ไรชส์ทาค (เยอรมัน: Reichstag) คือรัฐสภาของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และต่อมาของสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือและของเยอรมนี จนกระทั่งถึง ค.ศ. 1945 ในปัจจุบันรัฐสภาของเยอรมนีเรียกว่า "บุนเดิสทาค" (รัฐสภาแห่งสหพันธ์) แต่ตึกที่เป็นที่ประชุมรัฐสภายังคงเรียกว่า "ไรชส์ทาค"

ไรชส์ทาคในปี ค.ศ. 1889

คำว่า "Reichstag" เป็นคำประสมจากคำว่า "Reich" (ไรช์) ที่แปลว่า "แผ่นดินเยอรมัน" และ "Tag" (ทาค) ที่แปลว่า "ที่ประชุม" ในปัจจุบันสภาปกครองระดับต่าง ๆ ก็ยังใช้คำว่า "-tag" ต่อท้ายเช่น "Bundestag" ที่หมายถึงรัฐสภาของรัฐบาลกลาง หรือ "Landtag" ที่หมายถึงสภาระดับท้องถิ่น

ไรชส์ทาคในสมัยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แก้

ระหว่างสมัยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่จนถึง ค.ศ. 1806 ไรชส์ทาคไม่ใช่รัฐสภาเช่นที่ปฏิบัติกันในปัจจุบัน แต่เป็นการชุมนุมของราชรัฐของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ บทบาทและหน้าที่ของไรชส์ทาคก็เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิ ที่รัฐและดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิมีอำนาจมากขึ้นทุกขณะ ในระยะแรกการประชุมของไรชส์ทาคก็ไม่มีการกำหนดสถานที่หรือเวลากันอย่างเป็นที่แน่นอน ที่เริ่มด้วยการประชุมของดยุกของดินแดนของกลุ่มชนเจอร์แมนิกกลุ่มต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเป็นราชอาณาจักรแฟรงก์เมื่อมีการตัดสินใจอันสำคัญที่จะต้องการความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม และอาจจะมีพื้นฐานมาจากกฎบัตรเจอร์มานิคเดิมที่สมาชิกแต่ละคนต้องพึ่งการสนับสนุนของผู้นำของกลุ่ม เช่นไรชส์ทาคแห่งอาเคินในรัชสมัยของชาร์เลอมาญก็ได้วางกฎหมายสำหรับแซกซันและชนกลุ่มอื่น ๆ ไรชส์ทาคของปี ค.ศ. 919 ในฟริทซลาร์เลือกกษัตริย์องค์แรกของชาวเยอรมันผู้เป็นแซกซัน--เฮนรี เดอะ ฟาวเลอร์ ที่เป็นการแก้ความขัดแย้งระหว่างแฟรงค์และแซกซันที่มีมานาน และเป็นการวางรากฐานของการก่อตั้งจักรวรรดิเยอรมันต่อมา ในปี ค.ศ. 1158 การประชุมราชสภาแห่งรอนคาเกลีย (Diet of Roncaglia) อนุมัติกฎหมายสี่ฉบับที่ไม่ได้บันทึกเป็นตัวอักษรอย่างเป็นทางการ แต่มีผลในการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญของราชธรรมนูญของจักรวรรดิ และเป็นจุดเริ่มของการลดอำนาจของศูนย์กลาง ไปเป็นอำนาจที่อยู่ในมือของดยุกท้องถิ่น ในปี ค.ศ. 1356 พระราชบัญญัติทองที่ออกโดยจักรพรรดิคาร์ลที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์[1]ก็เป็นการวางรากฐานอย่างเป็นทางการของปรัชญา "การปครองโดยท้องถิ่น" (เยอรมัน: Landesherrschaft) โดยดยุกในดินแดนในปกครอง และจำกัดจำนวนเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกเป็นเจ็ดคนที่รวมทั้งดยุกแห่งแซ็กโซนี, มาร์เกรฟแห่งบรันเดินบวร์ค, พระมหากษัตริย์โบฮีเมีย, ผู้คัดเลือกแห่งพาลาทิเนต และอาร์ชบิชอปแห่งไมนทซ์ อาร์ชบิชอปแห่งเทรียร์ และอาร์ชบิชอปแห่งโคโลญ จากนั้นเป็นต้นมาสมเด็จพระสันตะปาปาก็ไม่มีส่วนในกระบวนการการเลือกตั้งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

