ไมโครซอฟท์ วินโดวส์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ (อังกฤษ: Microsoft Windows) เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985 โดยรุ่นแรกของวินโดวส์ คือ วินโดวส์ 1.0) และ ครองความนิยมในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มากกว่าร้อยละ 90 ของการใช้งานทั่วโลก[3] รายละเอียดโดยสังเขปของวินโดวส์รุ่นต่าง ๆ เรียงตามลำดับการเปิดตัว เป็นดังนี้
![]() | |
ผู้พัฒนา | ไมโครซอฟท์ |
---|---|
เขียนด้วย | ซี, ซี++, ภาษาแอสเซมบลี ![]() |
สถานะ | ปัจจุบัน/เสถียร |
รูปแบบ รหัสต้นฉบับ | ไม่เปิดเผยต้นฉบับ |
วันที่เปิดตัว | 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 |
รุ่นเสถียร |
5 ตุลาคม พ.ศ. 2564 (วินโดวส์ 11) |
ภาษาสื่อสาร | 138 ภาษา[1] |
วิธีการอัปเดต |
|
ตัวจัดการ แพกเกจ | วินโดวส์อินสตอลเลอร์ (.msi), วินโดวส์สโตร์ (.appx)[2] |
แพลตฟอร์ม ที่รองรับ | ARM, ไอเอ-32, ไอเทเนียม, เอกซ์86-64 |
ส่วนติดต่อผู้ใช้ปริยาย | วินโดวส์เชลล์ |
สัญญาอนุญาต | ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์แบบจำกัดสิทธิ์ |
เว็บไซต์ | windows |
ประวัติวินโดวส์ แก้
วินโดวส์ 1.0 – 2.0 แก้
วินโดวส์ 1.0 เป็นสภาวะการทำงานรุ่นแรกของวินโดวส์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 มีสภาวะการทำงานแบบ 16 บิต ที่เรียกว่า สภาวะการทำงาน (Operating Environments) เพราะ วินโดวส์ 1.0 ยังไม่มีความสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการเฉพาะแยกต่างหาก (ระบบปฏิบัติการดังกล่าวคือ ดอส) ซึ่งวินโดวส์จะทำหน้าที่เพียงการติดต่อกับผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้ป้อนคำสั่งใดๆ วินโดวส์จะไปเรียกใช้ฟังก์ชันต่างๆ จากดอส เมื่อได้ผลการทำงานออกมา วินโดวส์จะแสดงผลออกมายังผู้ใช้อีกทีหนึ่ง วินโดวส์สามารถเรียกได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการ แต่เป็นตัวแสดงผลส่วนหน้าของดอส ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายกว่าการติดต่อกับดอสโดยตรง และตั้งแต่รุ่นแรก วินโดวส์เป็นคู่แข่งกับ แมคอินทอช ผลิตภัณฑ์ลักษณะคล้ายกันจากบริษัท แอปเปิลคอมพิวเตอร์ แต่ในช่วงแรก ภาพการแข่งขันยังไม่ชัดเจนนัก วินโดวส์ 1.0
วินโดวส์ 2.0 เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 2.0 ยังต้องอาศัยดอส แต่มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 1.0 เช่น สามารถเปิดหลายโปรแกรมซ้อนกันได้ และมีโปรแกรม ไมโครซอฟท์ เวิร์ด (Word) และ เอกซ์เซล (Excel) และได้มีปุ่ม Minimize, Maximize และปุ่มลัดอื่นๆ ขึ้นเป็นครั้งแรกวินโดวส์ 2.0 ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็ถือว่ามีกระแสตอบรับ และการสนับสนุนจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มากขึ้นกว่ารุ่น 1.0 และอยู่ในการสนับสนุนของไมโครซอฟท์จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544
วินโดวส์ 3.0 แก้
