วัดสระแก้ว (จังหวัดอุบลราชธานี)
วัดสระแก้ว หรือ วัดใต้ เป็นวัดป่าอรัญวาสี สังกัดนิกายเถรวาท คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ก่อตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ. 2406 โดย ท่านพนฺธุโล (ดี) พระมหาเถระผู้สถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน ซึ่ง วัดสระแก้ว เป็นวัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายวัดที่ 5 ในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน วัดตั้งอยู่บริเวณ แก่งสะพือ ติดกับแม่น้ำมูลในเขตเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ 45 กิโลเมตร
วัดสระแก้ว , วัดสระแก้ว แก่งสะพือ , วัดสระแก้ว พิบูลมังสาหาร | |
---|---|
พระอุโบสถวัดสระแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี | |
ชื่อสามัญ | วัดสระแก้ว แก่งสะพือ, วัดสระแก้ว พิบูลมังสาหาร |
ที่ตั้ง | ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย 34110 |
ประเภท | วัดป่าฝ่ายอรัญวาสี |
นิกาย | เถรวาท ธรรมยุติกนิกาย |
ผู้ก่อตั้ง | ท่านพนฺธุโล (ดี) พระมหาเถระเมืองอุบลราชธานี |
เจ้าอาวาส | พระครูวิมลปทุมคุณ (อ.ประจักษ์) |
สถานีย่อยพระพุทธศาสนา |
ประวัติ
แก้วัดสระแก้ว เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอพิบูลมังสาหาร เดิมพื้นที่เป็นบริเวณ ปราสาทหินโบราณ อยู่ติดกับริมแม่น้ำมูลบริเวณ แก่งสะพือ ซึ่งมี สระน้ำโบราณ เชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งจะมีแสงคล้ายลูกแก้วลอยขึ้นจากสระน้ำโบราณพุ่งไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วลอยลงบริเวณ เนินภูเขาดิน หรือบางครั้งก็ลอยขึ้นจากเนินภูเขาดินมาลงที่สระน้ำโบราณ เมื่อมีการสร้างวัดขึ้นบริเวณทั้งสองแห่งนี้ จึงตั้งชื่อว่า วัดสระแก้ว และ วัดภูเขาแก้ว
ปี พ.ศ. 2402 พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ 3 เห็นว่า ในจำนวนบุตรทั้งหมดมีหลายคนซึ่งพอจะเป็น เจ้าเมือง อุปฮาด (อุปราช) ราชวงศ์ ราชบุตร ทำราชการให้แก่บ้านเมืองได้ จึงได้หมอบหมายให้ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี), ท้าวโพธิสาราช (เสือ), ท้าวสีฐาน (สาง) ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เป็นบุตรที่เกิดจากหม่อมหมาแพงภรรยาคนที่ 2 ของ พระพรหมราชวงศา (กุทอง) และ ท้าวขัติยะ (ผู) ซึ่งเป็นน้องต่างมารดาของท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) เมื่อปรึกษาเป็นที่ตกลงกันแล้ว จึงสั่งให้จัดเรือและคนชำนาญร่องน้ำเพื่อหาสถานที่สร้างเมืองใหม่ โดยล่องเรือไปทางทิศตะวันออกตามลำแม่น้ำมูล จนมาถึงบริเวณ แก่งสะพือ ได้สำรวจภูมิประเทศฝั่งขวาของแม่น้ำมูล ทางทิศตะวันตกของแก่งสะพือ เมื่อเห็นว่าภูมิสถานเหมาะแก่การตั้งบ้านเมืองได้ จึงทำการบุกเบิกป่าเพื่อสร้างเมืองพิบูลมังสาหารขึ้น
ปี พ.ศ. 2406 พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนที่ 3 และ ท่านพันธุโล (ดี) พระมหาเถระผู้สถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน ซึงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหารในขณะนั้น ได้พิจารณาหาที่ตั้งวัดและเห็นว่า ภูมิสถานด้านตะวันออกเมืองพิบูลมังสาหารสมควรตั้งวัด ด้วยมีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญอยู่ก่อนแล้ว จึงมอบหมายให้ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) และ ท้าวสีฐาน (สาง) เป็นกำลังสำคัญในการสร้างวัดขึ้น โดยมี ท่านพนฺธุโล (ดี) เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกและเป็นวัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายแห่งที่ 5 ของจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน ซึ่งในปีเดียวกันนี้ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เจ้าเมืองพิบูลมังสาหาร ได้สร้างศาลาโรงธรรม กุฎิ สิม(โบสถ์)น้ำกลางสระแก้วหรือสระน้ำโบราณเป็นที่สังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่ง สระแก้ว หรือ สระน้ำโบราณ อยู่ทางทิศเหนือของวัดในปัจจุบัน
