บันทึกประจำวันของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
บันทึกประจำวันของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (สเปน: Diario de a bordo del primer viaje de Cristóbal Colón) เป็นอนุทินและสมุดปูมที่เขียนโดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเกี่ยวกับการเดินทางครั้งแรกของเขา บันทึกนี้ครอบคลุมเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 เมื่อโคลัมบัสออกเดินทางจากปาลอส เด ลา ฟรอนเตรา จนถึงวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1493 และมีบทนำกล่าวถึงการได้รับอำนาจจากกษัตริย์[1] หลักฐานอ้างอิงร่วมสมัยหลายฉบับยืนยันว่าโคลัมบัสบันทึกการเดินทางของเขาไว้โดยการจดบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ รายวัน ซึ่งใช้เป็นหลักฐานสำหรับพระมหากษัตริย์คาทอลิกผู้อุปถัมภ์[2] เมื่อเขากลับมาสเปนในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1493 โคลัมบัสได้มอบบันทึกนี้แก่สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา[3] พระองค์โปรดให้คัดลอกบันทึก เก็บรักษาต้นฉบับ และมอบสำเนาให้กับโคลัมบัสก่อนการเดินทางครั้งที่สองของเขา[4] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1504 ไม่มีผู้ใดทราบว่าข้อความต้นฉบับภาษาสเปนอยู่ที่ไหน[4]
โดย บาร์โตโลเม เด ลาส กาซาส (อาลักษณ์) | |
ตัวหนังสือ | ภาษาสเปน |
---|---|
สร้าง | 3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 — 15 มีนาคม ค.ศ. 1493 |
ที่อยู่ปัจจุบัน | ไม่ทราบแน่ชัด ถือว่าสูญหาย |
มีการจัดทำสำเนาของบทคัดย่อจากบันทึกประจำวัน โดยฉบับที่มีชื่อเสียงเป็นของบาร์โตโลเม เด ลาส กาซาส (Bartolomé de las Casas)[2] นับตั้งแต่การค้นพบสำเนาของลาส กาซาส ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิชาการได้ตั้งคำถามถึงความถูกต้องและความเที่ยงตรงของสำเนาดังกล่าวเทียบกับต้นฉบับ[5] การแปลบันทึกประจำวันสำนวนอื่นจำนวนหนึ่งและบรรณานุกรมของโคลัมบัสได้มาจากสำเนาของลาส กาซาส งานต้นฉบับที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ The Diario of Christopher Columbus' First Voyage to America 1492–1493 ของมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา, The Voyage of Christopher Columbus: Columbus' Own Journal of Discovery ของจอห์น คัมมินส์ (John Cummins) และ The Log of Christopher Columbus ของโรเบิร์ต ฟูซัน (Robert Fuson)
ภูมิหลัง
แก้เรื่องราวต้นกำเนิดของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสและชีวิตวัยเยาว์ก่อนอาชีพการเดินเรือทะเลของเขายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด[3] โคลัมบัสรอดชีวิตจากเหตุการจมของเรือโปรตุเกส เขาทำงานให้กับพ่อค้า และเริ่มทำแผนที่กับบาร์โธโลมิวน้องชายของเขา ก่อนที่จะแต่งงานกับ ฟีลีปา มูนีซ ปีรีสเตรลู (Filipa Moniz Perestrelo) ในปี ค.