จอห์นแห่งกอนต์ ดยุกที่ 1 แห่งแลงแคสเตอร์
เจ้าชายจอห์นแห่งกอนต์ ดยุกที่ 1 แห่งแลงแคสเตอร์ (อังกฤษ: John of Gaunt, 1st Duke of Lancaster; 6 มีนาคม ค.ศ. 1340 - 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1399) เป็นสมาชิกราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท เป็นพระโอรสองค์ที่สามของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษและพระราชินีฟีลิปแห่งแอโน และเป็นพระเชษฐาของเอ็ดมันด์แห่งแลงลีย์ ดยุคที่ 1 แห่งยอร์กผู้เป็นต้นราชสกุลยอร์ก
จอห์นแห่งกอนต์ | |
---|---|
ดยุคแห่งแลงคัสเตอร์ที่ 1 | |
จอห์นแห่งกอนต์ ดยุคแห่งแลงคัสเตอร์ที่ 1 | |
ประสูติ | 6 มีนาคม ค.ศ. 1340 เกนต์, เบลเยียม |
สิ้นพระชนม์ | 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1399 (58 ปี) ปราสาทเลสเตอร์, เลสเตอร์เชอร์ |
คู่อภิเษก | บลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ กอนส์ตันซาแห่งกัสติยา แคทเธอริน สวินฟอร์ด |
พระบุตร | สมเด็จพระราชินีฟิลลิปปาแห่งโปรตุเกส เอลิซาเบธ แพลนทาเจเน็ท ดัชเชสแห่งเอ็กซีเตอร์ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ แคทรินแห่งแลงคัสเตอร์ จอห์น โบฟอร์ต เอิร์ลแห่งซอมเมอร์เซ็ทที่ 1 เฮ็นรี โบฟอร์ต ทอมัส โบฟอร์ต ดยุคแห่งเอ็กซีเตอร์ โจน โบฟอร์ตดัชเชสแห่งเวสต์มอร์แลนด์ |
พระบิดา | สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ |
พระมารดา | ฟีลีปาแห่งแอโน สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ |
จอห์นแห่งกอนต์ทรงเป็นต้นราชสกุลแลงคัสเตอร์ โดยมีกษัตริย์อังกฤษสามคนที่สืบเชื้อสายมาจากพระองค์ คือ พระเจ้าเฮนรีที่ 4, พระเจ้าเฮนรีที่ 5 และพระเจ้าเฮนรีที่ 6
วัยเยาว์
แก้จอห์นประสูติในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1340 ทรงเป็นพระโอรสคนที่สี่ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แต่เป็นพระโอรสคนที่สามที่มีชีวิตรอด พระองค์ได้ฉายาพระนามมาจากสถานที่ประสูติของพระองค์ คือ เมืองเกนต์ หรือเมืองกอนต์ในภาษาอังกฤษ เดือนกันยายน ค.ศ. 1342 พระองค์ถูกตั้งเป็นเอิร์ลแห่งริชมอนด์ ทรงได้รับการฝึกฝนทักษะทางทหาร ในปี ค.ศ. 1350 จอห์นในวัย 10 พรรษาได้ปรากฏตัวที่สมรภูมิทางเรือวินเชลซีที่ว่ากันว่าเฮนรีแห่งกรอสมอนต์ เอิร์ลแห่งแลงคัสเตอร์และเลสเตอร์ได้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้หลังเรือสเปนลำใหญ่ได้โจมเรือที่บรรทุกจอห์นกับเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาของจอห์น ในเวลาต่อมาจอห์นในวัย 19 พรรษาได้มีส่วนร่วมในการออกทำศึกกับฝรั่งเศส
คนในยุคเดียวกันได้บรรยายถึงจอห์นว่าทรงมีพระวรกายสูง รูปร่างดี พระบุตรคนแรกของจอห์นเป็นพระธิดานอกสมรสชื่อบลานช์ซึ่งเกิดจากมารี เดอ แซ็งต์ฮิแลร์แห่งแอโน สนมลับของจอห์นที่เป็นนางกำนัลของพระราชินีฟิลิปปาแห่งแอโน พระมารดาของพระองค์
การเสกสมรสครั้งแรก