วินโดวส์ 3.0 เปิดตัวในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ยังต้องอาศัยดอส และโปรเซสเซอร์ตัวเดียวกับ 2.1 แต่วินโดวส์ 3.0 ได้มีการออกแบบกราฟิกในการใช้งานคอมพิวเตอร์ใหม่, มีระบบการบริหารจัดการหน่วยความจำรอมและแรมที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อน และเปลี่ยนโปรแกรมบริหารจัดการไฟล์และโปรแกรมในดอสใหม่ทั้งหมด การเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังมีโปรแกรมใหม่ที่ติดตั้งมาพร้อมวินโดวส์ คือ โน้ตแพด, เกม Solitaire ฯลฯ ทำให้วินโดวส์ 3.0 ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นคู่แข่งอย่างชัดเจนกับแมคอินทอชจากแอปเปิล วินโดวส์ 3.1 เปิดตัวเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2535 ยังต้องอาศัยดอส ในวินโดวส์รุ่นนี้ได้ออกแบบโดยมีแพลตฟอร์มเพื่อการพิมพ์มากขึ้น โดยได้มีฟอนต์ประเภททรูไทป์ และได้มีการลงเกม ไมน์สวีปเปอร์ มาพร้อมกับวินโดวส์เป็นครั้งแรก และได้มีรุ่นปรับปรุง (อัปเดต) คือรุ่น 3.11 ออกมาในวันที่31 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งถือได้ว่าวินโดวส์ในช่วงนี้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในรุ่น 3.1 ได้มีการจำหน่าย Windows for Workgroups ซึ่งเป็นรุ่นที่มีความสามารถสูงกว่าวินโดวส์ 3.1 ทั่วไป เช่น รองรับระบบเน็ตเวิร์ค และโพรโทคอล, เกม Hearts และได้มีการทำวินโดวส์ 3.2 สำหรับวางขายเฉพาะประเทศจีน โดยจะใช้อักษรจีนแสดงตัวย่อ วินโดวส์ 3.1 ได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544
วินโดวส์ 4.0 แก้
วินโดวส์ 95 หรือ วินโดวส์ 4.0 (ไม่เอ็นที) เปิดตัว 24 สิงหาคม พ.ศ. 2538 เป็นวินโดวส์รุ่นต่อจาก 3.1 เป็นวินโดวส์รุ่นแรกที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ทั่วไป ที่ได้รวมเอาดอสเป็นส่วนหนึ่งของวินโดวส์ (ยังมีดอสอยู่ในวินโดวส์ แต่ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการแยก) สามารถทำงานได้ทั้งสถานะ 16 และ 32 บิต มีการใช้สตาร์ทเมนู (ปุ่มสตาร์ทที่มุมซ้ายล่าง) และทาสก์บาร์ (แท่งด้านล่างหน้าจอ แสดงโปรแกรมที่ใช้ และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ) เป็นครั้งแรก ซึ่งทั้งสอง จนถึงวินโดวส์รุ่นล่าสุด ก็ยังใช้คอนเซปต์เดียวกับวินโดวส์ 95 เพียงแต่ปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้ทันสมัยขึ้นเท่านั้น ด้วยความสามารถต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป วินโดวส์ 95 ประสบความสำเร็จอย่างสูง ยอดการใช้วินโดวส์ 95 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของวินโดวส์ วินโดวส์ 95 ตามมาด้วย วินโดวส์ 98 หรือ วินโดวส์ 4.1 (ไม่เอ็นที) เปิดตัวเมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2541 และ วินโดวส์ 98 Second Edition รุ่นปรับปรุง เริ่มจำหน่ายเมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2542 วินโดวส์ มี (อังกฤษ: Windows Me) หรือวินโดวส์ 4.9 (ไม่เอ็นที) เป็นวินโดวส์รุ่นต่อจาก 98 และเป็นรุ่นสุดท้ายที่ไม่ใช่วินโดวส์เอ็นที รุ่นสุดท้ายที่ทำงานได้ทั้งระบบ 16 และ 32 บิต (เวลาผ่านไป โปรแกรมรุ่นใหม่ ที่เป็นโปรแกรมพื้นฐานสำหรับผู้ใช้ตามบ้าน เริ่มเปลี่ยนจาก 16 เป็น 32 บิต และโปรแกรมชั้นสูง เริ่มเปลี่ยนจาก 32 เป็น 64 บิต) เปิดตัว 14 กันยายน พ.