ศ. 1478[3][6][7] โคลัมบัสมีความสนใจในการศึกษาภูมิศาสตร์ ปรัชญา เทววิทยา และประวัติศาสตร์[3] โคลัมบัสใช้ชีวิตแบบนักเดินทางพเนจรผ่านอาชีพการเดินสมุทรจนถึงปี 1480[3] ด้วยการคำนวณและการประมาณการที่ไม่ถูกต้อง โคลัมบัสเชื่อว่าเขาสามารถเดินทางจากตะวันตกไปตะวันออกได้สำเร็จ เพื่อเปิดเส้นทางการค้าใหม่ไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันออก[3] ในขั้นต้นโคลัมบัสได้เสนอเส้นทางการค้าที่เป็นไปได้แก่พระเจ้าฌูเวาที่ 2 แห่งโปรตุเกส[3] ซึ่งปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อสนับสนุนการสำรวจเส้นทางไปทางตะวันออกของเขา[3][7] หลังจากนั้น โคลัมบัสถูกปฏิเสธหลายครั้งจากการเสนอข้อเสนอของเขาต่อเวนิส เจนัว ฝรั่งเศส และพระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ ก่อนที่จะนำขึ้นเสนอต่อสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 และพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งสเปนในเดือนมกราคม ค.ศ. 1492[6][7] การนำเสนอการเดินทางแก่ราชวงศ์สเปนครั้งแรกของโคลัมบัสถูกปฏิเสธ[6] แต่หลังจากการตรวจสอบซ้ำโดยได้รับแรงผลักดันจากทัศนคติที่แน่วแน่และลักษณะเฉพาะตัวของโคลัมบัส พระราชินีนาถอิซาเบลและกษัตริย์เฟร์นันโดก็โปรดที่จะให้ทุนแก่การเดินทางครั้งแรกของเขา[6][7] โคลัมบัสและคณะอีก 90 คนเริ่มเดินทางจากปาลอสเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 ด้วยเรือสามลำ ได้แก่ ซานตามาเรีย, นีญา, และปินตา[6]
เนื้อหา
แก้ในบทนำ โคลัมบัสกล่าวถึงคำสั่งที่ให้เขาแล่นเรือไปอินเดียได้รับในเดือนมกราคม ค.ศ. 1492 หลังจากเหตุการณ์การขับไล่ชาวยิวออกจากสเปน[1] มีรายงานที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับวันที่เกิดเหตุการณ์การขับไล่ โดยโคลัมบัสอ้างถึงเดือนมกราคม ในขณะที่แหล่งข้อมูลอื่น ๆ รวมถึงพระราชกฤษฎีกาอาลัมบราอ้างถึงเดือนมีนาคม[1] หลังจากบทนำ บันทึกเริ่มต้นด้วยการที่โคลัมบัสออกจากสเปนไปยังหมู่เกาะคานารี "ครึ่งชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น" ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 เมื่อวันที่ 16 กันยายน โคลัมบัสรายงานว่าเขาได้เข้าสู่ทะเลซาร์กัสโซแล้ว บันทึกดังกล่าวกล่าวถึงสัตว์หลายชนิดที่พบในระหว่างการเดินทางไปทางทิศตะวันตก เช่น โลมา และนกโจรสลัด[1] โคลัมบัสยังอธิบายถึงความเบี่ยงเบนของสนามแม่เหล็กด้วย เนื่องจากกะลาสีเรือชาวยุโรปเคยเดินทางด้วยการแปรผันของสนามแม่เหล็กทางทิศตะวันออกเท่านั้น โคลัมบัสจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ค้นพบความเบี่ยงเบนของสนามแม่เหล็กทางทิศตะวันตกสำหรับชาวยุโรป[8] บันทึกยังกล่าวถึงอารมณ์ของลูกเรือระหว่างการเดินทางโดยย่ออีกด้วย โคลัมบัสเขียนว่าระยะทางที่ครอบคลุมที่ประกาศต่อลูกเรือเป็นประจำนั้นมักจะน้อยกว่าระยะทางจริง ก่อนเดินทางมาถึงโลกใหม่ บันทึกดังกล่าวรายงานว่าพบเห็นแสงที่ไม่ทราบที่มา[9] โคลัมบัสได้ชื่อว่าเป็นผู้มองเห็นแผ่นดินครั้งแรกของการเดินทางของเขาที่เกาะซานซัลวาดอร์เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม และบรรยายถึงผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ว่าไร้เดียงสาและเปลือยเปล่า แต่ยินดีต้อนรับนักสำรวจชาวยุโรป[10] แม้ว่าบันทึกนี้จะแสดงให้เห็นความรู้ภาษาสเปนที่ไม่สมบูรณ์ของโคลัมบัส แต่เขายังได้เปรียบเทียบภูมิทัศน์ของโลกใหม่กับภูมิทัศน์ของสเปน เช่น แม่น้ำที่มีลักษณะคล้ายฤดูใบไม้ผลิในแคว้นอันดาลูเซีย แม่น้ำเช่นเดียวกับแม่น้ำในเซบียา และเนินเขาเหมือนกับที่ด้านหลังเมืองกอร์โดบา[4]
