อิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก ดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค
เจ้าหญิงอิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก (เดนมาร์ก: Ingeborg Valdemarsdatter) (4 มกราคม ค.ศ. 1347 – 16 มิถุนายน ค.ศ. 1370) [2] ทรงเป็นพระราชธิดาองค์รองในพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์กกับเฮลวิกแห่งชเลสวิช เจ้าหญิงได้ดำรงเป็นดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค แม้ว่าพระนางจะสิ้นพระชนม์ก่อนที่พระสวามีจะสืบตำแหน่งดยุก พระนางทรงได้เป็นหนึ่งในรัชทายาทที่มีสิทธิสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก และเป็นพระเชษฐภคินีในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก
อิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก | |||||
---|---|---|---|---|---|
ดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค เจ้าหญิงแห่งเดนมาร์ก | |||||
ประสูติ | 4 มกราคม ค.ศ. 1347 ปราสาทชืนเดนบอร์ก[1], เกาะอัลส์, เดนมาร์ก | ||||
สวรรคต | 16 มิถุนายน ค.ศ. 1370 เมคเลินบวร์ค? | (23 ปี)||||
คู่อภิเษก | ไฮน์ริชที่ 3 ดยุกแห่งเมคเลินบวร์ค | ||||
พระราชบุตร |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | แอสตริดเซน (โดยประสูติ) เมคเลินบวร์ค (โดยเสกสมรส) | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์ก | ||||
พระราชมารดา | เฮลวิกแห่งชเลสวิช | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
พระประวัติ
แก้เจ้าหญิงอิงเงอบอร์กทรงหมั้นกับไฮน์ริชแห่งเมคเลินบวร์ค โอรสในอัลเบร็คท์ที่ 2 ดยุกแห่งเมคเลินบวร์ค หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอ พระเชษฐภคินีในค.ศ. 1350 ซึ่งเคยหมั้นหมายกับบุตรชายของดยุก เจ้าหญิงทรงมีพระขนิษฐาอีกพระองค์หนึ่งชื่อ เจ้าหญิงมาร์เกรเธอ เหมือนกัน สนธิสัญญาการเสกสมรสระหว่างไฮน์ริชกับเจ้าหญิงอิงเงอบอร์กได้ลงนามที่เมืองดอร์นบวร์ค วันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1350 เจ้าหญิงอิงเงอบอร์กและไฮน์ริชเสกสมรสกันใน ค.ศ. 1362 ทั้งสองมีโอรสธิดาดังนี้
- ยูเฟเมียแห่งเมคเลินบวร์ค (เสียชีวิต ค.ศ. 1400) เสกสมรสกับโยฮันที่ 5 เจ้าชายแห่งเมคเลินบวร์ค-แวร์เลอ
- อัลเบร็คท์ที่ 4 ดยุกแห่งเมคเลินบวร์ค (1362-1388) เสกสมรสกับเอลิซาเบธแห่งฮ็อลชไตน์
- มาเรียแห่งเมคเลินบวร์ค (1363-1403) เสกสมรสกับวาร์ทิสเลาส์ที่ 8 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย
- อิงเงอร์บอร์กแห่งเมคเลินบวร์ค (1368-1408) แม่ชีแห่งอารามคณะกลาริสในริบนิตซ์-ดามการ์เทิน ค.ศ. 1376 ภายหลังได้เป็นพระอธิการิณี ค.ศ. 1395-1408
เจ้าหญิงอิงเงอบอร์กทรงกลายเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กใน ค.ศ. 1363 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายคริสตอฟเฟอร์ ดยุกแห่งลอลันด์ พระเชษฐาซึ่งเป็นรัชทายาทฝ่ายชายเพียงพระองค์เดียว แต่ถึงกระนั้นเดนมาร์กเป็นระบอบราชาธิปไตยโดยเลือกตั้ง และเจ้าหญิงอิงเงอบอร์กก็สิ้นพระชนม์ก่อนกษัตริย์วัลเดมาร์ พระราชบิดา และกษัตริย์เดนมาร์กก็เสด็จสวรรคต ค.ศ. 1375 โดยไม่ทรงสถาปนารัชทายาท การสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กกลายเป็นที่ถกเถียง สภาฐานันดรเดนมาร์กประชุมกันที่โอเดนเซเพื่อเลือกพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เหล่าขุนนางแตกแยกกันโดยฝ่ายหนึ่งเลือกอัลเบร็คท์แห่งเมคเลินบวร์ค โอรสองค์ใหญ่ในเจ้าหญิงอิงเงอบอร์กกับไฮน์ริชแห่งเมคเลินบวร์ค โดยสืบวงศ์ผ่านทางปู่ของอัลเบร็คท์ คือ อัลเบร็คท์ที่ 2 ดยุกแห่งเมคเลินบวร์ค กับอีกฝ่ายหนึ่งเลือกเจ้าชายโอลาฟ รัชทายาทแห่งนอร์เวย์และเป็นพระราชโอรสของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอ สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์กับพระเจ้าโฮกุนที่ 6 แห่งนอร์เวย์ กับขุนนางอีกฝ่ายหนึ่งให้เลือกราชวงศ์ใหม่ สุดท้ายสภาฐานันดรก็ถูกจูงใจโดยเสน่ห์ ความนิยมและวาทศิลป์ของสมเด็จพระราชินีมาร์เกรเธอแห่งนอร์เวย์ และด้วยทรงเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้ายของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนที่ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ และเพิ่มความเป็นไปได้ในการรวมราชอาณาจักรกับนอร์เวย์และความรู้สึกต่อต้านชาวเยอรมัน ทำให้เจ้าชายโอลาฟทรงได้รับเลือกเป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กใน ค.ศ. 1376 โดยมีสมเด็จพระราชินีมาร์เกรเธอแห่งนอร์เวย์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[3] โดยน้องชายของพระสวามีในเจ้าหญิงอิงเงอบอร์ก คือ อัลเบร็คท์ที่ 3 ดยุกแห่งเมคเลินบวร์ค ได้รับเลือกให้ครองราชบัลลังก์สวีเดน เนื่องจากชาวเดนมาร์กไม่ต้องการให้ชาวเยอรมันจากเมคเลินบวร์คปกครองสแกนดิเนเวีย
พระนัดดาของเจ้าหญิงอิงเงอบอร์กคือ อีริคแห่งพอเมอเรเนีย ได้สืบราชบัลลังก์ตามสิทธิของสมเด็จยายและได้เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กในค.ศ. 1396 โดยพระนางมาร์เกรเธอ พระขนิษฐาของสมเด็จยาย เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำให้พระองค์กลายเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของสหภาพคาลมาร์ระหว่างเดนมาร์ก นอร์เวย์และสวีเดน ทายาทคนสุดท้ายของเจ้าหญิงอิงเงอบอร์กคือ คริสตอฟแห่งบาวาเรียซึ่งสืบราชบัลลังก์สหภาพคาลมาร์ต่อจากกษัตริย์อีริค
พงศาวลี
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Our Family History and Ancestry. "Ingeborg Valdemarsdatter, Prinsesse of Denmark". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2011-05-05.
- ↑ แม่แบบ:MLCC
- ↑ Margaret of Denmark By Mary Hill. Page 52-55