ศ. 2543 วินโดวส์มี ไม่ใช่วินโดวส์เอ็นที จึงยังมีดอสอยู่ในวินโดวส์ ซึ่งวินโดวส์ 95 และ 98 แม้จะรวมดอสเป็นส่วนหนึ่งของวินโดวส์ แต่ยังเปิดให้เข้าถึงดอสได้ แต่วินโดวส์ มี ได้ปิดการเข้าถึงดอสในวินโดวส์ เพื่อให้การบูตเครื่องทำได้เร็ว แต่ทำให้โปรแกรมเฉพาะบางโปรแกรมที่ต้องอาศัยการเข้าถึงดอส ไม่สามารถทำงานได้ในวินโดวส์มี โดยเฉพาะโปรแกรมบริหารจัดการดิสก์วินโดวส์ มี ได้รับคำวิจารณ์อย่างมากในเรื่องความไม่เสถียรและปัญหามากมายภายในระบบ นิตยสารพีซีเวิลด์จึงจัดว่า Windows ME เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการที่แย่ที่สุดที่ Microsoft เคยออกมาและเป็นผลิตภัณฑ์ที่เลวร้ายที่สุดอันดับ 4 ของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ณ เวลานั้น
วินโดวส์ NT แก้
รุ่นก่อน XP แก้
เปิดตัวเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 เอ็นที ย่อมาจาก (New Technology) มีความสามารถในการรองรับระบบสถาปัตยกรรมทางคอมพิวเตอร์ได้หลายประเภท ในช่วงนี้ผู้ใช้วินโดวส์เอ็นทีส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ใช้ตามบ้าน แต่มักเป็นลูกค้าที่ใช้คอมพิวเตอร์ในระดับสูงและกลุ่มนักธุรกิจ ส่วนผู้ใช้ทั่วไปในช่วงนั้นมักยังใช้ วินโดวส์ 3.1 ธรรมดา
วินโดวส์ XP แก้
วินโดวส์ เอกซ์พี หรือ วินโดวส์ เอ็นที 5.1 และ เอ็นที 5.2 เปิดตัว 25 ตุลาคม พ.ศ. 2544 เป็นวินโดวส์เอ็นทีรุ่นแรก ที่พัฒนาขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ทั่วไป พัฒนาขึ้นจาก วินโดวส์ เนปจูน และ โอดิสซีย์ ถูกยุบรวมกันเป็นวินโดวส์ Whistler ส่วนวินโดวส์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ใช้ขั้นสูงและธุรกิจ จะมีแยกต่างหากอีก 2 ตัว ที่ใช้เลข เอ็นที 5.1 และ 5.2 คือ วินโดวส์ ฟันเดเมนทัลส์ ฟอร์ เลกาซี พีซีส์ และ วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 ตามลำดับ โดยคำว่า เอกซ์พี มาจากคำว่า Experience แปลว่า ประสบการณ์ ซึ่งเป็นวินโดวส์ที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง แม้จะเปิดตัวมาแล้วถึง 9 ปี แต่จากข้อมูลในเดือนกันยายน 2553 พบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ยังใช้วินโดวส์เอกซ์พีมากถึงร้อยละ 60 ของผู้ใช้ทั้งหมด ในขณะที่วินโดวส์รุ่นอื่นๆ ทั้งหมดรวมกัน มีส่วนแบ่งร้อยละ 31 และระบบปฏิบัติการอื่นที่ไม่ใช่วินโดวส์ ประมาณร้อยละ 9 วินโดวส์ เอกซ์พี มีการออกรุ่นปรับปรุงตามหลังมาอีกพอสมควร ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบรุ่นของซอฟต์แวร์ได้เอง โดยกด Start แล้วเลือก Run แล้วพิมพ์ sysdm.cpl หรือ winmsd.exe แล้วกด Run จะขึ้นหน้าต่างข้อมูลให้ผู้ใช้รับทราบ รุ่นปรับปรุงที่ออกมา จะปรากฏคำว่า Service Pack วินโดวส์ เอกซ์พี หยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557
วินโดวส์ Vista แก้
วินโดวส์ วิสต้า หรือ วินโดวส์ เอ็นที 6.0 ได้รับลิขสิทธิ์ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 แต่เริ่มขายผู้ใช้จริง 30 มกราคม พ.ศ. 2550 ในช่วงของวิสตา วินโดวส์ สำหรับผู้ใช้ขั้นสูงและองค์กรธุรกิจ คือ วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2008, วินโดวส์ โฮม เซิร์ฟเวอร์ วิสตามีความสามารถสูงกว่าเอกซ์พีหลายประการ เช่น ในการตัดต่อ การพัฒนาแอปพลิเคชัน, การแสดงผลกราฟิก ที่สามารถแสดงผลแบบโปร่งแสง สามารถมองฉากหลังของหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่ได้ ในมุมมองแบบโปร่งแสง ในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น