ลอนดอน

เมืองหลวงของสหราชอาณาจักรและประเทศอังกฤษ
(เปลี่ยนทางจาก London)

ลอนดอน (อังกฤษ: London, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈlʌndən/ ( ฟังเสียง) ลันเดิน) หรือ กรุงลอนดอน หรือ นครลอนดอน เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ บริเวณปากแม่น้ำซึ่งไหลลงสู่ทะเลเหนือ บริเวณนี้ยังเป็นย่านชุมชมเก่าแก่ซึ่งมีผู้อาศัยมากกว่า 2,000 ปี ลอนดอนเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศูนย์กลางทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก[7] มีประชากรจำนวน 8,866,180 คนใน ค.ศ. 2022 จึงถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในยุโรป คิดเป็น 13.4% ของประชากรในสหราชอาณาจักร และ 16% ของประชากรในประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุนี้ลอนดอนจึงมีสถานะเป็นเมกะซิตี เขตมหานครลอนดอนยังถือเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคยุโรปตะวันตกด้วยจำนวนประชากร 15 ล้านคน[8] คำขวัญภาษาละตินของนครลอนดอน คือ “Domine dirige nos” แปลว่า “พระเจ้าทรงนำทางพวกเรา“ ชาวลอนดอนมักถูกเรียกว่า ลอนดอนเนอร์ (อังกฤษ: Londoner)

ลอนดอน
นครลอนดอนและปริมณฑล
London montage. Clicking on an image in the picture causes the browser to load the appropriate article.Heron TowerTower 4230 St Mary AxeLeadenhall BuildingWillis BuildingLloyds BuildingCanary Wharf20 Fenchurch StreetCity of LondonLondon UndergroundElizabeth TowerTrafalgar SquareLondon EyeTower BridgeRiver Thames
ตราราชการของลอนดอน
ตราอาร์ม
แผนที่ลอนดอนในสหราชอาณาจักร
พิกัด: 51°30′28″N 00°07′41″W / 51.50778°N 0.12806°W / 51.50778; -0.12806
ประเทศ บริเตนใหญ่
ภาคลอนดอน
เขตนครหลวง และ 32 เทศบาล
ก่อตั้งโดยชาวโรมันโดยชื่อว่า ลอนดิเนียม ประมาณ ค.ศ. 50
การปกครอง
 • หน่วยงานท้องถิ่นสำนักเขตนครลอนดอนและปริมณฑล
 • สภาสภาลอนดอน
 • นายกเทศมนตรีซาดีก คาน (คอน)
 • สำนักงานใหญ่โถงเมือง
 • รัฐสภา UK
 - สภาลอนดอน
 - รัฐสภายุโรป
74 เขตเลือกตั้ง
14 เขตเลือกตั้ง
เขตเลือกตั้งลอนดอน
พื้นที่
 • นครหลวงและปริมณฑล1,580 ตร.กม. (609 ตร.ไมล์)
ความสูง[1]24 เมตร (79 ฟุต)
ประชากร
 (ในปี พ.ศ. 2549)[2] · [3][4] · [5]
 • นครหลวงและปริมณฑล7,355,400 คน
 • ความหนาแน่น4,761 คน/ตร.กม. (12,331 คน/ตร.ไมล์)
 • เขตเมือง8,278,251 คน
 • รวมปริมณฑล13,063,441 คน
 • ชาวลอนดอนเนอร์
 • ชนกลุ่ม
[6]
69.6% ขาว
58.2% ขาวบริเตน
2.6% ไอริชขาว
8.8% ผิวขาวอื่น ๆ
3.4% ลูกครึ่ง
1.0% ขาวและคาริบเบียนดำ
0.5% ขาวและแอฟริกาดำ
0.9% เอเชียขาวและใต้
0.9% ขาวและดำอื่น ๆ
12.9% เอเชียใต้
6.4% อินเดีย
2.2% ปากีสถาน
2.2% บังกลาเทศ
2.0% เอเชียใต้อื่น ๆ
10.8% ดำ
4.4% คาริบเบียนดำ
5.5% แอฟริกาดำ
0.8% ดำอื่น ๆ
3.3% เอเชียตะวันออกและอื่น ๆ
1.4% จีน
1.9% อื่น ๆ
เขตเวลาUTC0 (GMT)
 • ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)UTC+1 (BST)
รหัสไปรษณีย์หลากหลาย
เว็บไซต์www.london.gov.uk
.

ลอนดอนถือเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ก่อตั้งโดยชาวโรมันในชื่อ ล็อนดินิอูง ราวคริสต์ศักราช 47-50[9] นครเวสต์มินสเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงลอนดอนยังเป็นที่ตั้งของรัฐบาล และ รัฐสภาสหราชอาณาจักร นครลอนดอนเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในช่วงศตวรรษที่ 19[10] ชื่อ "ลอนดอน" ยังสื่อถึงมหานครซึ่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบ โดยในอดีตเคยใช้สื่อถึงการแบ่งเทศมณฑลของอังกฤษอันประกอบไปด้วย มิดเดิลเซกซ์, เอสเซกซ์, เซอร์รีย์, เคนต์ และ ฮาร์ตฟอร์ดเชอร์[11] ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานท้องถิ่น 33 แห่งและหน่วยงานบริหารกรุงลอนดอน (Greater London Authority) ตั้งแต่ ค.ศ. 1965 เป็นต้นมา[12]

ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านการเงิน[13] การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ ในอดีตเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงของโลก และเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในโลกมาถึงปัจจุบัน ถือกันว่าเป็นเมืองสากลหลักของโลก[14][15] ลอนดอนยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการศึกษาของยุโรป และเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง อาทิ อิมพิเรียลคอลเลจลอนดอนซึ่งมีจุดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์, วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน มีชื่อเสียงด้านสังคมศาสตร์และการเงิน รวมถึงยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินซึ่งเป็นต้นกำเนิดของงานวิจัยระดับโลก[16][17] ลอนดอนเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากที่สุดในยุโรป และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และมีท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดในยุโรป โดยมีท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์เป็นท่าอากาศยานหลัก[18] แม้จะมีการถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนภายหลังเบร็กซิต ทว่าลอนดอนยังคงสถานะการเป็นเมืองที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจมากที่สุดของยุโรป และเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก[19] ลอนดอนยังเป็นศูนย์รวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโลกโดยมีภาษามากกว่า 300 ภาษาถูกใช้ในลอนดอน[20]

ลอนดอนมีแหล่งมรดกโลกจำนวน 4 แห่ง: สวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว, หอคอยแห่งลอนดอน, เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (รวมถึงโบสถ์เซนต์มาร์กาเร็ต) และเมืองนาวีกรีนิชซึ่งเป็นที่ตั้งหอดูดาวหลวงเกรนิช และการกำหนดเวลามาตรฐานกรีนิช[21] สถานที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ พระราชวังบักกิงแฮม, ลอนดอนอาย, พิคะดิลีเซอร์เคิส, อาสนวิหารนักบุญเปาโล, สะพานทาวเวอร์ และ จัตุรัสทราฟัลการ์ กรุงลอนยังมีจำนวนพิพิธภัณฑ์, หอศิลป์, หอสมุด และสถานที่ทางวัฒนธรรมมากที่สุดในสหราชอาณาจักรซึ่งรวมถึงพิพิธภัณฑ์บริติช, หอศิลป์แห่งชาติ, พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ, เทตมอเดิร์น, หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ และ โรงละครรวมทั้งโรงภาพยนตร์ชื่อดังหลายแห่ง และเป็นที่ตั้งของภัตตาคารระดับโลก ลอนดอนยังเป็นที่ตั้งของทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีกหลายสโมสร สนามกีฬาเวมบลีย์ยังเป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่มีชื่อเสียงของโลก ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญหลายครั้ง รวมถึงการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน และ ฟุตบอลเอฟเอคัพ ลอนดอนยังเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาที่สำคัญ ได้แก่ ลอนดอนมาราธอน และเคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012

ประวัติศาสตร์

แก้

ชื่อ ลอนดอน นักประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะมาจากชื่อกรุงลอนดอนในสมัยโรมันว่า ลอนดีนิอุม (ละติน: Londinium) ซึ่งเป็นภาษาละติน และเพี้ยนมาเป็นชื่อ "ลอนดอน" ในภายหลัง ถึงแม้ว่าชาวโรมันจะพิชิตอังกฤษได้ก็ตาม ลอนดิเนียมแห่งนี้อยู่เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ในปี ค.ศ. 61 ชาวเผ่าไอซินี นำโดยราชินีโบดิก้า บุกเข้ายึดลอนดึเนียม เผาทั้งเมือง และเข่นฆ่าชาวโรมันอย่างเหี้ยมโหด[22] แต่ในเวลาถัดมา ชาวโรมันสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ และชนะการรบกับราชินีโบดิก้า ในราวศตวรรษที่ 2 ลอนดิเนียมรุ่งเรืองถึงขีดสุด และลอนดอนโรมันมีประชากรประมาณ 60,000 คน

ลอนดอนประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ส่งผลให้ผู้คนเชื่อว่าเลข 666 เป็นเลขแห่งความโชคร้าย การสร้างเมืองใหม่ใช้เวลาถึง 10 ปีด้วยกัน แต่ลอนดอนยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2560 กรุงลอนดอนนอกจากประสบกับเหตุก่อการร้ายยังประสบอัคคีภัย มีคนเสียชีวิต รวม 20 ราย หากรวมผู้ก่อการร้ายด้วยจะเป็น 24ราย

ฤดูกาลและภูมิอากาศ

แก้

สำหรับฤดูกาลโดยทั่วไปของอังกฤษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง 4 ฤดูในหนึ่งวันอีกด้วย นั่นก็เพราะในบางวันที่ลอนดอนจะมีทั้งแดดออก ฝนตก หนาวเย็นและอบอุ่นสลับกันไป ซึ่งอากาศในช่วงกลางวันจะอบอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยได้ 5-10 องศา และอากาศในตอนกลางคืนจะหนาวเย็นกว่าได้ประมาณ 5 องศา

1.ฤดูใบไม้ผลิ

ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงได้บ่อยที่สุด อาจมีทั้งอากาศอบอุ่น แสงแดดจัด หนาวเย็นและฝนตกสลับกันไป หรือสภาพอากาศเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในวันเดียวกันซึ่งทั้งนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะอยู่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม

  • เดือนมีนาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาเซลเซียส
  • เดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 11 องศาเซลเซียส
  • เดือนพฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14 องศาเซลเซียส

2. ฤดูร้อน

ฤดูร้อน สภาพอากาศจะมีความอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ และมีแสงแดดส่องตลอดวัน โดยช่วงฤดูร้อนก็จะอยู่ในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม และยังเป็นช่วงที่กลางวันยาวนานมาก บางช่วง 2 ทุ่มกว่าแล้วเพิ่งจะเริ่มมืด โดย

  • เดือนมิถุนายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 16 องศาเซลเซียส
  • เดือนกรกฎาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส
  • เดือนสิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส

3. ฤดูใบไม้ร่วง

ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นลงมามากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความสวยงามและบรรยากาศที่น่าเที่ยวไม่น้อย โดยช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน โดย

  • เดือนกันยายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส
  • เดือนตุลาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 องศาเซลเซียส
  • เดือนพฤศจิกายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10 องศาเซลเซียส

4. ฤดูหนาว

ฤดูหนาวเป็นฤดูที่มีหิมะตก เหมาะกับการท่องเที่ยวสำหรับคนที่อยากสัมผัสกับหิมะเป็นที่สุด แต่จะมีหิมะตกบางพื้นที่เท่านั้น และกลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวันอีกด้วย หรือกล่าวง่ายๆก็คือช่วงนี้จะมืดเร็วกว่าปกตินั่นเอง บางช่วงยังไม่ 5 โมงเย็นท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว ซึ่งช่วงฤดูหนาวก็จะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมาพันธ์ โดย

  • เดือนธันวาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส
  • เดือนมกราคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส
  • เดือนกุมภาพันธ์ มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส

เครดิต: ตะลอนเที่ยวดอตคอม

เศรษฐกิจ

แก้

ลอนดอนถูกจัดอับดับโดย Mastercard Worldwide (มาสเตอร์การ์ด เวิรลด์ไวด์) ว่าเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อันดับหนึ่งของโลก [23] ลอนดอนยังเป็นศูนย์กลางของการอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมธนาคารและการประกันภัยด้วย การอุตสาหกรรมในลอนดอนมีความหลากหลายตั้งแต่อุตสาหกรรมที่ไม่มีฝีมือจนถึงช่างฝีมือ รวมทั้งอุตสาหกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้านค้าต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 1747 อาชีพของคนในลอนดอน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีถึง 215 อาชีพ และเพิ่มขึ้นเป็น 492 อาชีพในปี ค.ศ. 1792 ในปี ค.ศ. 1700 ร้อยละ 20 ของประชากรในอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเมือง 2 ใน 3 ของประชากรเมืองเหล่านี้อาศัยอยู่ในลอนดอน การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศได้ส่งผลให้กิจการธนาคารในลอนดอนได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ลอนดอนเป็นที่ตั้งของธนาคารทั้งในและต่างประเทศ ตลาดหุ้น กิจการการประกันภัย ฯลฯ การเจริญเติบโตดังกล่าวมีผลต่อพัฒนาการของการใช้นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งอังกฤษได้หันมาใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (liberalism) แทนที่นโยบายพาณิชย์นิยม (mercantilism).

 
Harrods

สถานที่ท่องเที่ยว

แก้

สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แก่ พระราชวังบักกิงแฮม มหาวิหารเวสมินสเตอร์ หอนาฬิกาบิ๊กเบน สะพานลอนดอน หอคอยลอนดอน ซึ่งเป็นที่คุ้นหูนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเนิ่นนาน

อ้างอิง

แก้
  1. "ลอนดอน, สหราชอาณาจักร พยากรณ์อากาศ (ที่สนามบินฮีทโธรว์)" (online). สืบค้นเมื่อ 2007-03-16. (อังกฤษ)
  2. "T 08: Selected age groups for local authorities in the United Kingdom; estimated resident population; Mid-2006 Population Estimates" (XLS). Office for National Statistics. 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550. สืบค้นเมื่อ 2007-08-22. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help) (อังกฤษ)
  3. KS01 Usual resident population: Census 2001, Key Statistics for urban areas www.statistics.gov.uk (อังกฤษ)
  4. World Gazetteer - World: metropolitan areas (อังกฤษ)
  5. "ประชาการของเขตพื้นที่นครลอนดอน". 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550. สืบค้นเมื่อ 2007-08-27. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)(อังกฤษ)
  6. "Neighbourhood Statistics". Neighbourhood Statistics. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-12. สืบค้นเมื่อ 2008-04-29. (อังกฤษ)
  7. "The Global Financial Centres Index 10"[ลิงก์เสีย]
  8. "Major Agglomerations of the World - Population Statistics and Maps". www.citypopulation.de.
  9. "London Government Act: Essex, Kent, Surrey and Middlesex 50 years on". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-08-01. สืบค้นเมื่อ 2024-10-01.
  10. Chambers, W., The Postman's Knock, Chambers's Edinburgh Journal (1857)
  11. "The baffling map of England's counties". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2014-04-25. สืบค้นเมื่อ 2024-10-01.
  12. Axford, Barrie; Denver, David (2007). Jones, Bill (บ.ก.). Politics UK (6. ed ed.). Harlow: Pearson Education. ISBN 978-1-4058-2411-8. {{cite book}}: |edition= has extra text (help)
  13. ,8209-2081045, 00.html Focus: Squeezing the Big Apple -Louise Armitstead, Richard Fletcher, Mark Kleinman and Dominic Rushe (March 12, 2006) business.timesonline.co.uk (อังกฤษ)
  14. "Leading 200 science cities | Nature Index 2021 Science Cities | Supplements | Nature Index". www.nature.com.
  15. "UK's stock market is in a 'doom loop' that's undermining London's status as a global financial capital, investment bank says | Fortune" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2023-10-31.
  16. "World University Rankings". Times Higher Education (THE) (ภาษาอังกฤษ). 2018-09-19.
  17. "QS World University Rankings 2022". Top Universities (ภาษาอังกฤษ). 2024-09-13.
  18. "Revealed: The most crowded skies on the planet". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ).
  19. "London is Europe's leading economic powerhouse, says new report | London City Hall". www.london.gov.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  20. "Languages spoken in the UK population, FAQ - CILT". web.archive.org. 2008-09-24.
  21. Centre, UNESCO World Heritage. "United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland - UNESCO World Heritage Convention". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ).
  22. "เส้นเวลาประวัติศาสตร์อังกฤษ—อังกฤษโรมัน". บีบีซี. 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help) (อังกฤษ)
  23. ลอนดอนรั้งศูนย์พาณิชย์โลก กทม.ติดที่ 36 (อังกฤษ)

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้