พระเจ้าอีริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก
พระเจ้าอีริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก หรือเป็นที่รู้จักในพระนาม อีริคแห่งพอเมอเรเนีย (ค.ศ. 1381 หรือ 1382 - 24 กันยายน ค.ศ. 1459) ทรงเป็นประมุขผู้ปกครองสหภาพคาลมาร์ตั้งแต่ค.ศ. 1396 ถึง 1439 ทรงสืบบัลลังก์จากสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก ผู้ทรงเป็นพระขนิษฐาในพระอัยยิกาของพระองค์ พระองค์ทรงถูกเรียกขานพระนาม อีริคที่ 3 ในฐานะพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ (1389-1442) อีริคที่ 7 ในฐานะพระมหากษัตริย์เดนมาร์ก (1396-1439) และ อีริคที่ 13 ในฐานะพระมหากษัตริย์สวีเดน[a] (1396-1434, 1436-39) ต่อมาทรงเป็นที่รู้จักในทั้งสามประเทศว่า อีริค อัฟ พอมเมิร์น[b] (Erik av Pommern) เป็นคำเหยียดหยามว่าพระองค์มาจากที่อื่น[1] ในที่สุดกษัตริย์อีริคทรงถูกขับไล่ออกจากทั้งสามอาณาจักรของสหภาพ แต่ในค.ศ. 1449 พระองค์ทรงได้รับมรดกส่วนหนึ่งของดัชชีพอเมอเรเนีย และปกครองในฐานะดยุกจนกระทั่งสวรรคตในค.ศ. 1459
อีริค | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก, สวีเดนและนอร์เวย์ | |||||
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กและสวีเดน | |||||
ครองราชย์ | 28 ตุลาคม ค.ศ. 1412 - 24 กันยายน ค.ศ. 1439 (26 ปี 331 วัน) | ||||
ราชาภิเษก 17 มิถุนายน ค.ศ. 1397 สตอร์กยีร์กัน (ถูกทำลายปี 1678) คาลมาร์, สวีเดน | |||||
ก่อนหน้า | มาร์เกรเธอที่ 1 | ||||
ถัดไป | คริสตอฟเฟอร์ที่ 3 | ||||
พระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ | |||||
ครองราชย์ | 8 กันยายน ค.ศ. 1389 - 4 มิถุนายน ค.ศ. 1442 (52 ปี 269 วัน) | ||||
ราชาภิเษก ค.ศ. 1392, มหาวิหารออสโล | |||||
ก่อนหน้า | มาร์เกรเธอ | ||||
ถัดไป | คริสตอฟเฟอร์ | ||||
ผู้สำเร็จราชการ ซิเกิร์ด จอนสัน | |||||
ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย-สโต๊ร์ป | |||||
ครองราชย์ | 7 ธันวาคม ค.ศ. 1446 - 24 กันยายน ค.ศ. 1459 (12 ปี 291 วัน) | ||||
ก่อนหน้า | บอกึสเลาว์ที่ 9 | ||||
ถัดไป | อีริคที่ 2 | ||||
ผู้สำเร็จราชการ มาเรียแห่งมาโซเวีย (1446-49) | |||||
พระราชสมภพ | ค.ศ. 1381 หรือ 1382 ปราสาทดาร์โลโว ดัชชีพอเมอเรเนีย | ||||
สวรรคต | 24 กันยายน ค.ศ. 1459 (ราว 76-78 ปี) ปราสาทดาร์โลโว ดัชชีพอเมอเรเนีย | ||||
ฝังพระศพ | โบสถ์นักบุญแมรี ดาร์โลโว, พอเมอเรเนีย | ||||
ชายา | ฟิลิปปาแห่งอังกฤษ (แต่ง 1406 ตาย 1430) เซซิเลีย (ต่างฐานันดร) | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | กริฟฟิน (โดยประสูติ) แอสตริดเซน (โดยการได้รับเป็นบุตรบุญธรรม) | ||||
พระราชบิดา | วาร์ทิสเลาว์ที่ 7 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย | ||||
พระราชมารดา | มาเรียแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
เบื้องหลังการสืบราชสันตติวงศ์
แก้อีริคประสูติในปีค.ศ. 1381 หรือ 1382 ที่ปราสาทดาร์โลโว ดัชชีพอเมอเรเนีย (โปแลนด์) เดิมมีพระนามว่า บอกึสเลาว์ เป็นโอรสในวาร์ทิสเลาว์ที่ 7 ดยุกแห่งพอเมอเรเนียกับมาเรียแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก ผู้ปกครองราชอาณาจักรเดนมาร์ก นอร์เวย์และสวีเดน ทรงต้องการให้ราชอาณาจักรของพระนางรวมเป็นหนึ่งเดียวและมีความสงบสุข และทรงเตรียมการไว้เผื่อยามที่พระนางสวรรคต พระนางทรงเลือก บอกึสเลาว์แห่งพอเมอเรเนียเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ของพระนาง เนื่องจากบอกึสเลาว์เป็นพระนัดดาของอิงเงอบอร์กแห่งเดนมาร์ก ดัชเชสแห่งเมคเลินบวร์ค (ค.ศ. 1347-1370) พระเชษฐภคินีของพระนาง
ในค.ศ. 1389 บอกึสเลาว์ถูกนำตัวมายังเดนมาร์กและได้รับการอภิบาลจากพระนางมาร์เกรเธอ พระนามได้ถูกเปลี่ยนเป็น อีริค เพื่อให้มีความเป็นวัฒนธรรมนอร์ดิกมากขึ้น ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1389 พระองค์ได้รับเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ที่ทิงในทร็อนไฮม์ พระองค์อาจได้รับการประกอบพิธีราชาภิเษกที่ออสโลในค.ศ. 1392 แต่กรณีนี้ยังเป็นที่ถกเถียง