ประวัติการตีพิมพ์
แก้สำเนาที่มีอยู่ทั้งหมดของบันทึกประจำวันนี้อิงตามบทคัดย่อของบันทึก ซึ่งเป็นต้นฉบับ 76 แฟ้มที่ค้นพบภายหลังในห้องสมุดของดยุกแห่งอินฟันตาโด (Duque del Infantado) โดย มาร์ติน เฟร์นันเดซ เด นาบาร์เรเต (Martín Fernández de Navarrete)[2] ต้นฉบับถูกเก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติสเปน (Biblioteca Nacional de España) จนถึงปี ค.ศ. 1925 เมื่อมีรายงานว่าสูญหาย[2] นาบาร์เรเตเล่าเรื่องการค้นพบบทคัดย่อของบันทึกประจำวันให้เพื่อนของเขา ฆวน บาติสตา มูโญซ (Juan Batista Muñoz) ซึ่งได้นำไปใช้ในหนังสือ Historia del Nuevo Mundo ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1793[2] ต่อมาในปี ค.ศ. 1825 นาบาร์เรเตตีพิมพ์บทคัดย่อโดยขยายคำย่อ สะกดตัวเลข แก้ไขเครื่องหมายวรรคตอน และการสะกดให้ทันสมัย[2] สำเนาของนาบาร์เรเตทุกฉบับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1825 แตกต่างจากสำเนาของลาส กาซาส อยู่บ้าง ในปี ค.ศ. 1892 สำเนาของนาบาร์เรเตได้รับการตีพิมพ์โดยนักวิชาการชาวอิตาลี เชซาเร เด เลลลิส (Cesare De Lollis) ซึ่งมีหลักฐานการตรวจชำระ ในปี 1962 การ์โลส ซันซ์ (Carlos Sanz) ได้ตีพิมพ์สำเนาโทรสารของฉบับลาส กาซาส โดยใช้สำเนาของนาบาร์เรเต
บาร์โตโลเม เด ลาส กาซาส ไม่มีบันทึกประจำวันต้นฉบับและสั่งให้ผู้คัดลอกทำสำเนาบทคัดย่อของบันทึกดังกล่าว[2] อาลักษณ์ทำข้อผิดพลาดหลายประการขณะคัดลอกบทคัดย่อ เช่น ความสับสนบ่อยครั้งในหน่วยระยะทางลีกโคลัมเบียกับไมล์โรมัน[2] ความถูกต้องของสำเนาของลาส กาซาส ถูกคัดค้านโดย อองรี วีโญ (Henri Vignaud) และโรมูโล เด. การ์บิอา (Rómulo D. Carbia) ซึ่งทั้งสองคนเชื่อว่าสำเนาดังกล่าวส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเป็นการประดิษฐ์ขึ้น[11] ในปี ค.ศ. 1939 สำเนาของลาส กาซาส ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของแท้โดยซามูเอล เอเลียต มอริสัน (Samuel Eliot Morison) และมุมมองนี้ได้รับการรับรองในการศึกษาต่อมา[11]
บันทึกของโคลัมบัสได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย และภาษาอื่น ๆ[2] ฉบับแปลภาษาอังกฤษฉบับแรกจัดทำโดยซามูเอล เคตเทลล์ (Samuel Kettell) และตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1827[12] ในปี ค.ศ. 1991 ฉบับแปลภาษาอังกฤษโดยอิงจากสำเนาโทรสารฉบับลาส กาซาส ของซันซ์ ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา[13] ต่อมาจอห์น คัมมินส์ ได้เขียนหนังสือ The Voyage of Christopher Columbus: Columbus' Own Journal of Discovery ในปี ค.ศ. 1992 โดยผสมผสานส่วนที่แปลแล้วของสำเนาบันทึกของลาส กาซาส เข้ากับข้อความที่ตัดตอนมาจากชีวประวัติของดิเอโก โคลัมบัส (Diego Columbus) เพื่อให้เป็นเรื่องราวซึ่งครอบคลุมเกี่ยวกับการเดินทางครั้งแรกของโคลัมบัสจากบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์[14]
การตอบรับและวิเคราะห์