แก้วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1359 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้จับจอห์นสมรสกับบลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ ทายาทหญิงผู้มั่งคั่งที่วิหารเรดิงในบาร์กเชอร์ บลานช์เป็นธิดาของเฮนรีแห่งกรอสมอนต์ เอิร์ลแห่งแลงคัสเตอร์และเลสเตอร์กับอิซาเบล เดอ บูมงต์และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องชั้นที่สามของจอห์น ทั้งคู่ต่างเป็นบุตรของพระปนัดดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 3 บลานช์สืบเชื้อสายมากจากเอ็ดมุนด์หลังกางเขน เอิร์ลแห่งแลงคัสเตอร์ พระโอรสคนสุดท้องของพระเจ้าเฮนรี เชื้อพระวงศ์ทุกคนต่างเข้าร่วมพิธีสมรสในครั้งนี้ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้มอบของขวัญซึ่งเป็นอัญมณีราคาแพงให้แก่บลานช์วัย 14 ปี
เฮนรีแห่งกรอสมอนต์ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1361 จอห์นได้สืบทอดดินแดนครึ่งหนึ่งของพ่อตาและได้ครองตำแหน่งเป็นเอิร์ลแห่งแลงคัสเตอร์ พระองค์ยังได้รับยศเป็นบารอนที่ 14 แห่งฮาลตันและลอร์ดที่ 11 แห่งโบวแลนด์ จอห์นได้ดินแดนส่วนที่เหลือของเฮนรีมาครองหลังม็อด เคานเตสแห่งเลสเตอร์ น้องสาวของบลานช์เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1362 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 พระบิดาของพระองค์ได้พระราชทานยศดยุคแห่งแลงคัสเตอร์ให้แก่พระองค์ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1362
การเสกสมรสของจอห์นกับบลานช์เป็นการเสกสมรสที่มีความสุข บลานช์เป็นสาวสวยมารยาทงดงามที่มีผมสีอ่อน ทั้งคู่มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน คือ
- ฟิลิปปา (เกิด 31 มีนาคม ค.ศ. 1360) พระราชินีคู่สมรสของพระเจ้าฌูเอาที่ 1 แห่งโปรตุเกส
- จอห์น (เกิด ค.ศ. 1362/1364) เสียชีวิตในวัยทารก
- เอลิซาเบธแห่งแลงคัสเตอร์ (เกิด 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1364) สมรสครั้งแรกกับจอห์น แฮสติงส์ เอิร์ลที่ 3 แห่งเพมโบรก ต่อมาสมรสครั้งที่สองกับจอห์น ฮอลแลนด์ ดยุคที่ 1 แห่งเอ็กซิเตอร์ และสมรสครั้งที่สามกับจอห์น คอร์นวอลล์ บารอนที่ 1 แห่งแฟนโฮป
- เอ็ดเวิร์ด (เกิด ค.ศ. 1365) เสียชีวิตในวัยทารก
- จอห์น (เกิด ค.ศ. 1366) เสียชีวิตในวัยทารก
- พระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ (เกิด 3 เมษายน ค.ศ. 1367)
- อิซาเบลลา (เกิด ค.ศ. 1368) เสียชีวิตในวัยเด็ก
บลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1368 ด้วยโรคกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองด้วยวัย 23 ปีที่ปราสาททัตบรีในสแตฟฟอร์ดเชอร์ ระหว่างที่จอห์นเดินทางไปต่างแดน ร่างของเธอถูกฝังที่อาสนวิหารเซนต์ปอลในกรุงลอนดอน มีบันทึกว่าจอห์นทรงจมอยู่กับความโทมนัสโศกเศร้า
การเสกสมรสครั้งที่สอง
แก้ตลอดช่วงเวลาหลายปีต่อมาจอห์นได้ทรงสู้รบในสงครามหลายครั้ง ทรงสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเอ็ดเวิร์ดแห่งวูดสต็อคหรือเอ็ดเวิร์ดเจ้าชายดำ พระเชษฐาในการทำสงครามร้อยปี พระองค์ได้ออกทำศึกเพื่อช่วยเหลือพระเจ้าเปโดรผู้โหดเหี้ยมแห่งกัสติยา สองปีต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายกองแห่งกาแล และในปี ค.ศ. 1371 ทรงดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพแห่งอากีแตน จอห์นได้เสกสมรสใหม่กับกอนส์ตันซาแห่งกัสติยา พระธิดาของพระเจ้าเปโดรแห่งกัสติยาในปี ค.ศ. 1372 การสมรสครั้งนี้ทำให้พระองค์ได้รับยศเป็นเอิร์ลแห่งริชมอนด์และได้อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์แห่งกัสติยา