บาร์ด้านบนสุดของโปรแกรม, ความสามารถในการค้นหา, การพิมพ์ ฯลฯ แต่ทว่า วิสตา ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควร สาเหตุหลักๆ ที่เป็นที่วิจารณ์ คือ ความต้องการขึ้นต่ำของระบบ ที่สูงกว่าวินโดวส์เอกซ์พีหลายเท่าตัว ดังตัวอย่างเปรียบเทียบในตาราง คอมพิวเตอร์ทั่วไปในช่วงนั้น มีความสามารถไม่ถึง หรือ ถึง แต่เกินความต้องการมาเพียงเล็กน้อย ทำให้วิสตาเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้เครื่องทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หรือช้า อีกทั้งยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าซอร์ซโค้ดไม่มีคุณภาพ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่ไม่ได้ใช้คุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มมาของวิสตา จึงยังคงใช้เอกซ์พี วิสตาจึงไม่ประสบความสำเร็จมากนัก หยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 เมษายน 2560
วินโดวส์ 7 แก้
วินโดวส์ 7 หรือ วินโดวส์ เอ็นที 6.1 เปิดตัวการขายปลีกเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เป็นวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ส่วน เอ็นที 6.1 อีกรุ่นหนึ่ง ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ระดับสูง คือ วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2008 อาร์2 เปิดตัวในวันเดียวกับวินโดวส์ 7 ในวินโดวส์ 7 ได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องที่ทำให้วิสตาไม่ประสบความสำเร็จ และมีความต้องการขั้นต่ำไม่ต่างจากวิสตามากนัก นอกจากแรมและการ์ดจอ ที่ต้องการเพิ่ม แต่ที่ผ่านมา จากการเปิดตัววิสตา ได้กรุยทางส่วนหนึ่งไว้ให้ วินโดวส์ 7 เพราะช่องว่างระหว่างการเปิดตัวนั้น ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หลายรายได้เพิ่มความสามารถในหลายด้าน คอมพิวเตอร์ในช่วงหลังวิสตา พร้อมจะรองรับวินโดวส์ที่ใหญ่กว่าเอกซ์พีได้ อีกทั้งวินโดวส์ 7 ได้มีการบริหารจัดการดี ทำงานมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิสตา ต่อมา มีผู้ใช้วินโดวส์ 7 มากกว่าวิสตาเสียอีก วินโดวส์ 7 หยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มกราคม 2563
วินโดวส์ 8 และ 8.1 แก้
วินโดวส์ 8 เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นต่อไปในตระกูลวินโดวส์ เปิดตัวเมื่อ 22 ตุลาคม 2553 ผ่านทางบล็อกภาษาดัชต์ของไมโครซอฟท์เอง[4] วินโดวส์ 8 มีคุณสมบัติเพิ่มเติมมากมายหลายอย่าง เช่น ไลฟ์ ไทลส์ ช่วยให้เข้าข้อมูลพื้นฐานได้ง่ายขึ้น[5][6], วินโดวส์ เอกซ์พลอเรอร์ ที่ใช้การจัดข้อมูลแบบริบบอนแทนแบบเดิม [7] เป็นต้น ปัจจุบันวินโดวส์ 8 ได้เปิดวางขายเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 Windows 8 ได้สิ้นสุดการสนับสนุนจาก Microsoft เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 18 ตุลาคม 2013 ทาง Microsoft ออกชุดอัปเดตระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่ชื่อ Windows 8.1 สนับสนุนการใช้ Skype แอพ Mail XBox Video Office Bing Food and Drink Xbox Music Internet Explorer 11 (IE11) และมีการนำปุ่ม Start กลับมาอีกครั้งหลังตัดไปในวินโดวส์ 8 โดยวินโดวส์ 8 หยุดสนับสนุนอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มกราคม 2559 และ วินโดวส์ 8.1 จะยุติการสนับสนุนวันที่ 10 มกราคม 2566