ท่านพนฺธุโล (ดี) ถือเป็น ปุราณสหธรรมิก พระภิกษุรวมสำนักในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่พระองค์ทรงผนวชและได้ทรงตั้งคณะสงฆ์ "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นในประเทศไทย ต่อมาท่านพนฺธุโล (ดี) ได้นำขนบธรรมเนียมประพฤติปฏิบัติของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายมาเผยแผ่ที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ 3 ได้มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระสงฆ์ คณะธรรมยุต จึงได้สร้างวัดสุปัฏนารามวรวิหารให้เป็นสำนักของ ท่านพนฺธุโล (ดี) และคณะ จึงถือได้ว่า วัดสุปัฏนารามวรวิหาร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นวัดแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุตหรือธรรมยุติกนิกายในภาคอีสาน และเป็นการเริ่มต้นของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในภาคอีสานอีกด้วย หลังจากนั้นคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายจึงได้แพร่หลายในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสานสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
เหตุที่ ท่านพนฺธุโล (ดี) รับเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกด้วยตนเองนั้น เพราะ พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เจ้าเมืองพิบูลมังสาหาร เป็นศิษย์ที่ท่านโปรดปรานและให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก และในปัจฉิมวัยของ ท่านพนฺธุโล (ดี) ก็ได้มรณภาพ ณ วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้
พระพุทธรูปและโบราณวัตถุสำคัญ
แก้1. พระพุทธมุตตระมงคลมุจลินท์ แผ่นดินสุขสันต์ (พระเจ้าใหญ่สัมฤทธิ์) องค์ขนาด 80 นิ้ว สูง 6.80 เมตร น้ำหนัก 2,500 กิโลกรัม หล่อด้วยทองสัมฤทธ์ ได้ทำพิธีถวายที่วัดบูรพา อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู พ.ศ. 2552 และได้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดสระแก้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู พ.ศ. 2552 ซึ่งจัดสร้างโดย พระครูภาวนาจิตสุนทร เจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส พร้อมด้วยศรัทธาญาติโยมและศิษย์ของท่าน
2. ซากปราสาทหิน โดยสร้างขึ้นตามความเชื่อเพื่อใช้เป็นสถานที่ประดิษฐาน เทวรูป ด้วยความเชื่อตามคติพราหมณ์ที่ว่า เมื่อตายแล้วก็จะกลับเข้าสู่พรหม ปัจจุบันองค์ปราสาทได้ถูกทำลายลงไปด้วยกาลเวลา ซึ่งในราวปี พ.ศ. 2490 ยังคงเหลือแต่พื้นศิลา ปรากฏที่ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ของวัดสระแก้ว ซึ่งเชื่อว่ามีการสร้างคู่กันกับปราสาทหินอีกฟากของแก่งสะพือมีแม่น้ำมูลคั่นกลางที่ปรากฏในบริเวณโรงเรียนบ้านสะพือใต้ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และมีโบราณสถานรายล้อมรอบอาณาบริเวณ มีตั้งแต่บ่อน้ำ สระน้ำโบราณ ตามหลักสถาปัตยกรรมในการปลูกสร้างตามรูปแบบความเชื่อเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล อันมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของสถานดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
