เจ้าปางคำ เป็นสามีนอกสมรสของนางเภา ผู้ปกครองนครกาลจำบากนาคบุรีศรีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ในตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์[1] เจ้าปางคำได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าเมืองหนองบัวลำภู[2] และเป็นผู้ประพันธ์เรื่องสังข์ศิลป์ชัย[3][4]

เจ้าปางคำ
เจ้าเมืองหนองบัวลำภู (สันนิษฐาน)
ดำรงตำแหน่งพุทธศตวรรษที่ 22
ถัดไปเจ้าพระตา (สันนิษฐาน)
ภรรยา
บุตร
ราชวงศ์เชียงรุ่ง (สันนิษฐาน)

ประวัติ

แก้

ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ระบุถึงเจ้าปางคำเพียงครั้งเดียวว่า ในปี พ.ศ. 2184 เจ้าปางคำได้เดินทางจากบ้านหนองบัวลำภูมายังนครกาลจำบากนาคบุรีศรีเพื่อคล้องช้างและได้พบกับนางเภา มีรายละเอียดดังนี้

ต่อมาในศักราชได้ ๑๐๐๓ ปีมะเส็งตรีศก เจ้าปางคำบ้านหนองบัวลำภู เดินช้างพลายพังหมอควานพร้อมด้วยท้าวเพี้ยไพร่พลยกลงมาเที่ยวโพนแซกคล้องช้างตามอรัญราวป่าประเทศ ก็ถึงเขตต์แดนนครกาลจำปากนาคบุรีศรีหยุดพักอาศัยในนครได้หลายวัน เจ้าปางคำเห็นนางเภามีสิริรูปอันงาม เจ้าปางคำพูดจาลอบรักร่วมสังวาสด้วยนางเภาจนมีครรภ์ แล้วเจ้าปางคำพร้อมด้วยท้าวเพี้ยไพร่พลช้างต่อหมอควานยกกลับไปบ้านหนองบัวลำภู อยู่ภายหลังนางเภาครรภ์แก่พอถ้วนทศมาสแล้วจะคลอดบุตรก็มีความเจ็บปวดลำบาก นางเภาจึงแช่งไว้ว่า ถ้าหญิงคนใดหาผัวมิได้ มีชายมาลอบรักร่วมสังวาสจนมีครรภ์ดังนี้ ให้หญิงนั้นจัดหากระบือแต่งเครื่องพลีกรรมบวงสรวงเสื้อเมืองทรงเมือง ถ้าผู้ใดไม่ทำตามดังนี้ให้ข้าวในไร่ในนาตายแล้ง แล้วนางเภาจึงสั่งให้พระยาคำยาตรพระยาสองฮาด พร้อมด้วยท้าวเพี้ยใหญ่น้อยทำหนังสือประทับตราประจำครั่งรูปช้างยืนแท่น ประกาศให้พวกส่วยรักษาเขตต์แขวงอำเภอตามคำนางเภา จึงเป็นเยี่ยงอย่างมาจนทุกวันนี้ ครั้นนางเภาคลอดบุตรออกมาเป็นกุมารี นางเภาจึงให้ชื่อบุตรว่านางแพง

— พระยามหาอำมาตยาธิบดี, ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ ฉะบับ พระยามหาอำมาตยาธิบดี, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐

ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้าปางคำ

แก้

การประพันธ์วรรณกรรมเรื่องสังข์ศิลป์ชัย

แก้

สังศิลป์ชัย หรือสินไซ เป็นวรรณกรรมที่แพร่หลายในประเทศลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย[5] สังข์ศิลป์ชัยได้รับการสันนิษฐานว่ามีเค้าโครงเรื่องมาจากปัญญาสชาดก หรือชาดกห้าสิบเรื่อง หรือพระเจ้าห้าสิบชาติตามสำนวนลาว[6] แต่ได้รับการโต้แย้งว่า เค้าโครงเรื่องของสังข์ศิลป์ชัยมาจากประวัติศาสตร์ล้านช้าง แล้วแอบอ้างเป็นชาดกเพื่อสั่งสอนผู้ฟังให้เกิดความศรัทธา[7] ข้อมูลที่อาจระบุถึงผู้ประพันธ์และเวลาที่ประพันธ์ปรากฏในเนื้อหาดังนี้

๏ ยามนั้น มะหาเมกเค้า คะนงเน่งบังบด
สุละพาเอียง อว่ายแลงลงไม้
อาทิด จอมจันแจ้ง เดือนสามสัดตะพีด
สะลูฮูบเนื้อ เนาซ้อนซอบยาม
เมื่อนั้น ปางคำคุ้ม คะนิงทำทงมาก
เห็นฮุ่ง ยามยอดแก้ว เทียวใช้ซาดพะอง
ใค่จักตกแต่งตั้ง แปปั่นเปนไท
ซุลีเซินสวาง ซ่อยยามยามแค้น

จากการตีความเนื้อหาดังกล่าว ทำให้สังข์ศิลป์ชัยได้รับการสันนิษฐานว่า ประพันธ์ในตอนเช้า แรม 12 ค่ำ เดือน 3 จ.ศ. 1027 ปีฉลู[note 1] ตรงกับ พ.ศ. 2208 ผู้ประพันธ์ชื่อว่าปางคำ[5] สิลา วีระวงส์สันนิษฐานว่า เจ้าปางคำเป็นบุคคลเดียวกับปางคำผู้ประพันธ์สังข์ศิลป์ชัย โดยสันนิษฐานว่าประพันธ์เมื่อ พ.ศ. 2192[note 2] หลังการเดินทางกลับจากนครกาลจำบากนาคบุรีศรี[3] แต่ได้รับการโต้แย้งว่า คำว่าปางคำอาจหมายถึงกษัตริย์หรือตำแหน่งผู้แต่งหนังสือในราชสำนัก[7] รวมทั้งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องแปลกที่ผู้ประพันธ์เปิดเผยชื่อของตน ซึ่งผิดกับความนิยม[5]

เจ้าปางคำในประวัติศาสตร์นิพนธ์

แก้

เรื่องราวของเจ้าปางคำปรากฏในงานเขียนของทายาทอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี[3] โดยระบุว่า เจ้าปางคำเป็นเชื้อพระวงศ์เชียงรุ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2228 จีนฮ่อเข้าโจมตีเชียงรุ่ง เจ้าปางคำร่วมกับเจ้าอินทกุมารและนางจันทกุมารีอพยพลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชโปรดให้เจ้าปางคำอภิเษกสมรสกับพระราชนัดดาในพระองค์ และให้เจ้าปางคำไปตั้งเมืองหนองบัวลำภู เป็นอิสระในฐานะเมืองหลานหลวงไม่ขึ้นแก่เวียงจันทน์ เจ้าปางคำสามารถสะสมไพร่พลสร้างกองทัพได้อย่างเสรี และได้ติดตามคล้องช้างป่าเพื่อใช้ในการศึก จนได้พบกับนางเภาที่นครกาลจำบากนาคบุรีศรี ภายหลังเจ้าปางคำถึงแก่กรรม พระตาบุตรชายได้ขึ้นปกครองเมืองแทน[8][9] งานเขียนดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีเอกสารอ้างอิง[10] นอกจากนี้ ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์ระบุว่า เจ้าปางคำเดินทางไปนครกาลจำบากนาคบุรีศรีในปี พ.ศ. 2184 ซึ่งขัดแย้งกับลำดับเวลาในงานเขียน

บุตรของเจ้าปางคำ

แก้

เจ้าปางคำได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นบิดาของพระตา[8] หรือทั้งพระตาและพระวอ[11] แต่ได้รับการโต้แย้งว่า เจ้าปางคำเดินทางไปนครกาลจำบากนาคบุรีศรีในปี พ.ศ. 2184 และเหตุการณ์ระหว่างพระวอพระตาและพระเจ้าสิริบุญสารเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2310 เป็นระยะเวลาห่างกันถึง 126 ปี จึงเป็นการยากที่จะเป็นพ่อลูกกันได้[12] อย่างไรก็ตาม พระวอพระตาอาจเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าปางคำ[2][12]

