สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ โดยแก้ พ.ศ. กลับเป็น ค.ศ. เพราะวันขึ้นปีใหม่ไม่ตรงกัน คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 (อังกฤษ: Elizabeth I; 7 กันยายน ค.ศ. 1533 — 24 มีนาคม ค.ศ. 1603) เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 จนเสด็จสวรรคตในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1603 พระนางทรงได้รับพระฉายานามว่า "ราชินีพรหมจารี" (เนื่องจากการไม่อภิเษกสมรสเลยตลอดพระชนม์ชีพ) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ทรงเป็นกษัตรีย์พระองค์ที่ 5 และนับเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ และทรงเป็นประมุขสูงสุดของคริสตจักรแห่งอังกฤษ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 | |
---|---|
พระบรมสาทิสลักษณ์ ในค.ศ. 1575 | |
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษและไอร์แลนด์ | |
ครองราชย์ | 17 พฤศจิกายน 1558 – 24 มีนาคม 1603 (44 ปี 158 วัน) |
ราชินยาภิเษก | 15 มกราคม 1559 |
ก่อนหน้า | พระนางแมรีที่ 1 และ พระเจ้าเฟลีเป |
ถัดไป | พระเจ้าเจมส์ที่ 1 |
พระราชสมภพ | 7 กันยายน ค.ศ. 1533 วังพลาเซ็นเทีย, กรีนิช, สหราชอาณาจักร |
สวรรคต | 24 มีนาคม ค.ศ. 1603 พระราชวังริชมอนด์, เซอร์รีย์, สหราชอาณาจักร | (69 ปี)
ฝังพระบรมศพ | มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ |
ราชวงศ์ | ทิวดอร์ |
พระราชบิดา | พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ |
พระราชมารดา | แอนน์ บุลิน |
ศาสนา | ศาสนาคริสต์ นิกายแองกลิคัน |
ลายพระอภิไธย |
พระชนม์ชีพช่วงต้น
แก้สมเด็จพระราชืนีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ทรงพระราชสมภพที่พระราชวังพลาเซ็นเทีย เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1533 เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์ บุลิน พระมเหสีพระองค์ที่ 2 ซึ่งถูกประหารชีวิตโดยการบั่นพระเศียรเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 พระชนมายุได้เพียงเกือบ 3 พรรษา จากนั้นพระองค์ก็ทรงถูกประกาศว่าเป็นพระราชธิดานอกกฎหมาย
ชีวิตในวัยเด็กของพระองค์ยากลำบากมากและล่อแหลมเต็มไปด้วยอันตราย ต้องทนทุกข์ระทมจากการที่พระมารดาถูกประหารชีวิตของและการไม่สนิทสนมกับพระราชบิดา แต่พระองค์ก็ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดียิ่งและได้รับการเลี้ยงดูท่ามกลางศรัทธาในนิกายโปรเตสแตนต์ พระนางมีพระอัจฉริยภาพในด้านภาษาเป็นอย่างมาก พระนางสามารถตรัสได้ 7 ภาษาทั้ง ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ละติน กรีก และอิตาเลียน ได้เป็นอย่างดี ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 แห่งอังกฤษ (พ.ศ. 2090 - 2096) แม้ว่าอลิซาเบทจะเล็กเกินกว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดแม่ แต่ชีวิตของเธอนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากอีกครั้งเมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดได้ประกาศเพิกถอนการสมรสกับพระราชินีแอน บุลิน ซึ่งทำให้อลิซาเบทกลายเป็นลูกนอกสมรสไปในชั่วพริบตาด้วยอายุเพียงสามขวบ อลิซาเบธถึงกับเอ่ยปากถามพระพี่เลี้ยงว่า "เป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานนี้เจ้ายังขานนามข้าว่าเจ้าหญิง แต่วันนี้ข้าเป็นเพียงเลดี้ อลิซาเบท" เมื่อเฮนรี่สมรสใหม่กับพระนางเจน ซีมัวร์ นั้นทำให้พระองค์ก็มิได้ใส่ใจกับอลิซาเบทอีกต่อไป ถึงขนาดที่พระพี่เลี้ยงต้องส่งหนังสือถึงเฮนรี่เพื่อขอให้จัดหาเสื้อผ้าใหม่ให้แก่อลิซาเบท เพราะเหตุว่าพระองค์เจริญพระชนมายุเกินกว่าที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเก่านั้นได้ต่อไปอีกแล้ว