3. ใบเสมา เป็นหินทรายสีแดงที่บ่งบอกถึงความเจริญทางอารยธรรมของชนเผ่าที่แสดงถึงขอบเขตการขยายตัวทางความเชื่อและศาสนา ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของใบเสมาในเขตของภาคอีสานยังมีอีกมากมาย เช่น เสมาหินบ้านบุ่งผักก้าม ถูกค้นพบที่วัดพัทธสีมาราม บ้านบุ่งผักก้าม ตำบลวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นเสมาหินที่มีการกำหนดอายุโดยวิธีทางโบราณคดี โดยใช้วิธีเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์และศิลปะ โดยศึกษาจากศิลปะโบราณวัตถุ สถานที่ที่มีลักษณะรูปแบบลวดลายใกล้เคียงกันและเปรียบเทียบกับศิลปะโบราณวัตถุจากประเทศใกล้เคียง และคัมภีร์ที่ให้อิทธิพลการกำหนดรูปแบบสลักบนใบเสมา จึงกำหนดอายุได้ว่า สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 13 - 16 มีอายุไม่ต่ำกว่า 900 – 1,200 ปี เป็นแบบศิลปะทวาราวดี เสมาหินที่พบมีทั้งสภาพสมบูรณ์และชำรุดปักรวมกันอยู่ในบริเวณวัดพัทธสีมาราม ส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว บางใบเป็นหินทรายสีแดงมีขนาดใหญ่เล็กปะปนกันตรงกลางมีลวดลายรูปสถูปเจดีย์ประดับอยู่เกือบทุกใบ บางใบเป็นหม้อ "ปูรณฆฏะ" ประกอบลายพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
4. ฐานศิวลึงค์ อุโรจนะเป็นฐานที่ตั้งศิวลึงค์ที่รอบ ๆ ฐานมีภาพจำหลักที่มีลักษณะคล้าย เต้านมหญิงสาว ประติมากรรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อตามคตินิยมให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชาวโลกให้มีชีวิตที่บริบูรณ์ เป็นหินทรายสีแดงอมชมพู ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
5. แผ่นศิลาอักษรปัลลวะ เป็นศิลาประเภทหินทราย ขนาดกว้าง 45 เซนติเมตร สูง 63 เซนติเมตร หนา 16.5 เซนติเมตร เรียกกันว่า “ศิลาจารึกวัดสระแก้ว” ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จารึกมีจำนวน 1 ด้าน 3 บรรทัด แต่ชำรุดเกือบทั้งด้าน เหลืออ่านได้เพียง 2 บรรทัดเท่านั้น ซึ่งไม่ครบบรรทัดและที่อ่านได้ปรากฏชื่อของ มหิปติวรมัน เท่านั้น ชื่อนี้ ไม่ปรากฏในทำเนียบพระมหากษัตริย์ของเมืองพระนคร ดังนั้น จึงสันนิษฐานว่า มหิปติวรมัน นี้น่าจะเป็นผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งอาจจะได้รับอำนาจการปกครองมาจากเมืองพระนครให้ปกครองแว่นแคว้นแห่งนี้
6. ทับหลังวัดสระแก้ว โดยเดิมทีได้มีการขุดค้นพบทับหลัง จำนวน 2 แผ่น ซึ่งในแต่ละแผ่นนั้นมีลวดลาย เรื่องราวที่มีความแตกต่างกัน และอาจเป็นคนละสมัยก็เป็นได้ ซึ่งลักษณะของทับหลังนั้นจะอยู่ในตำแหน่งของส่วนบนของกรอบประตู แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ทับหลังจริงทำหน้าที่รับและถ่ายน้ำหนักของส่วนบนของอาคารให้น้ำหนักนั้นเฉลี่ยและถ่ายลงบนทั้งสองข้างของกรอบประตูซึ่งมีเสารองรับอยู่ ส่วนทับหลังประดับนั้นวางอยู่เป็นส่วนหนึ่งของทับหลังจริง ใช้ประดับซุ้มประตูโดยมีการสลักลวดลายต่างๆโดยไม่มีหน้าที่รับนำหนักอาคารปลายทั้งสองด้าน
- ทับหลังแผ่นที่ 1 ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จัดอยู่ในศิลปะเขมรแบบไพรกเมง มีลักษณะเป็นหินทรายสีแดงอมชมพู เป็นลายพฤกษาวกกลับเข้าด้านใน ที่วงโค้งนี้มีวงกลมรูปไข่คั่นอยู่ 3 วง ภายในวงกลมรูปไข่ไม่มีการสลักรูปใด ๆ ไว้ ใต้วงโค้งทำเป็นลักษณะลวดลายพวงมาลัยสลับกับลายพวงดอกไม้ ดังนั้น รูปแบบนี้คงอยู่ในศิลปะเขมรแบบไพรกเม็ง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 รูปร่างตอนกลางสลักลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแทนลายวงโค้ง มีลายอุบะดอกไม้ห้อยลงด้านล่าง และลายช่อดอกไม้ด้านบน ที่กรวยด้านข้างสลักลายดอกไม้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมมีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง
- ทับหลังแผ่นที่ 2 เป็นศิลปะเขมรแบบถาราบริวัตร ได้นำไปเก็บไว้ที่โบสถ์วัดสุปัฏนารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ของวงโค้งสลักเป็นลายพฤกษาวกกลับเข้าด้านใน ที่วงโค้งนี้มี วงกลมรูปไข่คั่นอยู่ 3 วง ภายในวงกลมรูปไข่ไม่มีการสลักรูปใด ๆ ไว้ ใต้วงโค้งทำเป็นลายพวงมาลัยสลับกับลายพวงดอกไม้ ลักษณะลวดลาย คลี่คลายมาจากลวดลาย แบบสมโบร์ไพรกุก
7. พระพือ เป็นแผ่นหินทรายที่จารเป็นลายเส้นลักษณะของ เทวรูป ในท่าประทับนั่ง หัตถ์ขวาทรง จักร และหัตถ์ซ้ายทรง ดอกบัว เป็นหินทรายสีแดงอมชมพู ค้นพบที่บริเวณร่องน้ำลึกกลางแก่งสะพือที่เรียกว่า แปวเดือนห้า ในลำแม่น้ำมูล ซึ่ง เทวรูป นี้เป็นความเชื่อในคติพราหมณ์ อันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ คนโบราณได้เคารพนับถือสืบกันมาจนปัจจุบัน และในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ทุกปี ได้มีการนำออกมาให้ประชาชนชาวอำเภอพิบูลมังสาหารเคารพสักการะและสรงน้ำ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว แล้วจึงนำไปเก็บรักษาไว้ในอุโบสถของวัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
8. สระแก้ว เป็นสระน้ำโบราณที่ขุดขึ้นคู่กับปราสาทหิน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดสระแก้ว ตามความเชื่อของขอมโบราณเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือสระน้ำที่ใช้เป็นที่ชำระร่างกายก่อนที่จะเข้าสู่พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำให้ร่างกายให้เกิดความบริสุทธิ์ มีความยาว 79 เมตร กว้าง 35 เมตร ลึก 3 เมตร มีแม่น้ำมูลเป็นลำน้ำสายสำคัญ ซึ่งผู้คนปลายน้ำจำเป็นต้องใช้ดื่มใช้กิน เมื่อน้ำไหลไปถึงไหนก็ทำให้เห็นว่า ผู้คนจะสัมพันธ์กับสายน้ำ มีวิถีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำมูล เพราะหลังประกอบพิธีกรรมลำน้ำทั้งสายจะกลายเป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นสายน้ำบริสุทธิ์ สายน้ำจะแสดงความมั่งคั่งของชนเผ่า ลำน้ำมูลสายนี้อาจมีความเชื่อว่าได้ไหลลงมาจากยอดเขา คล้ายกับแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย เป็นเรื่องราวความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งพิธีกรรมที่จะกระทำในสระน้ำจะต้องมีผู้แทนแต่งการนุ่งขาว ห่มขาว แล้วจุดธูป เทียน ดอกไม้ ไปบูชาทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วตักน้ำไปประกอบพิธีกรรม
อ้างอิง
แก้- รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์. พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม) วันป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โครงการหนังสือบูรพาจารย์อิสานใต้ เล่ม 2. กรุงเทพฯ : บริษัท พี.เอ.ลีพวิ่ง จำกัด, 2554. หน้า 212 - 224.
- คณะกรรมการ. พิบูลมังสาหาร 139 ปี. อุบลราชธานี : เพิ่มพูลการพิมพ์, 2545.
- คณะกรรมการ. อุบลราชธานี 200 ปี. กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์, 2535.
- เรวัต สิงห์เรือง. แก่งสะพือ แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำมูลตอนใต้, 2 กันยายน พ.ศ. 2553.
- เรวัต สิงห์เรือง และคณะ. รายงานโครงการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการแก่งสะพือแบบมีส่วนร่วม เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน. สกว. อุบลราชธานี, 2549.
- ภาพประกอบ : Benjawan Tararom. (2556). วัดสระแก้ว, 28 พฤกษาคม 2556. http://www.panoramio.com/photo/53348321 เก็บถาวร 2017-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ภาพประกอบ :สักการะ "พระพือ" เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวพิบูลมังสาหาร. http://guideubon.com/news/view.php?t=18&s_id=70&d_id=70 เก็บถาวร 2017-02-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน