ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน

ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน (อังกฤษ: codeshare agreement หรือ codeshare) หรือ เที่ยวบินร่วม เป็นข้อตกลงทางธุรกิจการบินระหว่าง 2 สายการบินหรือมากกว่าทำการบินร่วมกันในเที่ยวบินเดียวกัน (การบินร่วมในที่นี้หมายถึงแต่ละสายการบินทำการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินสายการบินของตนเอง แต่ทำการรวมเที่ยวบินของแต่ละสายมาใช้เครื่องบินลำเดียวกันและตารางเวลาเที่ยวบินเดียวกัน) ซึ่งผู้โดยสารสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบินและเที่ยวบินที่ต้องการ แต่อาจทำการบินด้วยสายการบินเดียวที่ร่วมข้อตกลงนั้นไว้ โดยทั่วไปจะเรียกว่า สายการบินที่ปฏิบัติการ หรือ "สายการบินที่บริการจัดการ[1]" (ตามคำนิยามใน IATA Standard Schedules Information Manual)

ตารางการบินที่แสดงเที่ยวบินร่วมที่ท่าอากาศยานวอลซอล โชแปง
ตารางการบินที่แสดงเที่ยวบินร่วมที่ท่าอากาศยานฟุกุโอะกะ

สำหรับรหัสของเที่ยวบินของเที่ยวบินร่วมนั้น จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรสองตัวที่แทนรหัสของสายการบินตาม IATA แล้วตามด้วยเลขที่เที่ยวบิน เช่น XX123 (เที่ยวบินที่ 123 ทำการบินด้วยสายการบิน XX) ซึ่งอาจจะทำการขายตั๋วเครื่องบินของสายการบินอื่นโดยใช้เที่ยวบินอื่นเช่น สายการบิน YY เที่ยวบินที่ YY4456 และ สายการบิน ZZ เที่ยวบินที่ ZZ9876. โดยสายการบิน YY และ ZZ ในที่นี้จะถูกเรียกว่า "สายการบินที่ทำการตลาด" ซึ่งสายการบินหลักๆ ส่วนใหญ่ทั่วโลก ต่างมีข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันแทบทุกสายการบิน และเที่ยวบินร่วมถือเป็นหน้าที่หลักของพันธมิตรการบิน โดยพันธมิตรการบินเดียวกันมักจะทำเที่ยวบินร่วมกันก่อนเสมอ

ประวัติ แก้

ในปี พ.ศ. 2510 ริชาร์ด เอ. เฮนสัน ร่วมกับ ยูเอสแอร์เวย์ ทำข้อตกลงกับ อาเลเกยนี่แอร์ไลน์ ทำเที่ยวบินร่วมเป็นเที่ยวแรก[2] โดยคำว่า "เที่ยวบินร่วม" ถูกเริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยสายการบิน ควอนตัส กับ อเมริกันแอร์ไลน์[3] และในปี พ.ศ. 2533 ทั้งสองสายการบินได้เริ่มใช้เที่ยวบินร่วมระหว่างกัน ในเที่ยวบินภายในประเทศระหว่างเมือง ในประเทศออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันจึงเป็นที่แพร่หลายนำจากนั้นมา ซึ่งต่อได้ทำให้เกิดการร่วมตัวของสายการบินขนาดใหญ่รวมกันเป็น "พันธมิตรสายการบิน" และในพันธมิตรสายการบินก็ต่างใช้เที่ยวบินร่วมเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และจัดตั้งรายการสะสมแต้มการบินร่วมกันด้วย

การนิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง แก้

ภายใต้ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่ดูแลการบิน (สายการบินที่ถือสิทธิ์ในการปฏิบัติงานภายในสนามบิน การวางแผน การควบคุมเที่ยวบิน และการจัดการภาคพื้นดิน) จะเรียกว่า "สายการบินที่ปฏิบัติการ" หรือเรียกว่า OPE CXR ถึงแม้ว่า IATA SSIM จะให้คำนิยามของ Administrating carrier ซึ่งเป็นคำนิยามที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เนื่องจากอาจมีผู้ให้บริการรายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นในกรณีที่สายการบินเดิมที่จำปฏิบัติการบินจำเป็นต้องจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินการบินในนามของสายการบินเดิม (มักเป็นการเช่าอากาศยานแบบ Wet Lease คือ การเช่าอากาศยานไปพร้อมลูกเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกบนเที่ยวบิน เนื่องจากการจำกัดทางความจุ หรือปัญหาทางเทคนิค เป็นต้น) ในกรณีนี้สายการบินที่บรรทุกผู้โดยสารจะกำหนดให้เป็น สายการบินที่ปฏิบัติการ เนื่อจากทำหน้าที่บรรทุกผู้โดยสารหรือสินค้า

เมื่อมีการขายที่นั่งบนเครื่องบินโดยใช้ชื่อผู้ให้บริการและหมายเลขเที่ยวบินตามที่อธิบายข้างต้น สายการบินที่ปฏิบัติการ จะเรียกว่า "สายการบินหลัก"

เหตุผลและประโยชน์ แก้

ภายใต้ข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่เข้าร่วมสามารถแสดงหมายเลขเที่ยวบินทั่วไปได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

ต่อผู้โดยสาร แก้

  • การต่อเที่ยวบิน: ช่วยในการกำหนดเส้นทางที่ชัดเจนให้แก่ผู้โดยสาร โดยช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจองเที่ยวบิน จาก จุด A ไปจุด C ผ่าน B ได้โดยใช้รหัสสายการบินเดียวกัน แทนที่จะต้องจองจากจุด A ไปจุด B ด้วยรหัสสายการบินหนึ่ง และจากจุด B ไปจุด C ด้วยรหัสสายการบินอีกรหัสหนึ่ง ซึ่งสายการบินที่มีข้อตกลงการบินร่วมกันพยายามที่จะปรับตารางบินให้ตรงกันด้วย

ต่อสายการบิน แก้

  • เที่ยวบินจากสายการบินที่บินในเส้นทางเดียวกัน: ช่วยเพิ่มความถี่ในการให้บริการในเส้นทางที่บินด้วยสารการบินเดียว
  • ช่วยให้รับรู้ถึงความต้องการในตลาด: วิธีนี้ช่วยให้สายการบินที่ไม่ได้บินด้วยเครื่องบินของตนในเส้นทาง ได้รับข้อมูลทางการตลาดผ่านการแสดงหมายเลขเที่ยวบินของสายการบิน
  • เมื่อสายการบินนำที่นั่งของตนให้กับสายการบินอื่นในฐานะสายการบินคู่พันธมิตร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะลดลง[4]

ประเภทของข้อตกลงการบินโดยใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกัน แก้

ข้อตกลงการบินมีหลายประเภท ดังนี้

  1. Block space codeshare: สายการบินที่ทำการตลาดซื้อที่นั่งอย่างจำนวนแน่นอนจากสายการบินที่ปฏิบัติการ (หรือ สายการบินหลัก) โดยจะจ่ายในราคาที่แน่นอนให้กับสายการบินหลักและจะไม่อยู่ภายใต้การจัดการการขายของสายการบินหลัก สายการบินที่ทำการตลาดจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจำหน่ายที่ใดในชั้นใด (บริเวณของที่นั่งจะถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอน)
  2. Free flow codeshare: ระบบการจองของสายการบินที่ทำการตลาดและสายการหลักจะมีการสื่อสารกันตลอดเวลา โดยใช้ระบบ IATA AIRIMP/PADIS messaging (TTY and EDIFACT) ชั้นของบัตรโดยสารจะถูกจัดการร่วมกัน โดยไม่มีที่นั่งถูกจำกัดไว้ให้แต่ละสายการบิน และแต่ละสายการบินจะจำหน่ายเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้
  3. Capped free flow: จะคล้ายกับ Free flow codeshare แต่จะมีการกำหนดจำนวนที่นั่งสูงสุดที่จำหน่ายได้ของแต่ละสายการบินที่ทำการตลาดภายใต้ข้อตกลงร่วมกับสายการบินปฏิบัติการ

ความกังวลของสายการบินคู่แข่ง แก้

การแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินเกิดขึ้นที่การจำหน่ายตํ๋ว (หรือ "การจองที่นั่ง") กลยุทธ์ (การบริการรายได้, การกำหนดราคาแปรผัน, ภูมิศาสตร์ทางการค้า) อย่างไรก็ตาม องค์กรเพื่อผู้บริโภคสหรัฐอเมริกา และองค์การการค้าแห่งสหรัฐอเมริกามีการต่อต้านการใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกันเนื่องจากเป็นการสร้างความสับสนและเป็นการไม่โปร่งใสแก่ผู้โดยสาร[5]

พันธมิตรทางอากาศ-ทางราง แก้

นอกจากนี้ยังมีการทำข้อตกลงระหว่างสายการบินและบริษัทรถไฟหรือรู้จักในนาม พันธมิตรทางอากาศ-ทางราง โดยมักทำการตลาดในรูปของ "Rail & Fly" โดยเกิดมาจากความนิยมของ ด็อยท์เชอบานกับสายการบินจำนวนมาก[6] โดยเกิดจากการบูรณาการรูปแบบการเดินทางทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน ในการหาวิธี่การเดินทางเชื่อมต่อที่เร็วที่สุดและเชื่อมต่อระหว่างเครื่องบินและรถไฟโดยใช้บัตรโดยสารใบเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถจัดการจองการเดินทางทั้งหมดในเวลาเดียวกัน และมักจะมีราคาที่ถูกกว่าการซื้อตั๋วโดยสารแยกกัน

อ้างอิง แก้

  1. ตามคำนิยามของ IATA Standard Schedules Information Manual
  2. "Piedmont's Roots Run Deep".
  3. Financial Review, 21 พฤศจิกายน, 1989
  4. Sharkey, Joe (5 ธันวาคม, 2011). "Forget the Airline's Name; It's All About Alliances". The New York Times. เข้าถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2019.
  5. "What the Heck Is a Codeshare, Anyway?". ABC News.
  6. ""Rail&Fly"". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-14. สืบค้นเมื่อ 2019-05-14.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้