เมื่อพระนางเจน ซีมัวร์ สิ้นพระชนม์หลังจากที่ได้ให้กำเนิดแก่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พี่น้องต่างมารดาทั้งสามก็ถูกนำมาเลี้ยงดูร่วมกัน แต่เพราะแมรี่นั้นอายุห่างจากน้องทั้งสองมาก อีกทั้งยังต่างศาสนา อลิซาเบทจึงใกล้ชิดกับเอ็ดเวิร์ดมากกว่า ทั้งสองทรงได้รับการศึกษาอย่างดีเลิศเช่นการทรงพระอักษรภาษาลาติน, กรีก, สเปน และฝรั่งเศส รวมทั้งประวัติศาสตร์, ปรัชญา และคณิตศาสตร์
ชีวิตยามเยาว์วัยของอลิซาเบธได้สัมผัสกับความสุขอยู่บ้าง เมื่อเฮนรี่สมรสกับแคทเธอรีน ฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นพระญาติกับพระราชินีแอน บุลิน แคทเธอรีนดูแลให้ความรักแก่เจ้าหญิงองค์น้อยนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยกย่องพระองค์ให้สมกับตำแหน่งเจ้าหญิง แต่ความสุขความอบอุ่นก็มาเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ และจบลงเมื่อแคทเธอรีนต้องโทษประหารชีวิตอีกคน อลิซาเบธตกอยู่ในสภาพที่สับสนทางจิตใจมาก เมื่อเห็นผู้หญิงที่เธอรักสองคนต้องตายตกตามกันไปเพราะผู้ชายคนเดียวกัน ถึงขนาดที่เธอเอ่ยปากกล่าวกับโรเบิร์ต ดัดเลย์ เพื่อนเล่นเมื่อครั้งยังพระเยาว์จนเติบโตมาเป็นเพื่อนใจในยามหนุ่มสาวว่า ในชีวิตนี้พระองค์จะไม่อภิเษกกับใครทั้งสิ้น
แม้ว่าราชินีองค์ที่หกแห่งพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด - ราชินีแคทเธอรีน พารร์ จะพยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นเสมือนครอบครัวที่อบอุ่นเพียงใด แต่ในความสงบนั้น อลิซาเบธไม่ได้มีความสุขสักเท่าใด ในขณะที่แคทเธอรีนพยายามจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกให้ดีขึ้น อลิซาเบธก็พยายามตัดรอนตอบโต้พระบิดาถึงขนาดว่าพระองค์ถูกสั่งให้ออกไปพ้นเขตวัง แคทเธอรีน ต้องเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเป็นกาวใจให้สองพ่อลูกและขออนุญาตให้อลิซาเบธได้กลับเข้ามาอยู่ในวังตามเดิม ความสัมพันธ์ของเฮนรี่และอลิซาเบธเป็นดังราวคนแปลกหน้าสองคนมากกว่าที่จะเป็นพ่อลูกจวบจนพระเจ้าเฮนรี่ที่แปดได้สิ้นพระชนม์ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1547 ในขณะที่อลิซาเบธมีพระชนมายุสิบสามชันษา และเอ็ดเวิร์ดได้กลายเป็นยุวกษัตริย์แห่งอังกฤษเมื่ออายุได้เก้าปี พระราชโอรสในพระเจ้าเฮนรีและสมเด็จพระราชินีเจน ซีมอร์ พระมเหสีองค์ที่ 3 ต่อมาเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคต เนื่องด้วยการเมืองและศาสนาในรัชสมัยของพระองค์และการผลักดันของผู้สำเร็จราชการ(จอห์น ดัดลีย์)ทำให้พระองค์ยกราชบัลลังก์ตกแก่เลดีเจน เกรย์(หลายเอกสารไม่นับเลดีเจน เกรย์เป็นราชินีนาถแห่งอังกฤษผู้เป็นโปรเตสแตนท์ เนื่องจากการขึ้นครองราชย์ที่ไม่ได้มาจากการสืบสันติวงศ์และระยะเวลาครองบัลลังก์เพียง 9 วัน) ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดพระเชษฐภคินีต่างพระมารดาสองพระองค์ออกจากสิทธิในการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ แต่ในที่สุดเจ้าหญิงแมรีก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 (ทรงมีฉายาว่า Bloody Mary ราชินีแมรี่ ผู้กระหายเลือด) ผู้ทรงเป็นโรมันคาทอลิก ในรัชสมัยของราชินีนาถแมรีเจ้าหญิงเอลิซาเบธ(พระยศในขณะนั้น)ทรงถูกจำขังอยู่ปีหนึ่งในข้อสงสัยว่าทรงมีส่วนร่วมในการสนับสนุนฝ่ายก่อการโปรเตสแตนต์ในอังกฤษ
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 16 พรรษา ลอร์ดทอมัส ซีมัวร์ ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพเรือได้วางแผนพยายามขออภิเษกสมรสด้วยเพื่อใช้พระองค์เป็นเครื่องมือหาทางล้มล้างรัฐบาล แต่ทรงหลบเลี่ยงได้อย่างนุ่มนวลและลอร์ดซีมัวร์ก็ได้ถูกประหารชีวิตในความผิดฐานกบฏ ในระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งอังกฤษ (พ.ศ. 2096 - 2101) การแสดงตนเป็นโปรแตสแตนท์ของพระองค์ทำให้สมเด็จพระราชินีแมรี พระเชษฐภคินีซึ่งเป็นโรมันคาทอลิกรู้สึกหวั่นไหว พระนางอลิซาเบธจึงทรงถูกจองจำไว้ที่หอคอยแห่งลอนดอน หลังจากเสด็จสวรรคตของพระเชษฐภคินีสมเด็จพระราชินีนาถแมรี ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1558 เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ทิวดอร์ ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะปกครองโดยมีที่ปรึกษาราชการผู้มีคุณธรรม[1] พระองค์ทรงไว้วางพระทัยในกลุ่มที่ปรึกษาที่ทรงไว้วางใจที่นำโดยวิลเลียม เซซิล บารอนแห่งเบอร์ลีย์ที่ 1 สิ่งแรกที่ทรงกระทำในฐานะพระราชินีนาถคือการสนับสนุนการก่อตั้งสถาบันโปรเตสแตนต์ในอังกฤษครั้งที่สอง ซึ่งมีพระองค์เองเป็น “ประมุขสูงสุด” (Supreme Governor) นโยบายทางศาสนาของพระองค์เป็นนโยบายที่ดำเนินตลอดมาในช่วงรัชสมัยการปกครอง และต่อมาวิวัฒนาการมาเป็น “นิกายแองกลิกัน” หรือ “คริสตจักรแห่งอังกฤษ”
พิธีราชาภิเษก
แก้เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันเสาร์ที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1559 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 เสด็จออกจากหอคอยลอนดอนเพื่อผ่านกรุงลอนดอนไปยังพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ซึ่งตลอดเส้นทางขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคตกแต่งอย่างหรูหราและสมพระเกียรติที่สุด พระนางได้พบปะกับพสกนิกรชาวอังกฤษ จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ พิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเกิดขึ้นในวันถัดไปคือวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ค.ศ.1559 ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ดั้งเดิมสำหรับพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์อังกฤษตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าวิลเลียมที่ 1ในปี ค.ศ.1066