ไรชส์ทาคมิได้ก่อตั้งขึ้นเป็นสถาบันอย่างเป็นทางการมาจนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก่อนหน้านั้นดยุกและเจ้าชายก็จะมาประชุมกันในราชสำนักของพระจักรพรรดิอย่างไม่เป็นทางการในบางโอกาสที่ไม่สม่ำเสมอ ที่มักจะเรียกว่า "Hoftage" (การประชุมในราชสำนัก) เมื่อมาถึงต้นปี ค.ศ. 1489 การประชุมเช่นที่ว่าจึงได้มาเรียกกันว่า "Reichstag" (การประชุมราชสภา) และแบ่งออกไปอย่างเป็นทางการออกเป็นสภา (collegia) ในระยะแรกราชสภาก็แบ่งเป็นสองสภา สภาแรกคือสภา "เจ้านครรัฐผู้คัดเลือก" และอีกสภาหนึ่งประกอบด้วยดยุกและเจ้าชายอื่น ๆ ต่อมาราชนครรัฐอิสระต่าง ๆ ที่ได้รับอิมพีเรียลอิมมีเดียซีก็สามารถรวมตัวกันเป็นสภาที่สาม

ในสมัยประวัติศาตร์ของไรชส์ทาคก็ได้มีการพยายามที่จะปฏิรูปหลายครั้งในการพยายามทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น เช่นในปี ค.ศ. 1495 แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก และตามความเป็นจริงแล้วก็ยิ่งทำให้ไรชส์ทาคอ่อนแอลงเร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1648 เมื่อสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลียบังคับให้พระมหาจักรพรรดิยอมรับการอนุมัติทุกอย่างจากไรชส์ทาค ซึ่งก็เท่ากับเป็นการลิดรอนอำนาจที่เหลือของจักรพรรดิ ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปี ค.ศ. 1806 จักรวรรดิก็เป็นเพียงกลุ่มรัฐที่ต่างก็มีอำนาจในการปกครองตนเอง

การประชุมราชสภาครั้งสำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นการประชุมราชสภาที่วอมส์ในปี ค.ศ. 1495 ที่เป็นการการปฏิรูปจักรวรรดิ (Imperial Reform), การประชุมในปี ค.ศ. 1521 ที่มาร์ติน ลูเทอร์ ถูกแบนตามพระราชกฤษฎีกาแห่งวอมส์), การประชุมในปี ค.ศ. 1529 ที่ชไปเออร์ และอีกหลายครั้งที่เนิร์นแบร์ก

จนเมื่อมีการเสนอการประชุมถาวรของไรชส์ทาค (เยอรมัน: Immerwährender Reichstag) ในปี ค.ศ. 1663 เท่านั้นที่ไรชส์ทาคเริ่มมีการประชุมอย่างเป็นทางการในที่ประชุมที่เป็นการถาวรที่เรเกนส์บูร์ก

ไรชส์ทาคของเยอรมนี แก้

 
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในรัฐสภาเมื่อกล่าวปราศัยโจมตีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941

หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1806 คำว่า "Reichstag" ก็นำมาใช้สำหรับรัฐสภาของปี ค.ศ. 1849 ที่มีการร่างธรรมนูญฟรังเฟิร์ตที่มิได้นำมาบังคับใช้ และต่อมาสำหรับรัฐสภาของสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือระหว่าง ค.ศ. 1867 ถึง ค.ศ. 1871 และ ในที่สุดก็รัฐสภาของจักรวรรดิเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1871 ในสองกรณีหลังสมาชิกของไรชส์ทาคเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากชายผู้ที่มีอายุเกิน 25 ปี ซึ่งทำให้เป็นไรชส์ทาคที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในยุโรปขณะนั้น

ในปี ค.ศ. 1919 ไรชส์ทาคของสาธารณรัฐไวมาร์มีนายกรัฐมนตรีผู้ได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชนเป็นประมุข แต่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 รัฐสภาก็ใช้อำนาจทางอ้อมที่มอบให้แก่ประธานาธิบดีแห่งเยอรมนีภายใต้มาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการมอบอำนาจฉุกเฉิน หลังจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้รับตำแหน่งเป็น "นายกรัฐมนตรี" (Reichskanzler) เมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 หลังจากนั้นรัฐสภาก็สิ้นอำนาจ รัฐสภาของอาณาจักรที่สามประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1942

อ้างอิง แก้

  1. Encyclopedia Britannica: Charles IV[1]

ดูเพิ่ม แก้