วินโดวส์ 10 แก้
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 วินโดวส์ 10 มีแนวทางการออกแบบที่สืบทอดจาก วินโดวส์ 8 โดยมีหน้าต่างแบบจอสัมผัส และแบบดั้งเดิมที่ใช้เมาส์และคีย์บอร์ด สถาปัตยกรรมของระบบเอื้อให้สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ โดยเพิ่มแอปจากร้านค้าวินโดวส์ เพื่อการรองรับโปรแกรมเพิ่มเติม อัปเดตระบบให้ผู้ใช้ วินโดวส์ 8.1 และวินโดวส์ 7 โดยไม่คิดมูลค่า และได้หยุดการอัปเดตวินโดวส์ 10 โดยไม่คิดมูลค่าไปแล้ว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 และ จะยุติการสนับสนุนวันที่ 14 ตุลาคม 2568[8][9]
วินโดวส์ 11 แก้
วินโดวส์ 11 เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นสืบทอดจาก วินโดวส์ 10 เปิดตัวเมื่อ 24 มิถุนายน 2564 มีกำหนดอัปเดตระบบให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์วินโดวส์ 10 ที่รองรับการใช้งานโดยไม่คิดมูลค่าอย่างเป็นทางการในปลายปี พ.ศ. 2564 ผ่านวินโดวส์อัปเดต โดยวินโดวส์ 11 ชูจุดขายหลักว่าเป็น "วินโดวส์ที่ถูกคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด" พร้อมกับการเปิดเผยรายละเอียดฟังก์ชันใหม่ในส่วนของนักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ เช่น ไมโครซอฟท์ สโตร์, ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ วินโดวส์ เอสดีเค "โปรเจกต์ รียูเนียน", แนวทางการออกแบบส่วนต่อประสาน ฟลูเอนท์ ดีไซน์ ซิสเท็ม, และหัวข้ออื่น ๆ อีกมากมาย
ส่วนแบ่งทางการตลาด แก้
อ้างอิงจากข้อมูลของ NETMARKETSHARE เมื่อเดือนมกราคม 2563[10]
|
|
ตารางในแต่ละรุ่น แก้
สีแดง คือ ล้าสมัย , สีเหลือง คือ ล้าสมัยแต่ยังคงสนับสนุนอยู่ , สีเขียว คือ เวอร์ชันปัจจุบัน[11][12]
ชื่อรุ่น | เวอร์ชันล่าสุด | วันที่เปิดตัว | โค๊ดเนม | ระยะเวลาซัพพอร์ท | เวอร์ชันล่าสุดของ | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
หลัก | ขยาย | IE | DirectX | Edge | ||||
Windows 1.0 | 1.01 | 20 พฤศจิกายน 1985 | Interface Manager | 31 ธันวาคม 2001 | N/A | N/A | N/A | |
Windows 2.0 | 2.03 | 9 ธันวาคม 1987 | ไม่มี | |||||
Windows 2.1 | 2.11 | 27 พฤษภาคม 1988 | ไม่มี | |||||
Windows 3.0 | 3.0 | 22 พฤษภาคม 1990 | ไม่มี | |||||
Windows 3.1 | 3.1 | 6 เมษายน 1992 | Janus | 5 | ||||
Windows For Workgroups 3.1 | 3.1 | ตุลาคม 1992 | Sparta, Winball | |||||
Windows NT 3.1 | NT 3.1.528 | 27 กรกฎาคม 1993 | ไม่มี | |||||
Windows For Workgroups 3.11 | 3.11 | 11 สิงหาคม 1993 | Sparta, Winball | |||||
Windows 3.2 | 3.2 | 22 พฤศจิกายน 1993 | ไม่มี | |||||
Windows NT 3.5 | NT 3.5.807 | 21 กันยายน 1994 | Daytona | |||||
Windows NT 3.51 | NT 3.51.1057 | 30 พฤษภาคม 1995 | ไม่มี | |||||
Windows 95 | 4.0.950 | 24 สิงหาคม 1995 | Chicago, 4.0 | 31 ธันวาคม 2000 | 31 ธันวาคม 2001 | 5.5 | 6.1 | |
Windows NT 4.0 | NT 4.0.1381 | 31 กรกฎาคม 1996 | Cairo | 5 | N/A | |||
Windows 98 | 4.10.1998 | 25 มิถุนายน 1998 | Memphis, 97, 4.1 | 30 มิถุนายน 2002 | 11 กรกฎาคม 2006 | 6 | 6.1 | |