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 เสด็จออกจากหอคอยลอนดอน พระนางสวมฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมสีทองและเงินซึ่งเคยเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ แต่เสื้อท่อนบนถูกทำขึ้นใหม่ พระนางเอลิซาเบธเสด็จพระราชดำเนินไปยังมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ พร้อมด้วย เสนาบดี คหบดี ขุนนางและชนชั้นสูงอื่นๆ ของราชสำนักแห่งอังกฤษ รวมทั้งสตรีผู้ดี พระนางเสด็จพระราชดำเนินไปยังมุขฝั่งตะวันตกของมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ หน้าพระแท่น ทรงถูกเจิมด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธ์จากกรุงเยรูซาเล็ม ทรงเข้าพิธีสาบานตนในฐานะกษัตริย์แห่งอังกฤษ จากนั้นพระนางเสด็จขึ้นไปประทับบนบัลลังก์นักบุญเอ็ดเวิร์ด และบิชอปแห่งคาร์ไลส์จึงได้ทำการสวมพระมหามงกุฏบนพระเศียร โดยปกติอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีจะประกอบพิธีนี้ แต่สันตะสำนักยังว่างอยู่ในขณะนั้น และอาร์คบิชอปแห่งยอร์กปฏิเสธที่จะประกอบพิธีนี้ พิธีบางส่วนเป็นภาษาละตินดั้งเดิมและบางส่วนเป็นภาษาอังกฤษ ถือเป็นพิธีบรมราชาภิเษกครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์อังกฤษ ที่ใช้ภาษาละติน
เหตุการณ์ตลอดรัชสมัย
แก้การขึ้นเสวยราชย์ของพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2101 อันเนื่องมาจากการสวรรคตของพระราชินีแมรีที่ 1 ได้รับการแซ่ซ้องและยอมรับเป็นอย่างมากจากผู้คนที่หวังจะได้มีเสรีภาพทางศาสนามากขึ้นหลังจากที่ได้ถูกกดขี่มาโดยตลอดในรัชกาลก่อน ๆ ภายใต้การนำอย่างแข็งขันของวิลเลียม เซซิล บารอนแห่งเบอร์ลีย์ที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กฎหมายสนับสนุนคาทอลิกของพระนางแมรีที่ 1 ได้ถูกยกเลิกและนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ก็ได้รับการสถาปนาขึ้น (ระหว่าง พ.ศ. 2102-2106) นอกจากนี้เซซิลยังได้ให้การสนับสนุนการปฏิรูปสกอตแลนด์ ซึ่งทำให้พระราชินีแมรีแห่งสกอตแลนด์กลับคืนบัลลังก์ได้อีกในปี พ.ศ. 2104 ยังผลให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นกับพวกลัทธิคาลวิน โดย"จอห์น นอกซ์" หนึ่งในผู้ก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งได้จับพระนางจองจำและบังคับให้สละราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2110 ทำให้พระองค์ต้องหลบหนีไปประทับในอังกฤษแต่ก็ถูกจับกักบริเวณอีก ซึ่งต่อมาเหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดสนใจและเป็นศูนย์รวมชาวคาทอลิกที่รวมตัวกันต่อต้านนิกายโปรแตสแตนท์ ในปี พ.ศ. 2113 ได้มีการประกาศให้พวกคาทอลิกเลิกนับถือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธเป็นราชินี ซึ่งรัฐบาลเริ่มแก้เผ็ดชาวคาทอลิกอังกฤษด้วยการจำกัดสิทธิบางอย่างและค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นถึงขั้นปราบปรามในช่วงปี พ.ศ. 2123-พ.ศ. 2133
แผนการล้มล้างสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ถูกเปิดเผยบ่อยครั้งขึ้น และอีกครั้งหนึ่งโดยการสนับสนุนอย่างลับ ๆ ของพระนางแมรีใน พ.ศ. 2129 ที่เป็นผลให้พระนางทรงถูกประหารชีวิตในปีต่อมา นโยบายต่อต้านและเข้มงวดต่อผู้ถือนิกายโรมันคาทอลิกเพิ่มความรุนแรงขึ้น มีผลให้อังกฤษสนับสนุนฝ่ายกบฏชาวฮอลันดาที่ต่อต้านสเปน มีการ “แต่งตั้งโจรสลัด” อย่างเป็นงานเป็นการ ดังเช่น "จอห์น ฮอว์ลีน" และ "ฟรานซิส เดรก" เพื่อคอยดักปล้นทรัพย์สินของพวกสเปนในโลกใหม่ ปรากฏการณ์เหล่านี้ยั่วยุให้สเปนก่อสงครามรุกรานอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2101 กองเรืออาร์มาดาอันยิ่งใหญ่ของสเปนได้บุกเข้ามาปิดช่องแคบอังกฤษ แต่ก็ถูกทำลายจากทั้งพายุที่มีชื่อว่า ลมโปรแตสแตนท์และการตีโต้กลับจากฝ่ายอังกฤษจนสูญเสียเรือเป็นจำนวนมากพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำจนต้องถอยกลับสเปน