แก้การตีความและคำอธิบายเชิงวิชาการหลายประการของโคลัมบัสและการกระทำของเขามีพื้นฐานมาจากการถอดความของลาส กาซาส แทนที่จะเป็นสำเนาต้นฉบับของบันทึกประจำวันของโคลัมบัสที่หายไป จอห์น อี. คิซกา (John E. Kizca) ศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน ให้เหตุผลว่าเนื่องจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ของบันทึกประจำวันของโคลัมบัสถูกคัดลอกโดยบาร์โตโลเม เด ลาส กาซาส การถอดความของลาส กาซาส จึงไม่สามารถพึ่งพาได้ คิซกา ยืนยันว่าการแปลของลาส กาซาส มีอคติเนื่องจากความคิดเห็นส่วนตัวของเขาเกี่ยวกับโคลัมบัสและขนาดของการกระทำของเขาในอเมริกา คิซกา อธิบายว่าลาส กาซาส ซ่อนแรงจูงใจที่แท้จริงของโคลัมบัสผ่านการถอดความ เพราะเขามองว่าโคลัมบัสเป็นตัวแทนในการชักจูงชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา และ "เป็นศูนย์รวมของนโยบายของสเปนที่มีต่อการขยายตัวในต่างประเทศ"[15] ในหนังสือ The Conquest of Paradise: Christopher Columbus and the Columbian Legacy เคิร์กแพทริก เซล (Kirkpatrick Sale) นำเสนอโคลัมบัสผ่านข้อความในบันทึกของเขาอันเป็นผลจากความวุ่นวายในสังคมยุโรปที่เสื่อมทราม[16] เซลสรุปว่าโคลัมบัสรู้สึกกดดันอย่างหนักจากสเปนในการต้องค้นหาบางสิ่งที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่มุมมองที่แบ่งขั้วและยึดถือวัตถุนิยมของเขาต่อชนพื้นเมืองอเมริกันและดินแดนของพวกเขา[16] ชาลส์ แอลเปริน (Charles Alperin) แห่งสหพันธ์ชาวยิวแห่งโอมาฮาและนักวิชาการชาวยิวอีกหลายคนชี้ไปที่บทนำของบันทึกของโคลัมบัสเพื่อเป็นหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งที่สืบช่วงจากชาวยิวของเขา[17] นักทฤษฎีสมคบคิดอ้างความล่าช้าอย่างไม่คาดคิดในการออกเดินทางของโคลัมบัสในบทนำ และการกล่าวถึงชาวยิวอย่างคลุมเครือว่าเป็นหลักฐานปฐมภูมิในบันทึกต้นฉบับของโคลัมบัส[17]
โฆเซ ราบาซา (José Rabasa) ศาสตราจารย์ด้านกลุ่มภาษาโรมานซ์และวรรณคดีที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บรรยายบันทึกของโคลัมบัสว่าเป็นเรื่องราวการเดินทางของเขาที่ถูกต้อง แม้ว่าโคลัมบัสจะไม่ได้ไปถึงหมู่เกาะอินเดียตะวันออกก็ตาม[18] ราบาซาพรรณนาลักษณะการบรรยายของโคลัมบัสเกี่ยวกับการค้นพบของเขาว่างดงามและน่ายกย่อง โดยอ้างอิงตัวอย่างจากการถอดความของลาส กาซาส เช่น "น้ำงดงาม" "หินที่มีจุดทองปกคลุม" และ "แม่น้ำที่ดี"[18] ราบาซาบ่งบอกว่าโคลัมบัสแต่งบันทึกประจำวันของเขาด้วยวิธีการสำรวจแบบผู้พิชิตเพื่อโน้มน้าวให้ราชินีอิซาเบลทราบถึงศักยภาพทางอุตสาหกรรมของดินแดนใหม่[18] เอลวิรา วิลเชส (Elvira Vilches) นักเขียนและศาสตราจารย์ด้านกลุ่มภาษาโรมานซ์ศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก กล่าวถึงความตั้งใจของโคลัมบัสในการเขียนบันทึกของเขาในแง่ศาสนาล้วน ๆ[19] วิลเชสถือว่าบันทึกประจำวันเป็นข้อพิสูจน์ของโคลัมบัสว่าเขาประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังทวีปอเมริกา และเป็นหลักฐานของโคลัมบัสที่ว่าเขาควรได้รับทรัพยากรมากขึ้นเพื่อเดินทางสู่โลกใหม่ให้มากขึ้น[19] วิลเชสยืนยันว่าการนำเสนอเนื้อหาในบันทึกที่แสดงความสำเร็จของโคลัมบัสและการได้ทาสติดกลับมาจากการเดินทางครั้งแรกของเขาทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน[19] วิลเชสติดตามการสังหารหมู่และการกำจัดชนพื้นเมืองอเมริกันของโคลัมบัส