พัลพาทีน
ชีฟว์ พัลพาทีน (อังกฤษ: Sheev Palpatine) (หรือชื่อที่รู้จักกันในชื่อของซิธคือ ดาร์ธ ซิเดียส ชื่อที่รู้จักต่อสาธารณชนคือ วุฒิสมาชิกพัลพาทีน ต่อมาเป็น สมุหนายกพัลพาทีน และสุดท้ายเป็น จักรพรรดิพัลพาทีน) คือตัวละครตัวหนึ่งในมหากาพย์ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์สตาร์ วอร์ส แสดงโดยเอียน แมคเดียร์มิด มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์ทั้งหมดเก้าภาคของภาพยนตร์ชุดนี้และเนื้อหาในจักรวาลขยายอีกจำนวนมาก
พัลพาทีน | |
---|---|
ตัวละครใน สตาร์ วอร์ส | |
ไฟล์:Emperor RotJ.png | |
ปรากฏครั้งแรก | The Empire Strikes Back (1980) |
สร้างโดย | George Lucas |
แสดงโดย | เอียน แมกเดียร์มิด มาร์จอรี อีตัน (original release of The Empire Strikes Back)[a][1][2] |
ให้เสียงโดย |
|
ข้อมูลตัวละครในเรื่อง | |
ชื่อเต็ม | ชีฟว์ พัลพาทีน |
นามแฝง | ดาร์ธ ซิเดียส |
เผ่าพันธุ์ | มนุษย์ |
อาชีพ |
|
สังกัด | |
ครอบครัว |
Legends material:
|
อาจารย์ | ดาร์ธ เพลกัส |
ศิษย์ |
Legends material:
|
พัลพาทีน หรือ ดาร์ธ ซิเดียส (Darth Sidious) เป็นสมุหนายกคนสุดท้ายของสาธารณรัฐกาแลกติก (ปีที่ 32 ก่อนยุทธการยาวินถึงปีที่ 19 ก่อนยุทธการยาวิน) และผู้ตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิกาแลกติก (ปีที่ 19 ก่อนยุทธการยาวินถึงปีที่ 4 หลังยุทธการยาวิน เขาเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระดับกาแลกซีอย่างสงครามโคลนเพื่อที่จะกุมอำนาจโดยใช้กฎอัยการศึกที่ประกาศโดยสภากาแลกติก
ในระหว่างสงครามโคลน พัลพาทีนเป็นผู้นำที่แท้จริงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในฐานะของซิธลอร์ด ดาร์ธ ซิเดียส ทั้งยังเป็นผู้นำตามกฎหมายของฝ่ายสาธารณรัฐอีกด้วย ทำให้เขาสามารถวางแผนความเป็นไปของสงครามทั้งหมดได้ ยังผลให้พัลพาทีนได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่คือการถือกำเนิดของจักรวรรดิกาแลกติก
นอกจากจะถูกถือว่าเป็นลอร์ดมืดแห่งซิธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายซิธแล้ว พัลพาทีนยังเชื่อว่าตนเป็นซิธลอร์ดเพียงหนึ่งเดียวในรอบหลายพันปีที่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของซิธได้ นั่นก็คือการทำลายล้างนิกายเจได และทำให้ซิธได้ปกครองกาแลกซี
อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งที่ทำให้พัลพาทีนเป็นซิธที่สามารถแก้แค้นให้กับนิกายของตนได้เป็นผลสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากความสามารถในด้านมืดของพลังที่ร้ายกาจแต่อย่างใด ทว่าเป็นการที่เขาสามารถทำให้กาแลกซีทั้งกาแลกซีตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว นั่นคือตามที่อาจารย์โยดาเคยกล่าวไว้ว่าด้านมืดบดบังทุกสิ่ง
ในฐานะของอัจฉริยะโฉด พัลพาทีนไม่ได้สามารถชำระแค้นให้กับซิธด้วยเพียงความเก่งกาจทางการเมืองและความเชี่ยวชาญในพลังเท่านั้น แต่ยังด้วยความช่วยเหลือของผู้ฝึกฝนที่เก่งกาจจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ผู้ถูกชักนำเข้าสู่ด้านมืดและกลายเป็นซิธลอร์ด ดาร์ธ เวเดอร์
ที่สำคัญพัลพาทีนเป็นบุคคลสำคัญในการวางแผนคำสั่งที่ 66 ซึ่งทำให้เจไดเกือบทั้งหมดถูกสังหาร และเขาเป็นผู้คุมกองทัพทั้งหมดไว้ในมือ
หลายคนเชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่ทรงพลังอย่างมาก จากที่เขาสามารถทำนายความรุ่งเรืองและความเป็นไปทั้งหมดของชีวิตของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ยกเว้นเพียงแต่ความตายของตัวเองเท่านั้น
บทภาพยนตร์ฉบับแรกสุดของลูคัสนั้นกำหนดให้พัลพาทีนเป็นนักการเมืองผู้มีความสามารถ แต่อ่อนแอและตกอยู่ใต้อำนาจของลูกน้อง ทว่าในการกลับมาของเจได ไตรภาคต้น และนิยายจำนวนมากนั้น ตัวละครนี้ถูกแสดงออกมาในภาพลักษณ์ของความชั่วร้ายและผู้ที่กุมอำนาจทุกอย่างไว้ได้เบ็ดเสร็จ จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
พัลพาทีนเสียชีวิตด้วยการกลับเข้าสู่ด้านสว่างของดาร์ธ เวเดอร์ โดยการทุ่มตัวพัลพาทีนลงไปยังเตาปฏิกรณ์ของดาวมรณะดวงที่ 2 แต่ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อแก้แค้นสาธารณรัฐใหม่ แอบสร้างปฐมภาคีและปัจฉิมภาคีจากเศษซากของจักรวรรดิ และวางแผนยึดครอง(ทำลาย)กาแลคซี่ โดยชักจูงเบน โซโลให้เข้าสู่ด้านมืดกลายเป็นไคโล เร็นซึ่งทรยศหักหลังนิกายเจไดใหม่ มีเพียงฝ่ายต่อต้านเท่านั้นที่ยืนหยัดสู้กับปฐมภาคีและปัจฉิมภาคี แม้จะสร้างความหวาดกลัวไปทั่วกาแลคซี่แต่ในที่สุดทั้งกาแลคซี่ต่อต้านพัลพาทีน
ในขณะที่พัลพาทีนพยายามสังหาร เรย์ อัศวินเจไดคนสุดท้าย และหลานแท้ๆของตน เรย์ได้ป้องกันด้วยกระบี่แสงทำให้สายฟ้าพุ่งย้อนกลับไปหาพัลพาทีนจนสิ้นชีวิต ปิดตำนานซิธคนสุดท้ายและปิดฉากสงครามยืดเยื้อมานานกว่าหลายปี
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- ↑ Eaton portrays the Emperor in the original release of the film; McDiarmid replaces Eaton in the 2004 Special Edition of the film and onwards.
- ↑ 2.0 2.1 The expanded edition novelization of The Rise of Skywalker and the book called Shadow of the Sith reveal that both Snoke and Palpatine's 'son' Dathan were "strand-cast" clones of Palpatine himself.[3][4]
- ↑ Gourley, Matt. "I Was There Too". earwolf.com. Earwolf. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 9, 2016. สืบค้นเมื่อ 10 November 2016.
- ↑ @pablohidalgo (October 26, 2016). "Okay here's what I've got. It is not Elaine Baker in the movie. @PhilTippett sculpted the piece and Rick applied it" (ทวีต) – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ Agar, Chris (March 4, 2020). "Star Wars Confirms Rey's Father Is A Failed Palpatine Clone". Screen Rant. Valnet Inc. สืบค้นเมื่อ March 4, 2020.
- ↑ Lussier, Germain (April 9, 2023). "Ian McDiarmid Has the Best Perspective On Palpatine's Star Wars Journey". Gizmodo. สืบค้นเมื่อ April 9, 2023.
On the topic of Snoke, [Andy] Serkis also admitted that who specifically Snoke was—a clone of Palpatine—was not something he knew right away. He was aware there was some connection to the character but described the discover of that as an "organic process" in the writing and production of the films.