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 พระองค์ได้เพิ่มพันธมิตรและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่นิกายโปรเตสแตนต์มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็แบ่งแยกศัตรูฝ่ายคาทอลิกรุนแรงมากขึ้นด้วย พระนางแสร้งยอมให้เชื้อพระวงศ์ต่างประเทศหลายรายเจรจาขออภิเษกสมรสกับพระองค์ แต่พระองค์ก็มิได้จริงจังและมิได้ทรงกำหนดให้มีการสืบรัชทายาทไว้แต่อย่างใด และด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระราชินีแมรีแห่งสกอตแลนด์ ทำให้พระนางได้ทรงทราบด้วยความพอพระทัยว่าองค์รัชทายาท คือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 เป็นโปรแตสแตนท์ พระองค์ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับขุนนางสำคัญคือ "โรเบิร์ต ดัดเลย์" เอิร์ลแห่งลีเซสเตอร์ และต่อมากับ"โรเบิร์ต เดอเวโรซ์ เอิร์ล"แห่งเอสเซกซ์ จนกระทั่งเดอเวโรซ์ถูกประหารชีวิตด้วยข้อหากบฏในปี พ.ศ. 2144 ในด้านการปกครองพระราชินีนาถเอลิซาเบธทรงดำเนินนโยบายที่เป็นสายกลางมากกว่าพระราชบิดา พระอนุชา และ พระเชษฐภคินี[2] คำขวัญที่ทรงถืออยู่คำหนึ่งคือ “video et taceo” (ไทย: ข้าพเจ้ารู้แต่ข้าพเจ้าไม่พูด) [3] นโยบายดังกล่าวสร้างความอึดอัดใจให้แก่บรรดาราชองคมนตรี แต่ก็เป็นนโยบายที่ทำให้ทรงรอดจากการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและทางการมีคู่ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรมาหลายครั้ง แม้ว่าจะทรงดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างระมัดระวัง และทรงสนับสนุนการสงครามในเนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และ ไอร์แลนด์อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ชัยชนะที่ทรงมีต่อกองเรืออาร์มาดาของสเปนในปี พ.ศ. 2131 ก็ทำให้ทรงมีชื่อว่าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับชัยชนะอันสำคัญที่ถือกันว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร ภายใน 20 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคต พระองค์ก็ทรงได้ชื่อว่าเป็นพระมหากษัตรีย์ยุคทองของอังกฤษ
ยุคสมัยของพระราชินีอลิซาเบธ ได้รับการเรียกว่า “สมัยอลิซาเบธ” หรือยุคทอง เนื่องจากเป็นยุคที่อังกฤษขยายแสนยานุภาพไปทั่วโลก ในยุคสมัยนี้ ได้มีชาวอังกฤษผู้โด่งดังในสาขาวิชาต่าง ๆ มากมาย เช่น กวีชื่อก้องโลก วิลเลียม เชกสเปียร์ "คริสโตเฟอร์ มาโลว์" และ "จอห์น เบ็นสัน" ก็ได้มีเริ่มมีชื่อเสียงในยุคนี้ ฟรานซิส เดรก ได้เป็นชาวอังกฤษคนแรกที่เป็นนักเดินเรือสำรวจรอบโลก "ฟรานซิส เบคอน" ได้เสนอความคิดทางปรัญชาและทางการเมือง "เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์" และ "เซอร์ ฮัมเฟรย์ กิลเบิร์ต" ได้สร้างอาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ
การแผ่อำนาจในระดับนานาชาติ
