์ก็อาจจะชนะการเลือกตั้ง (ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 58) โดยแนชวิลล์นั้นอาจจะเป็นตัวเลือกลำดับสามของผู้ลงคะแนนเหล่านี้ แต่หากทำการลงคะแนนให้กับลำดับความชอบแรกแล้ว (เมืองของตนเอง) จะส่งผลให้เมืองที่ชอบเป็นอันดับสุดท้าย (เมมฟิส) ชนะการเลือกตั้งแทน
จำนวนพรรคการเมืองน้อย
แก้จากกฎของดูว์แวร์แฌ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการเลือกตั้งที่ใช้ระบบแบ่งเขตเบอร์เดียวนั้นจะทำให้ประเทศกลายเป็นการเมืองแบบสองพรรคเมื่อเวลาผ่านไป[4]
การลงคะแนนระบบคะแนนนำนี้มักจะทำให้พรรคการเมืองลดจำนวนเหลือเพียงสองพรรคใหญ่มากกว่าระบบอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนทำให้พรรคการเมืองเดียวสามารถมีคะแนนเสียงข้างมากในสภาได้ (ในสหราชอาณาจักร จากการเลือกตั้งทั่วไป 21 ครั้ง จากทั้งหมด 24 ครั้งตั้งแต่ ค.ศ. 1922 เป็นต้นมา ทำให้มีพรรคการเมืองเดียวกุมเสียงข้างมากในสภาได้)
การลงคะแนนในระบบนี้ซึ่งก่อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่ซ้ำ ๆ จากพรรคหลักเพียงไม่กี่พรรค ทำให้เกิดรัฐบาลที่ไม่ได้มีมุมมองแตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก โดยเป็นไปได้ที่ผู้ลงคะแนนอาจเล็งเห็นว่าพรรคการเมืองใหญ่แต่ละพรรคนั้นล้วนมีนโยบายและมุมมองในปัญหาคล้ายกัน จึงทำให้ผู้ลงคะแนนไม่ได้มีความรู้สึกอยากลงคะแนนอย่างมีความหมายสำคัญเพียงพอ
เนื่องจากมีตัวเลือกน้อยให้ผู้ลงคะแนนเลือก โดยถึงแม้ว่าอาจจะลงคะแนนเลือกผู้สมัครรายนั้นในขณะที่ความรู้สึกของผู้ลงคะแนนนั้นยังไม่พอใจในผู้สมัคร แต่เหตุที่เลือกเพราะเนื่องจากผู้ลงคะแนนรู้สึกชอบผู้สมัครรายอื่นน้อยกว่าแทน ดังนั้นจึงทำให้ผู้แทนนั้นไม่สัมพันธ์กับมุมมองทางการเมืองของผู้ลงคะแนน
นอกจากนี้ การนำโดยพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวนั้นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้อย่างทันใดถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ อาจจะได้รับความเห็นชอบจากแค่เพียงกลุ่มคนที่เลือกมา (ซึ่งอาจจะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ลงคะแนน) แต่ในทางกลับกันในระบบหลายพรรคนั้นจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย
คะแนนเสียเปล่า
แก้คะแนนเสียเปล่า (wasted votes) เป็นคะแนนเสียงที่ออกเพื่อเลือกตั้งผู้สมัครที่มีแนวโน้มที่จะแพ้การเลือกตั้ง และรวมถึงคะแนนเสียงเกินซึ่งเป็นคะแนนที่เกินจากจำนวนคะแนนเสียงที่ต้องการสำหรับการชนะการเลือกตั้งในเขตนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005 คะแนนเสียงถึงกว่าร้อยละ 52 นั้นลงไปให้ผู้สมัครที่แพ้การเลือกตั้ง และกว่าอีกร้อยละ 18 เป็นคะแนนเสียงเกิน ซึ่งรวมกันกว่าร้อยละ 70 เป็นคะแนนเสียเปล่า ดังนั้นจึงเป็นที่ถกเถียงกันเรื่องระบบการลงคะแนนนี้เพราะเสียงข้างมากนั้นอาจจะไม่มีความหมายใด ๆ เลยในผลลัพธ์การเลือกตั้ง มีระบบการลงคะแนนอื่น ๆ อีกมากที่แก้ปัญหานี้เพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีประสิทธิภาพในการสร้างผลลัพธ์ซึ่งคือการลดปัญหาคะแนนเสียเปล่า
การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ
แก้เนื่องจากการลงคะแนนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) ทำให้เกิดคะแนนเสียเปล่ามาก ซึ่งการเลือกตั้งภายใต้ระบบนี้จะง่ายต่อการถูกเอาเปรียบจากการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไม่เป็นธรรม (Gerrymandering) เว้นแต่จะมีกลไกป้องกันอย่างเป็นระบบ การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบนี้ พรรคการเมืองที่ยังอยู่ในอำนาจสามารถจัดการกำหนดเขตเลือกตั้งเพื่อให้ได้เปรียบกับพรรคการเมืองของตัวเองในสมัยเลือกตั้งถัดไปได้
โดยสรุปแล้วหากพรรคการเมือง G ซึ่งมีอำนาจในรัฐบาลต้องการที่จะลดจำนวนที่นั่งที่คิดว่าพรรคฝ่ายค้าน O จะได้รับในการเลือกตั้งสมัยถัดไป สามารถกระทำได้โดยกำหนดจำนวนเขตเลือกตั้งใหม่ในบริเวณที่พรรค O นั้นมีคะแนนเสียงข้างมากอยู่ ซึ่งพรรค O ย่อมจะชนะที่นั่งเหล่านี้ไปโดยปริยายในขณะที่คะแนนเสียงส่วนมากที่ออกให้พรรค O จะเสียเปล่าไป ดังนั้นเขตเลือกตั้งที่เหลือนั้นย่อมถูกออกแบบให้พรรค G ได้คะแนนข้างมากเพียงเล็กน้อย ซึ่งคะแนนเสียงที่ออกให้แก่พรรค G นั้นเสียเปล่าน้อยกว่า และพรรค G จะชนะที่นั่งด้วยคะแนนนำจำนวนน้อยกว่า ผลของการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ ที่นั่งที่ชนะโดยพรรค O จึงมึต้นทุนคะแนนเสียงที่มากกว่าที่นั่งที่ชนะโดยพรรคการเมือง G
เสียงแตก
แก้ปัญหาเสียงแตก (Spoiler effect) เป็นผลกระทบจากคะแนนเสียงที่แตกออกให้แก่ผู้สมัครหลายคนที่มีนโยบายคล้ายคลึงกัน โดยผู้สมัครที่อาจใช้เป็นตัวล่อ (Spoiler) ในการเลือกตั้งนั้นจะแย่งคะแนนเสียงจากผู้สมัครหลักที่มีนโยบายทางการเมืองแนวเดียวกัน ซึ่งมักจะเป็นเหตุให้พ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อผู้สมัครจากพรรคการเมืองคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามได้ พรรคการเมืองขนาดเล็กจำนวนหลายพรรคสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดได้โดยมีความจงใจทำลายสมดุลของระบบสองพรรคการเมืองโดยทำให้เกิดกลุ่มการเมืองใหม่ในสเปคตรัมการเมืองซึ่งทำให้ผู้ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงลดลงจากคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดเปลี่ยนไปเป็นเพียงคะแนนนำเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์คือพรรคการเมืองที่มีความนิยมน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการลงคะแนนที่ใช้ระบบสัดส่วนจะมีพรรคการเมืองขนาดเล็กที่ชนะได้จากส่วนแบ่งตามสัดส่วนผู้แทนที่พึงได้รับ
อ้างอิง
แก้- ↑ "The Global Distribution of Electoral Systems". Aceproject.org. 2008-05-20. สืบค้นเมื่อ 2010-05-08.
- ↑ Roskin, Michael, Countries and Concepts (2007)
- ↑ "Reckless Out Amid UKIP Frustration At System". สืบค้นเมื่อ 2015-05-08.
- ↑ Bernard Grofman; André Blais; Shaun Bowler (5 March 2009). Duverger's Law of Plurality Voting: The Logic of Party Competition in Canada, India, the United Kingdom and the United States. Springer Science & Business Media. ISBN 978-0-387-09720-6.