ข้อสันนิษฐานและความเชื่ออื่นๆ

แก้
  • จากข้อเสนอว่าเจ้าปางคำอพยพจากเชียงรุ่งมายังหนองบัวลำภู และภายหลังพระวอได้อพยพผู้คนต่อไปยังเมืองอุบลราชธานี[3] ทำให้มีความเชื่อว่าธรรมเนียมการเผาศพเจ้านายบนเมรุนกหัสดีลิงค์ของเมืองอุบลราชธานีและยโสธรมีที่มาจากเชียงรุ่ง[13]
  • เนินดินซากสถูปในบริเวณวัดมหาชัยถูกเชื่อว่าเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าปางคำ[4]

หมายเหตุ

แก้
  1. จ.ศ. 1027 (พ.ศ. 2208) เป็นปีมะเส็ง ไม่ใช่ปีฉลู
  2. พ.ศ. 2192 เป็นปีฉลู

อ้างอิง

แก้
  1. กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1941), "ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์" [Tamnan Mueang Nakhon Champasak], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 3–4, สืบค้นเมื่อ 2025-05-13
  2. 2.0 2.1 ขุนวรรณรักษ์วิจิตร (1937). "วินิจฉัยประวัติพระประทุมราชวงศา (คำผง)" (PDF). ศิลปากร. 1 (1): 91–93. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ตันเลิศ, สุธิดา (2018). "ความรับรู้เกี่ยวกับพระวอและพระตา ในงานเขียนของทายาทอาญาสี่เมืองอุบล" [The Perception of Pra Wor and Pra Taa on the Descent of Ayasee’s of Mueang Ubon Writing]. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. 9 (2): 201–203, 205–207. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13 – โดยทาง Thai Journals Online.
  4. 4.0 4.1 รังศรีรัมย์, ณัฐวุฒิ (15 September 2022). "ประวัติศาสตร์ "จังหวัดหนองบัวลำภู" ที่เพิ่งสร้างตอน 1". เดอะ อีสานเรคคอร์ด. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-02-22. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13.
  5. 5.0 5.1 5.2 วรเดชนัยนา, คมกฤษณ์ (2014). "พหุลักษณ์ของอำนาจในวรรณกรรมเรื่องสินไซ" [Plurality of Power in Sinxay Literature] (PDF). Proceeding of IC-HUSO 2014. The 10th International Conference on Humanities and Social Science. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. pp. 48–50. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-05-14. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13.
  6. เกียรติจรุงพันธ์, บัญชา (20 January 2010). "เรื่องย่อสินไซ หรือสังข์ศิลป์ชัย". OK nation. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13.
  7. 7.0 7.1 บุรีรัตน์, กัญญา (1989). สังข์ศิลป์ชัย : การวิเคราะห์วิจารณ์เชิงประวัติ (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. อ้างใน นัยพรม, รังสรรค์ (2006). การเมืองวัฒนธรรมกับการรื้อสร้างวรรณศิลป์ในวรรณคดีลาว [Cultural Politics and Deconstruction of Literary in Lao Literatures] (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. p. 51. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-05-14. สืบค้นเมื่อ 2025-05-13.
  8. 8.0 8.1 ณ อุบล, บำเพ็ญ (2004), เล่าเรื่องเมืองอุบลราชธานี, อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, pp. 18–29, ISBN 974-9541-61-8
  9. "ประวัติจังหวัดอุบลราชธานี". จังหวัดอุบลราชธานี. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-17. สืบค้นเมื่อ 2013-02-22.
  10. ตันเลิศ, สุธิดา (2015). "บทวิจารณ์หนังสือ "เล่าเรื่องเมืองอุบลราชธานี"" (PDF). วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. 6 (1): 38–39. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-07-20. สืบค้นเมื่อ 2025-05-14.
  11. วิภาคย์พจนกิจ, เติม (2003), ประวัติศาสตร์อีสาน (PDF) (4th ed.), กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, pp. 92, 94, ISBN 974-571-854-8, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-06-09, สืบค้นเมื่อ 2025-05-14
  12. 12.0 12.1 ธานี, ระลึก (2003), อุบลราชธานีในอดีต (๒๓๓๕ - ๒๔๗๕) (2nd ed.), อุบลราชธานี: รุ่งศิลป์การพิมพ์ออฟเซท, p. 3
  13. คูณผล, สุวิชช (2005). "ตำนานนกหัสดีลิงค์กับพิธีเผาศพ". ไกด์อุบล. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-18. สืบค้นเมื่อ 2013-02-22.