และคำมั่นสัญญาของเขาที่มีต่อราชวงศ์สเปนในการหาทองคำมากพอที่จะสนับสนุนสงครามครูเสดของชาวคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็ม[19] วิลเชสให้เหตุผลว่าศักยภาพของโลกใหม่ที่บันทึกไว้ในบันทึกนำไปสู่คำมั่นสัญญาเรื่องทองคำซึ่งส่งผลให้เกิดการสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์ชาวไทโน (Taíno)[19] โดนา เด แซงติส (Dona de Sanctis) บรรณาธิการบริหารนิตยสาร''อิตาเลียนอเมริกัน'' ปกป้องปฏิสัมพันธ์ระหว่างโคลัมบัสกับชาวไทโนผ่านบันทึกของเขา[20] เธอระบุว่าโคลัมบัสชมเชยรูปร่างหน้าตาและความเฉียบแหลมของชนพื้นเมืองอเมริกันเมื่อพบพวกเขาครั้งแรก เธออธิบายว่าลูกเรือของโคลัมบัสตอบโต้ด้วยความรุนแรงหลังจากที่คนของโคลัมบัสที่เขาทิ้งเอาไว้ถูกสังหารโดยชาวไทโน ซึ่งบันทึกของโคลัมบัสควรทำหน้าที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสำเร็จของโคลัมบัส[20] อย่างไรก็ตามในบันทึกโคลัมบัสไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าชาวไทโนเป็นผู้ก่อเหตุสังหารหมู่จริง ๆ จึงไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ต่อชาวไทโน
งานแปลของมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมาเรื่อง The Diario of Christopher Columbus 'First Voyage to America 1492–1493 ได้รับรางวัล "Spain and America in the Quincentennial of the Discovery" ซึ่งมอบให้โดยรัฐบาลสเปนในปี ค.ศ. 1991 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 500 ปีของเหตุการณ์ที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา[13] โรเบิร์ต ฟูซัน (Robert Fuson) ศาสตราจารย์วิชาภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ได้รับรางวัล "หนังสือแห่งปี" ("Book of the Year") จากจดหมายข่าว ไลบรารีเจอร์นัล (Library Journal) และ "Elliott Montroll Special Award" จากสมาคมส่งเสริมวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์ก (New York Academy of Sciences) จากผลงาน The Log of Christopher Columbus ของเขา[21]
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Various; Olson, Julius E.; Bourne, Edward Gaylord. The Northmen, Columbus and Cabot, 985-1503. Project Gutenberg.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 2.8 Morison, Samuel Eliot (1 สิงหาคม 1939). "Texts and Translations of the Journal of Columbus's First Voyage". Hispanic American Historical Review. 19 (3): 235–261. doi:10.1215/00182168-19.3.235. JSTOR 2507257.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 Susan Clair Imbarrato; Carol Berkin; Brett Barney; และคณะ (2013). Columbus, Christopher. Encyclopedia of American Literature (3rd ed.). New York NY, USA: Facts On File. ISBN 978-1-4381-4077-3.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 B.W. Ife. "Introduction to Christopher Columbus, Journal of the first voyage" (ภาษาอังกฤษ). King's College London. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2015.
- ↑ Margarita Zamora (1993). Reading Columbus. University of California Press. p. 42. ISBN 0-520-91394-9.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 Herbermann, Charles, บ.ก. (1913). สารานุกรมคาทอลิก. New York: Robert Appleton Company. .