แก้นโยบายด้านการงบประมาณของพระองค์สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างแก่ประชาชน มีการขึ้นอัตราภาษีเพื่อระดมเงินให้เพียงพอกับการทำสงครามในต่างประเทศ การเกิดความอดอยากข้าวยากหมากแพงในช่วงประมาณ พ.ศ. 2135-40 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจตกต่ำและเกิดความไม่สงบในสังคม รัฐบาลจึงพยายามแก้ด้วยการออก “กฎหมายคนจน” (Poor Law) เมื่อ พ.ศ. 2140 โดยเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากท้องถิ่นไปอุดหนุนคนยากไร้ การอวดอำนาจทางทะเลของอังกฤษก่อให้เกิดการเดินทางท่องทะเลเพื่อค้นหาอาณานิคมใหม่ เซอร์ฟรานซิส เดรกเดินทางโดยเรือรอบโลกสำเร็จเป็นครั้งแรก เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์เดินทางสำรวจพบชายฝั่งอเมริกาเหนือและเดินทางไปมาอีกหลายครั้งระหว่าง พ.ศ. 2125-32 แต่อาณานิคมที่แท้จริงเพียงแห่งเดียวของอังกฤษในสมัยของพระองค์คือ “ไอร์แลนด์” ซึ่งเป็นที่ซึ่งชาวอังกฤษเข้าไปหาผลประโยชน์ด้วยการเอารัดเอาเปรียบคนพื้นถิ่นชาวไอร์แลนด์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นเหตุให้การก่อกบฏที่รุนแรงภายใต้การนำของฮิวจ์ โอนีล เอิร์ลแห่งไทโรน เมื่อ พ.ศ. 2140
ราชินีอลิซาเบธมีพระอารมณ์ร้อน และบางครั้งทรงเป็นผู้นำที่ไม่เด็ดขาด บ่อยครั้งที่เหล่าที่ปรึกษาส่วนพระองค์ต้องช่วยพระองค์จากศัตรูทางการเมืองและเหล่าข้าศึก อย่างไรก็ดี พระองค์ทรงมีความสุนทรีย์ทางบทกวีเป็นอย่างมาก ดังเช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 8 พระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงเขียนวรรณกรรมไว้หลายเรื่อง และพระองค์ยังทรงตั้ง Royal Charters คือ หน่วยงานหลวงมาดูแลกิจการของอังกฤษหลายแห่ง วิทยาลัยทรินิตี้ ณ กรุงดับบลิน (Trinity College, Dublin) ในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) และบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600)
เวอร์จิเนีย หนึ่งในอาณานิคมอเมริกาเหนือของอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันคือรัฐหนึ่งของสหรัฐ ถูกตั้งชื่อขึ้นตามสมญานามของราชินีอลิซาเบธที่ 1 ราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์
สวรรคต
แก้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 เสด็จสวรรคต ณ พระราชวังริชมอนด์ ราชอาณาจักรอังกฤษ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1603 ด้วยพระชนมายุ 69 พรรษา ทรงครองราชสมบัติ 44 ปีเศษ จากการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ราชวงศ์ทิวดอร์ก็สิ้นสุดลงไปด้วย การสืบต่อราชบัลลังก์โดย พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งราชวงศ์สจวตเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ภายหลังการสวรรคตของพระนาง ขุนนางได้ถอดพระธำมรงค์ออกจากนิ้วของพระนาง แล้วควบม้าขึ้นไปทางทิศเหนือของอังกฤษราว 60 ชั่วโมง ไปยังเอดินบะระในสกอตแลนด์เพื่อไปอัญเชิญกษัตริย์เจมส์แห่งสกอตแลนด์ มาเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษและไอร์แลนด์ การครองราชย์ที่ยาวนานของพระองค์ตรงกับช่วงที่อังกฤษเริ่มมีแสนยานุภาพทางทะเลของโลกและช่วงที่เรียกว่าเป็น "ยุคฟื้นฟูศิลปะของอังกฤษ" (English Renaissance) การเป็นตำนาน "พระราชินีพรหมจรรย์" ของพระองค์ที่พระองค์เองก็มีส่วนสนับสนุนให้เรียกพร้อมกับกวีและนักแต่งบทละครในราชสำนักเพื่อให้คนทั่วไปที่รู้จักไปในทางนั้น กลายเป็นสิ่งบดบังบทบาทของพระองค์ในฐานะเป็นผู้สร้างสำนึกแห่งความเป็นชาติของอังกฤษไปสิ้น และสาเหตุการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 เนื่องจากอาจจะการที่ใช้สารตะกั่วทาพระพักตร์จึงทำให้เกิดความเสียหายผิวหนังและระบบร่างกายและส่งผลกระทบอวัยวะต่างๆ ปัจจุบันพระบรมศพของพระนางถูกฝังอยู่ภายในวัดน้อยแม่พระ อันเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์
