แนวกันไฟ (อังกฤษ: firebreak) เป็นช่องว่างแนวยาวในป่า หรือระหว่างกลุ่มสิ่งก่อสร้าง ซึ่งมีความกว้างมากพอที่จะป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามต่อเนื่องในกรณีที่เกิดไฟป่าหรืออัคคีภัย, โดยแนวกันไฟนี้บางที่อาจจะมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่นหุบเหว ลำห้วย หรือแม่น้ำ, แต่บางแห่งก็เป็นแนวที่มนุษย์สร้างขึ้น บ้างเพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันไฟโดยเฉพาะ (ซึ่งจะมีการวางแผนล่วงหน้าโดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือเจ้าหน้าที่ผังเมือง) บ้างก็เป็นผลพวงจากการถางทางเพื่อทำการอื่น เช่นการสร้างทางเดิน ถนนลูกรัง หรือทางหลวง

แนวกันไฟในป่า
ผลลัพธ์ของไฟป่า (ซีกขวาในรูป) ซึ่งหยุดลงที่แนวกันไฟ

ประสิทธิภาพของแนวกันไฟมักจะขึ้นกับความกว้างของแนว (ยิ่งกว้างจะยิ่งกันไฟได้เด็ดขาด แต่ต้องเสียพื้นที่มากตามไปด้วย) รวมทั้งลักษณะภูมิประเทศ กับสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นเชื้อไฟในบริเวณนั้น (เช่นชนิดของต้นไม้ หรือวัสดุของสิ่งก่อสร้างข้างเคียง) ซึ่งส่งผลต่ออุณหภูมิของเปลวไฟ และระยะทางที่วัสดุติดไฟมีโอกาสจะปลิวข้ามแนวไปได้, โดยทั่วไปจึงอาศัยแนวกันไฟเป็นมาตรการเสริมคู่กับการควบคุมเพลิงตามปกติ เพื่อลดโอกาสที่อัคคีภัยจะแผ่ขยายไปไกลเกินกำลังรับมือของเจ้าหน้าที่

แนวกันไฟที่มีประสิทธิภาพควรเป็นแนวกันไฟเปียก โดยปลูกพืชที่ไม่สลัดใบในพื้นที่ทำแนวกันไฟเพื่อลดการแผ่รังสีของไฟป่าลง มีการขุดหลุมดักน้ำและตะกอนดินเพื่อเพิ่มความชื้นใต้ดิน และช่วยอัตรารอดของพืชไม่สลัดใบในบริเวณดังกล่าว โดยหลุมกัดน้ำและตะกอนดินจะใช้เป็นที่เก็บเศษวัชพืช ใบไม้ กิ่งไม้แห้ง เป็นที่หลบภัยของอินทรียวัตถุแห้งทั้งหลายจากการไหม้ลามของไฟป่า แนวกันไฟควรจัดทำเป็นตารางหมากรุก หรือทำหน้าที่เป็นแนวกันไฟที่ไม่มีเชื้อเพลิงล้อมรอบพื้นที่เป้าหมาย ให้พื้นที่เป้าหมายมีแนวกันไฟสามารถเปียกป้องกันไฟได้ ไฟป่าจะลามมาจากทิศทางไหน หลุมดักน้ำและตะกอนดินที่ทำหน้าที่กันไฟป่า ยังเป็นที่หลบภัยของสัตว์เลื้อยคลาน แมลงและสัตว์เล็กๆที่อาศัยอยู่ในป่าเวลาเกิดไฟป่าลุกลามได้อีกด้วย