Windows 98 SE | 4.10.2222 | 5 พฤษภาคม 1999 | ไม่มี | |||||
Windows 2000 | NT 5.0.2195 | 15 ธันวาคม 1999 | ไม่มี | 30 มิถุนายน 2005 | 13 กรกฎาคม 2010 | 5 | N/A | |
Windows ME | 4.90.3000 | 14 กันยายน 2000 | Millenium, 4.9 | 31 ธันวาคม 2003 | 11 กรกฎาคม 2006 | 6 | 9.0c | |
Windows XP | NT 5.1.2600 | 25 ตุลาคม 2001 | Whistler | 14 เมษายน 2009 | 8 เมษายน 2014 | 8 | ||
Windows XP 64-bit Edition | NT 5.2.3790 | 28 มีนาคม 2003 | ไม่มี | 6 | ||||
Windows Server 2003 | NT 5.2.3790 | 24 เมษายน 2003 | ไม่มี | 13 กรกฎาคม 2010 | 14 กรกฎาคม 2015 | 8 | ||
Windows XP Professional x64 Edition | NT 5.2.3790 | 25 เมษายน 2005 | ไม่มี | 14 เมษายน 2009 | 8 เมษายน 2014 | |||
Windows Fundamentals for Legacy PCs | NT 5.1.2600 | 8 กรกฎาคม 2006 | Eiger, Mönch | |||||
Windows Vista | NT 6.0.6002 | 30 มกราคม 2007 | Longhorn | 10 เมษายน 2012 | 11 เมษายน 2017 | 9 | 11 | |
Windows Home Server | NT 5.2.4500 | 4 พฤศจิกายน 2007 | ไม่มี | 8 มกราคม 2013 | 8 | 9.0c | ||
Windows Server 2008 | NT 6.0.6002 | 27 กุมภาพันธ์ 2008 | Longhorn Server | 13 มกราคม 2015 | 14 มกราคม 2020 | 9 | 11 | |
Windows 7 | NT 6.1.7601 | 22 ตุลาคม 2009 | Blackcomb, Vienna | 11 | 92 | |||
Windows Server 2008 R2 | NT 6.1.7601 | 22 ตุลาคม 2009 | ไม่มี | |||||
Windows Home Server 2011 | NT 6.1.8400 | 6 เมษายน 2011 | Vail | 12 เมษายน 2016 | 9 | |||
Windows Server 2012 | NT 6.2.9200 | 4 กันยายน 2012 | ไม่มี | 9 มกราคม 2018 | 10 มกราคม 2023 | 10 | 11.1 | |
Windows 8 | NT 6.2.9200 | 26 ตุลาคม 2012 | ไม่มี | 12 มกราคม 2016 | ||||
Windows 8.1 | NT 6.3.9600 | 17 ตุลาคม 2013 | Blue | 9 มกราคม 2018 | 10 มกราคม 2023 | 11 | 11.2 | |
Windows Server 2012 R2 | NT 6.3.9600 | 18 ตุลาคม 2013 | Server Blue | |||||
Windows 10 | NT 10.0.19042 | 29 กรกฎาคม 2015 | แตกต่างกันไป | 14 ตุลาคม 2025[8][9] | 12 | |||
Windows Server 2016 | NT 10.0.14393 | 12 ตุลาคม 2016 | ไม่มี | 11 มกราคม 2022 | 11 มกราคม 2027 | |||
Windows Server 2019 | NT 10.0.17763 | 2 ตุลาคม 2018 | ไม่มี | 9 มกราคม 2024 | 9 มกราคม 2029 | |||
Windows Server 2022 | NT 10.0.20348 | 18 สิงหาคม 2021 | ไม่มี | 13 ตุลาคม 2026 | 14 ตุลาคม 2031 | |||
Windows 11 | NT 10.0.22000 | 5 ตุลาคม 2021 | Sun Valley | 10 ตุลาคม 2023 | 8 ตุลาคม 2024 | — |
เส้นทางสายวินโดวส์ แก้
ระยะเวลาวินโดวส์ แก้
วินโดวส์ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน แก้
- วินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2012 สำหรับเซิร์ฟเวอร์
- Windows Server 2012 Foundation (รุ่นพื้นฐาน มีเฉพาะแบบ OEMs เท่านั้น เหมาะสำหรับใช้งานในบ้านและองค์กรขนาดเล็ก)
- Windows Server 2012 Essentials (พัฒนาต่อยอดจาก Windows Home Server มีทุกอย่างใน Foundation เพิ่มฟีเจอร์ Hyper-V,ตัวประมวลผลสูงสุด 2 ตัว, รองรับผู้ใช้งานได้ 25 Users เหมาะสำหรับองค์กรขนาดเล็ก)
- Windows Server 2012 Standard (มีทุกอย่างใน Essentials เพิ่ม Active Directory Domain Server, ตัวประมวลผลสูงสุด 64 ตัว, หน่วยความจำสูงสุด 4 TB, จำนวนผู้ใช้งานไม่จำกัด เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง)