พระราชอิสริยยศ
แก้- 7 กันยายน ค.ศ.1533 - 19 พฤษภาคม ค.ศ.1536 เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her royal highness, Princess Elizabeth)
- 19 พฤษภาคม ค.ศ.1536 - กรกฎาคม ค.ศ.1543 เลดี้ เอลิซาเบธ ทิวดอร์ (Lady Elizabeth Tudor)
- กรกฎาคม ค.ศ.1543 - 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1558 เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Her royal highness, Princess Elizabeth)
- 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1558 - 24 มีนาคม ค.ศ.1603 สมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ และไอร์เเลนด์ (Her Majesty, Queen of England and Ireland)
- 8 พฤษภาคม ค.ศ.1559 - 24 มีนาคม ค.ศ.1603 ประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ (The Supreme Governor of the Church of England)
ภาพยนตร์
แก้ดูบทความหลัก อลิซาเบธ ราชินีบัลลังก์เลือด
สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมประเภทภาพยนตร์ หลายต่อหลายเรื่อง ที่โด่งดังที่สุด คือ ในเรื่อง Elizabeth ในชื่อภาษาไทยว่า "อลิซาเบธ ราชินีบัลลังก์เลือด" ในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) (มีภาคต่อคือ Elizabeth : The Golden Age ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) เป็นชีวประวัติของพระองค์ตั้งแต่ก่อนขึ้นเสวยราชย์จนถึงจุดพลิกผันในชีวิต นำแสดงโดย เคต แบลนเชตต์ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการกล่าวขานอย่างมาก และได้ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้นถึง 7 รางวัล รวมทั้งรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดารานำหญิงยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และอีกเรื่อง คือ Shakespeare in Love ซึ่งฉายในปีเดียวกันนี้ เป็นเรื่องราวในรัชสมัยของพระองค์ โดยกล่าวถึงเรื่องราวความรักของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ และความรุ่งเรืองของศิลปะละครเวทีภายใต้การอุปถัมภ์ของพระองค์ ซึ่งนักแสดงที่รับบทสมเด็จพระนาง เจ้าอลิซาเบธที่ 1 คือ จูดี้ เดนช์ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ดาราประกอบหญิงในปีนั้นด้วย ทั้ง ๆ ที่ บทของพระองค์ปรากฏตัวในเรื่องเพียง 2 ครั้งเท่านั้นเอง อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย เท่ากับว่าในปี พ.ศ. 2541 (ประกาศผลในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)) นั้น มีดาราหญิงที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในบทของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 พร้อมกันถึง 2 คน
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- vcharkarn.com เก็บถาวร 2009-11-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
แมรีที่ 1 | พระมหากษัตริย์อังกฤษและไอร์แลนด์ (ราชวงศ์ทิวดอร์) (17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1558 — 24 มีนาคม ค.ศ. 1603) |
เจมส์ที่ 1 |