จอห์นเสกสมรสกับกอนส์ตันซาแห่งกัสติยาวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1371 ในกีเยนที่โรเกฟอต์ใกล้กับบอร์โดซ์ การเสกสมรสครั้งนี้เป็นการเสกสมรสที่ไร้ซึ่งความรัก แต่กระนั้นทั้งสองพระองค์ก็มีพระบุตรด้วยกันสองคน คือ
- แคทเธอรีน (เกิด ค.ศ. 1372)
- จอห์น (เกิด ค.ศ. 1374) เสียชีวิตในวัยทารก
ในช่วงปี ค.ศ. 1370–71 เมื่อเจ้าชายดำล้มป่วยระหว่างกำลังทำศึกกับฝรั่งเศสจอห์นได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ในปี ค.ศ. 1373 พระองค์ได้นำทัพจากกาแลไปบอร์โดซ์แต่ประสบความสำเร็จไม่มากนัก หลังการสิ้นพระชนม์ของเอ็ดเวิร์ดเจ้าชายดำ จอห์นแห่งกอนต์ได้ให้การคุ้มครองจอห์น วีคลิฟฟ์ นักปฏิรูปศาสนา ซึ่งพระองค์อาจทำไปเพราะต้องการยับยั้งอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่กำลังเติบโต
อิทธิพลในราชสำนักอังกฤษ
แก้หลังบรรลุการทำสนธิสัญญาพักรบในปี ค.ศ. 1375 พระองค์ได้เดินทางกลับอังกฤษ พระองค์ได้ผูกมิตรกับกลุ่มข้าราชสำนักที่ทุจริตฉ้อฉลซึ่งนำโดยอาลิซ เพอร์เรอร์ สนมลับของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ผู้สูงวัย ในช่วงที่กษัตริย์อยู่ในสภาวะเลอะเลือน จอห์นทำหน้าที่เสมือนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน การขึ้นครองอำนาจทางการเมืองของพระองค์ทำให้ความไม่พอใจต่ออิทธิพลในอังกฤษของพระองค์ขยายออกไปเป็นวงกว้าง กองทัพอังกฤษประสบความล้มเหลวในสงครามร้อยปี การปกครองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ก็เริ่มไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากการเรียกเก็บภาษีที่สูงและความสัมพันธ์ชู้สาวของพระองค์กับอาลิซ เพอร์เรอร์ ความล้มเหลวทางการทหาร, การบริหารราชการที่ทุจริตฉ้อฉล และการวางตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสภานิติบัญญัติอันดีงามสร้างกระแสเกลียดชังในตัวจอห์น กระทั่งในปี ค.ศ. 1376 กลุ่มของพระองค์ถูกสภานิติบัญญัติอันดีงามขับไล่ออกจากอำนาจ แต่ไม่นานจอห์นก็รวบรวมสมัครพรรคพวกได้อีกครั้ง
ปี ค.ศ. 1377 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 สวรรคตด้วยพระโรคเส้นพระโลหิตในพระมัตถลุงค์แตก(เส้นเลือดในสมองแตก)ที่ชีน ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์คือพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 พระนัดดาวัย 10 พรรษา หลังพระภาติยะ(หลานชายที่เป็นลูกของพี่น้อง) ขึ้นครองราชย์อิทธิพลในราชสำนักของจอห์นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จอห์นกลายเป็นผู้ปกครองตัวจริงของอังกฤษในช่วงที่กษัตริย์น้อยอยู่ในวัยเยาว์ ทรงให้คำปรึกษาในการทำสงครามกับฝรั่งเศสและเป็นผู้ดูแลพรมแดนที่ติดกับสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1380 พระองค์ได้ทำสนธิสัญญาพักรบกับชาวสกอตแลนด์และได้รับมอบหมายให้ปราบกบฏหลายครั้งในปีต่อมา