- Windows Server 2012 Datacenter (มีทุกอย่างใน Standard ไม่จำกัด Visualization Rights เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่)
- วินโดวส์ 8.1 (Codename Blue) เป็นรุ่นปรับปรุงต่อจาก Windows 8 ไม่นับว่าเป็น ServicePack ของ Windows 8
- วินโดวส์ 10 (Windows 10) หรือ วินโดวส์ เท็น (Windows Ten) (เลขรุ่น: NT 10.0.10240, NT 10.0.10586, (Insider Preview) NT 10.0.14279) และ วินโดวส์ 11 (Windows 11) หรือ วินโดวส์ อีเลฟเว่น (Windows Eleven) (เลขรุ่น: NT 10.0.22000, (Insider Preview) NT 10.0.22454)
- Windows 10/11 Home เป็นรุ่นมาตรฐาน สำหรับการใช้ภายในบ้าน
- Windows 10/11 Pro เทียบได้กับรุ่น Pro ของ Windows 8 คือเพิ่มฟีเจอร์มาจากรุ่นมาตรฐานอีกบางส่วน อาทิ BitLocker , Hyper-V , Remote Desktop ที่สามารถทำได้ทั้ง Client และ host
- Windows 10/11 Enterprise เทียบได้กับรุ่น Pro ของ Windows 10 แต่เพิ่มฟิวเจอร์มาอีก เช่น AppLocker และ Windows ToGo
- Windows 10 Enterprise LTSB (Long Term Servicing Branch) เหมือนกับ Windows 10 Enterprise ทุกประการ แต่จะต่างที่จะไม่มีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ผ่าน Windows Update
- Windows 10/11 Education เหมือนกับ Windows 10/11 Enterprise ทุกประการ แต่จะให้ใช้กับนักศึกษาและสถานศึกษา
- Windows 11 Insider Preview เป็นรุ่นที่ปล่อยให้กลุ่มบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ Windows Insider Program ร่วมกันทดสอบฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุงแก้ไขปัญหาใน Windows 11 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา Windows 11 รุ่นการพัฒนาต่อไป
- Windows 10 IoT Core/11 IoT Enterprise เป็น Windows สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Embedded System ต่อยอดจาก Windows Embedded มีจำหน่ายเฉพาะอุปกรณ์ (OEMs)
- Windows 10 S/11 Home S เป็น Windows สำหรับนักเรียนและนักศึกษา โดยที่ไม่สามารถรันไฟล์ .exe ได้ แต่จะให้ติดตั้งและใช้แอพที่รันบน Windows Store เท่านั้น โดยมีค่าไลเซนส์น้อยมาก โดยมีราคาเริ่มต้นพร้อมคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ 189 ดอลลาร์สหรัฐ และฟรี Minecraft: Education Edition. ในระยะเวลา 1 ปี
วินโดวส์รุ่นก่อน ๆ แก้
- ใช้ฐานจากดอส
- พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - 20 พฤศจิกายน - วินโดวส์ 1.0
- พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - 9 ธันวาคม - วินโดวส์ 2.0
- พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - 22 พฤษภาคม - วินโดวส์ 3.0
- พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - สิงหาคม - วินโดวส์ 3.1 (เลขรุ่น: 3.1.103)
- พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ตุลาคม - วินโดวส์ for Workgroups (เลขรุ่น: 3.1 3.1.102)
- พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - พฤศจิกายน - วินโดวส์ for Workgroups 3.11 (เลขรุ่น: 3.1 3.11.412)
- วินโดวส์ 9x
- พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - 24 สิงหาคม - วินโดวส์ 95 (เลขรุ่น: 4.00.950)
- พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - 25 มิถุนายน - วินโดวส์ 98 (เลขรุ่น: 4.1.1998)
- พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - 5 พฤษภาคม - วินโดวส์ 98 Second Edition (เลขรุ่น: 4.1.2222)
- พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - 14 กันยายน - วินโดวส์ Me (เลขรุ่น; 4.9.3000)
- ใช้เคอร์เนลเอ็นที
- พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - 27 กรกฎาคม - วินโดวส์เอ็นที 3.1 (เลขรุ่น: NT 3.10.528)
- พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - 21 กันยายน - วินโดวส์เอ็นที 3.5 (เลขรุ่น: NT 3.50.807)
- พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - 30 พฤษภาคม - วินโดวส์เอ็นที 3.51 (เลขรุ่น: NT 3.51.1057)
- พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - 29 กรกฎาคม - วินโดวส์เอ็นที 4.0 (เลขรุ่น: NT 4.0.1381) - รุ่นสุดท้ายที่ทำงานบนสถาปัตยกรรม RISC เช่น DEC Alpha, MIPS และ PowerPC รุ่นหลังจากนี้จะเน้นสถาปัตยกรรม x86 เพียงอย่างเดียว
- พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - 17 กุมภาพันธ์ - วินโดวส์ 2000 (เลขรุ่น: NT 5.0.2195)
วินโดวส์ที่ถูกยกเลิก แก้
- พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - วินโดวส์แนชวิลล์ (เลขรุ่น: 4.10.999) ออกรุ่นสำหรับทดสอบ แต่ไม่ได้วางจำหน่ายจริง ควรจะเป็นรุ่นถัดจากวินโดวส์ 95
- พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - วินโดวส์เนปจูน (เลขรุ่น: NT 5.5.5111) ออกรุ่นสำหรับทดสอบ แต่ไม่ได้วางจำหน่ายจริง ควรจะเป็นรุ่นถัดจากวินโดวส์ xp
อ้างอิง แก้
- ↑ "Listing of available Windows 7 language packs". Msdn.microsoft.com. สืบค้นเมื่อ April 5, 2014.
- ↑ "App packages and deployment (Windows Store apps) (Windows)". Msdn.microsoft.com. สืบค้นเมื่อ April 5, 2014.
- ↑ สัดส่วนผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ
- ↑ Windows 8: Due in Two Years?
- ↑ http://www.blognone.com/node/22798
- ↑ http://www.blognone.com/node/26068
- ↑ http://www.blognone.com/node/22836
- ↑ 8.0 8.1 "Window 10 Home and Pro Lifecycle". Microsoft. สืบค้นเมื่อ July 2, 2021.
- ↑ 9.0 9.1 "Window 10 Enterprise and Education Lifecycle". Microsoft. สืบค้นเมื่อ July 2, 2021.
- ↑ https://netmarketshare.com/operating-system-market-share.aspx?options=%7B%22filter%22%3A%7B%22%24and%22%3A%5B%7B%22deviceType%22%3A%7B%22%24in%22%3A%5B%22Desktop%2Flaptop%22%5D%7D%7D%5D%7D%2C%22dateLabel%22%3A%22Custom%22%2C%22attributes%22%3A%22share%22%2C%22group%22%3A%22platformVersion%22%2C%22sort%22%3A%7B%22share%22%3A-1%7D%2C%22id%22%3A%22platformsDesktopVersions%22%2C%22dateInterval%22%3A%22Monthly%22%2C%22dateStart%22%3A%222018-12%22%2C%22dateEnd%22%3A%222018-12%22%2C%22pageLength%22%3A25%2C%22segments%22%3A%22-1000%22%7De
- ↑ http://www.saranitus.com/2017/05/support-for-windows-10-rtm-ended.html
- ↑ https://support.microsoft.com/th-th/help/13853/windows-lifecycle-fact-sheet