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Coulter, Michael (2012). "Columbus, Christopher (1451–1506)". The Encyclopedia of Christian Civilization. Blackwell. doi:10.1002/9780470670606.wbecc0328. ISBN 978-1-4051-5762-9. S2CID 161396586.
- ↑ "Комментарии" (ภาษารัสเซีย). Vostlit.info. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2015.
- ↑ "Christopher Columbus, Journal (1492)". www.swarthmore.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มีนาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2019.
- ↑ "COLUMBUS, CHRISTOPHER (1451-1506) | Research and Discovery: Landmarks and Pioneers in American Science - Credo Reference". search.credoreference.com. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2019.
- ↑ 11.0 11.1 Margarita Zamora (1993). Reading Columbus. University of California Press. p. 42. ISBN 0-520-91394-9.
- ↑ Columbus, Christopher; Casas, Bartolomé de las; Kettell, Samuel; John Boyd Thacher Collection (Library of Congress) DLC; Jay I. Kislak Collection (Library of Congress) DLC (1827). Personal narrative of the first voyage of Columbus to America : from a manuscript recently discovered in Spain. The Library of Congress. Boston : Published by T.B. Wait and Son, and sold by Wait, Greene and Co., Boston, and C. Arvill, New-York, and Carey and Lea, Philadelphia.
- ↑ 13.0 13.1 Staff and Wire Reports, Tribune Staff (27 กุมภาพันธ์ 1991). "Spain honors OU book". BOOKS. Tulsa World (FINAL HOME ed.). NewsBank: Access World News. p. 5B.
- ↑ "Water Sources -- in Search of Columbus: The Sources for the First Voyage by David Henige / the Voyage of Christopher Columbus: Columbus' Own Journal of Discovery Translated by John Cummins / the Voyages of Columbus by Richard Humble / and Others". History Today. London. 42: 58. พฤษภาคม 1992. ProQuest 202807075.
- ↑ Kicza, John E. (Spring 2001). "Francesca Lardicci, ed., A Synoptic Edition of the Log of Columbus's First Voyage (Repertorium Columbianum, 6.) Turnhout: Brepols, 1999. xiv + 684 pp. Eu 88; Bfr 3550. ISBN: 2-503-50873-1. - Nigel Griffin, ed., Las Casas on Columbus: Background and the Second and Fourth Voyages (Repertorium Columbianum, 7.) Turnhout: Brepols, 1999. xii + 494 pp. Eu 74; Bfr 2985. ISBN: 2-503-50883-9". Renaissance Quarterly. 54 (1): 280–282. doi:10.2307/1262236. JSTOR 1262236. S2CID 162201544. ProQuest 222340483.
- ↑ 16.0 16.1 Carey, Richard T. (1992). "The Conquest of Paradise". News from Indian Country. Hayward, Wisconsin. Ethnic NewsWatch. p. 28. ProQuest 367678520.
- ↑ 17.0 17.1 "Was Christopher Columbus Jewish?". The Jewish Press (1977-1989). Omaha, Nebraska. Ethnic NewsWatch. 1979. p. 11. ProQuest 371491469.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Rabasa, José (2013). "Writing Violence". ใน Castro-Klaren, Sara (บ.ก.). A Companion to Latin American Literature and Culture. John Wiley & Sons. pp. 49–67. ISBN 978-1-118-66135-2.
- ↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 Vilches, Elvira (2004). "Columbus's Gift: Representations of Grace and Wealth and the Enterprise of the Indies". MLN. 119 (2): 201–225. doi:10.1353/mln.2004.0104. hdl:10161/10622. JSTOR 3251770. S2CID 161887999. ProQuest 223316074.
- ↑ 20.0 20.1 De Sanctis, Dona (2008). "IN DEFENSE OF COLUMBUS". Italian America. 13 (4): 14–15, 24. ProQuest 194614148.
- ↑ Paredes, Leslie (28 สิงหาคม 2005). "Robert Fuson, 77, longtime USF scholar". Tampa Bay Times.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- "Die eigentliche „Entdeckung Amerikas" wortgetreu übersetzt", Andreas Venzke (ภาษาเยอรมัน)