การตัดสินใจเรื่องการเก็บภาษีที่ไม่ค่อยฉลาดสะสมความไม่พอใจจนก่อเกิดการปฏิวัติชาวนาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1381 จอห์นแห่งกอนต์ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการในการเรียกเก็บภาษี พระองค์ต้องออกจากลอนดอนในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อหนีความโกรธเคืองของกลุ่มกบฏ ทว่าพระราชวังซาวอยของพระองค์ซึ่งถูกมองว่าเป็นคฤหาสน์ขุนนางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในลอนดอนสมัยกลางได้ถูกทำลาย ชิ้นส่วนที่กลุ่มชาวนาไม่สามารถพังหรือเผาได้ถูกโยนลงแม่น้ำ
แม้จะถูกข้าราชสำนักฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติแต่จอห์นก็ยังคงได้รับการสนับสนุนอันล้ำค่าจากพระเจ้าริชาร์ด พระองค์ยังคงรับใช้กษัตริย์ต่อไป จอห์นเป็นผู้เจรจาสันติภาพกับฝรั่งเศสและเป็นผู้จัดการเรื่องพรมแดนที่ติดกันสกอตแลนด์ ทว่าในปี ค.ศ. 1385 พระองค์ได้ขัดแย้งกับกษัตริย์แต่ต่อมาก็ได้คืนดีกัน พระองค์ยังคงทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างกษัตริย์กับฝ่ายตรงข้ามต่อไป
พระเจ้าเปโดรแห่งกัสติยา พระบิดาของกอนส์ตันซาถูกเอนริเกแห่งกัสติยา พระอนุชาต่างพระมารดาปลงพระชนม์และได้แย่งชิงบัลลังก์ที่กอนส์ตันซา พระธิดาคนโตของพระเจ้าเปโดรเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม จอห์นได้เข้าไปพัวพันกับการสู้รบในคาบสมุทรไอบีเรีย เนื่องจากตามกฎของสเปนพระสวามีของรัชทายาทหญิงในบัลลังก์ถือเป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในปี ค.ศ. 1386 จอห์นได้ออกเดินทางจากอังกฤษไปทรงอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์กัสติยาซึ่งเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของพระชายา ทรงจับมือเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าฌูเอาที่ 1 แห่งโปรตุเกสที่สมรสกับธิดาคนหนึ่งของพระองค์และนำทัพออกทำศึกกับพระเจ้าฆวนที่ 1 แห่งกัสติยา พระโอรสที่สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเอนริเกที่ 2 ทว่าความพยายามของจอห์นไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายในปี ค.ศ. 1388 พระองค์ได้ทำข้อตกลงสันติภาพโดยยกการอ้างสิทธิ์ให้เป็นของแคทเธอรีน พระธิดาที่ประสูติแต่กอนส์ตันซาแห่งกัสติยาซึ่งถูกจับเสกสมรสกับพระเจ้าเอนริเกที่ 3 แห่งกัสติยา (ขณะนั้นยังไม่เป็นกษัตริย์) อันเป็นการรวมการอ้างสิทธิ์จากทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
ในช่วงที่จอห์นไม่อยู่ การบริหารกิจการภายในที่ผิดพลาดของพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ทำให้อังกฤษตกอยู่ในสงครามกลางเมือง เมื่อเดินทางกลับมาในปี ค.ศ. 1389 จอห์นได้เป็นคนกลางทำให้พระเจ้าริชาร์ดกับกลุ่มลอร์ดผู้อุทธรณ์ซึ่งนำโดยธอมัสแห่งวูดสต็อค ดยุคแห่งกลอสเตอร์ พระอนุชาของพระองค์ประนีประนอมกัน นำไปสู่ยุคแห่งเสถียรภาพ สี่เดือนหลังกลับมาอังกฤษ พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ได้แต่งตั้งจอห์นเป็นดยุคแห่งอากีแตนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1390
การเสกสมรสครั้งที่สามและบั้นปลายพระชนม์
แก้วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1394 กอนส์ตันซาแห่งกัสติยาได้สิ้นพระชนม์ที่ปราสาทเลสเตอร์ พระศพของพระนางถูกฝังที่วิหารเนอวาร์คในเลสเตอร์ ในช่วงที่พระนางยังทรงพระชนม์อยู่ จอห์นได้มีพระบุตรนอกสมรสสี่คนกับแคทเธอรีน สวีนฟอร์ด สนมลับซึ่งเป็นธิดาของเซอร์เพน โรเอ็ตกับภรรยาม่ายของอัศวินฮิวจ์ สวีนฟอร์ด แคทเธอรีนได้เข้ามาอยู่ในครัวเรือนของจอห์นในฐานะพระพี่เลี้ยงของฟิลิปปากับเอลิซาเบธแห่งแลงคัสเตอร์ ธิดาของจอห์นที่เกิดจากชายาคนแรก ฟิลิปปา เดอ โรเอ็ต น้องสาวของแคทเธอรีนเป็นนางกำนัลในครัวเรือนของพระราชินีฟิลิปปาและได้สมรสกับเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ กวีที่ต่อมาจอห์นได้ให้การอุปถัมภ์
ปี ค.ศ. 1396 จอห์นได้เสกสมรสกับแคทเธอรีน สวีนฟอร์ดที่อาสนวิหารลิงคอล์น พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 และศาสนจักรได้ประกาศให้พระบุตรนอกสมรสของแคทเธอรีนกับจอห์นเป็นบุตรตามกฎหมายแต่ตัดสิทธิ์ไม่ให้สืบทอดบัลลังก์ บุตรของทั้งคู่ได้ใช้นามสกุลโบฟอร์ตซึ่งมาจากตำแหน่งลอร์ดแห่งบูฟอต์ (หรือโบฟอร์ตในภาษาอังกฤษ) ของจอห์นในช็องปาญ ราชอาณาจักรฝรั่งเศส โดยบุตรแต่ละคนต่างของทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในการเมืองของคริสต์ศตวรรษที่ 15 ได้แก่
- จอห์น โบฟอร์ต (เกิด ค.ศ. 1373) ถูกตั้งเป็นดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ต
- เฮนรี โบฟอร์ต (เกิด ค.ศ. 1375) เป็นพระคาร์ดินัล
- ธอมัส โบฟอร์ต (เกิด ค.ศ. 1377) ดยุคแห่งเอ็กซิเตอร์
- โจแอน โบฟอร์ด (เกิด ค.ศ. 1379) เคานเตสแห่งเวสต์มอร์แลนด์จากการสมรสกับราล์ฟ เนวิลล์ และเป็นบรรพบุรุษของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 กับพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งราชวงศ์ยอร์ก
ปี ค.ศ. 1397 พระเจ้าริชาร์ดเอาคืนกลุ่มลอร์ดผู้อุทธรณ์ ธอมัส ดยุคแห่งกลอสเตอร์ พระอนุชาของจอห์นถูกจองจำในกาแลเพื่อรอการพิจารณาคดีในข้อหาทรยศต่อชาติ ต่อมาพระองค์ถูกปลงพระชนม์ ตามคำสั่งของพระเจ้าริชาร์ด พระภาติยะ (หลานชายที่เป็นลูกของพี่น้อง) ของพระองค์เอง ปี ค.ศ. 1398 พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ได้ทรงขับไล่เฮนรีแห่งโบลิงโบรก พระโอรสคนโตของจอห์นออกจากประเทศ
จอห์นแห่งกอนต์ได้สิ้นพระชนม์ที่ปราสาทเลสเตอร์ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1399 ด้วยพระชนมายุ 58 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังเคียงข้างกับบลานช์แห่งแลงคัสเตอร์ พระชายาคนแรกในตำแหน่งของคณะประสานเสียงที่อาสนวิหารเซนต์ปอล รูปแกะสลักหลุมฝังพระศพของทั้งคู่จับมือกัน สองวันหลังพิธีพระศพของจอห์นแห่งกอนต์ พระเจ้าริชาร์ดได้ทรงประกาศเนรเทศเฮนรีแห่งโบลิงโบรกตลอดชีวิต ทรงตัดสิทธิ์ในการสืบทอดมรดกของลูกพี่ลูกน้องและทรัพย์สินที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของจอห์นแห่งกอนต์เข้าราชบัลลังก์ ภายหลังเฮนรี โบลิงโบรกได้ล้มล้างบัลลังก์และขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์แลงคัสเตอร์