ดยุกวาร์ทิสเลาว์ บิดาของกษัตริย์อีริคสิ้นพระชนม์ในช่วงพฤศจิกายน ค.ศ. 1394 ถึง 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1395[2] เมื่อวาร์ทิสเลาว์สิ้นพระชนม์ ตำแหน่งทั้งหมดจึงตกแก่อีริคซึ่งเป็นทายาท[3]
ในค.ศ. 1396 พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กและจากนั้นคือพระมหากษัตริย์สวีเดน ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1397 พระองค์ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ในทั้งสามราชอาณาจักรนอร์ดิกที่มหาวิหารในคาลมาร์ ในขณะเดียวกันสนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพได้ถูกร่างขึ้น และประกาศจัดตั้งสหภาพคาลมาร์อย่างเป็นทางการ แต่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอยังทรงเป็นพระประมุขทางพฤตินัยของทั้งสามราชอาณาจักรจนกระทั่งพระนางเสด็จสวรรคตในค.ศ. 1412[4][5][6]
อภิเษกสมรส
แก้ในค.ศ. 1402 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเจรจากับพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษเกี่ยวความเป็นไปได้ในการสร้างพันธมิตรระหว่างสหภาพนอร์ดิกกับราชอาณาจักรอังกฤษ ข้อเสนอเป็นการจัดพิธีเสกสมรสคู่ โดยกษัตริย์อีริคอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของกษัตริย์เฮนรี คือ เจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษ และระหว่างพระราชโอรสของกษัตริย์เฮนรีคือ เจ้าชายแห่งเวลส์ หรือ พระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษในอนาคต ซึ่งจะต้องเสกสมรสกับพระขนิษฐาของกษัตริย์อีริคคือ คาทารีนาแห่งพอเมอเรเนีย (ราวค.ศ. 1390-1426)[7][8]
แต่พิธีอภิเษกสมรสคู่ก็ไม่เกิดขึ้น มีเพียงพิธีอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์อีริคกับเจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1406 พระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฟิลิปปา พระชนมายุ 12 พรรษาที่ลุนด์ การอภิเษกสมรสเป็นการสร้างพันธมิตรป้องกันระหว่างอังกฤษและเดนมาร์ก หลังจากสมเด็จพระราชินีฟิลิปปาสิ้นพระชนม์หลังค.ศ. 1430 กษัตริย์อีริคทรงคบหากับเซซิเลีย นางสนองพระโอษฐ์ในพระราชินีฟิลิปปา และนางกลายมาเป็นพระสนม จากนั้นได้เสกสมรสแบบต่างฐานันดร ความสัมพันธ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องอื้อฉาวและมีการยื่นคำร้องจากสภาอย่างเป็นทางการต่อพฤติกรรมของกษัตริย์[9][10]
รัชกาล
แก้ในช่วงต้นรัชกาล กษัตริย์อีริคทรงทำให้เมืองโคเปนเฮเกนเป็นทรัพย์สินของพระราชวงศ์เดนมาร์กในค.ศ. 1417 จึงเป็นการรับรองสถานะเมืองหลวงของเดนมาร์ก พระองค์ได้ริบสิทธิในการครอบครองปราสาทโคเปนเฮเกนจากบิชอปแห่งรอสคิลด์ และตั้งแต่นั้นมาปราสาทก็อยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์[11]
จากแหล่งข้อมูลร่วมสมัย มีการบรรยายว่ากษัตริย์อีริคทรงมีความชาญฉลาด มีวิสัยทัศน์ ขะมักเขม้นและทรงมีความแน่วแน่ มีการบรรยายว่าทรงเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์และตรัสด้วยถ้อยคำที่ไพเราะจากการที่เสด็จประพาสทั่วยุโรปครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1420 แต่ในทางลบมีการบรรยายว่าพระองค์ค่อนข้างอารมณ์ร้อน ขาดแนวคิดทางด้านการทูตและทรงดื้อรั้นอย่างที่ควบคุมไม่ได้ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 ขณะทรงเป็นบิชอปได้บรรยายถึงกษัตริย์อีริคว่า ทรงมี "พระวรกายงดงาม พระเกศาสีเหลืองอมแดง ใบหน้าแดง พระศอยาวแคบ...พระองค์ไม่ต้องการความช่วยใดๆ ทรงทำทุกอย่างด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงกระโดดขึ้นประทับหลังม้าโดยไม่ต้องเหยียบโกลน พระองค์สามารถดึงดูดผู้หญิงทุกคนได้ โดยเฉพาะองค์จักรพรรดินีที่ทรงโหยหาความรัก"[12]
ตั้งแต่ค.ศ. 1423 จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1425 กษัตริย์อีริคเสด็จการจาริกแสวงบุญไปยังเยรูซาเลม หลังจากเสด็จพระราชดำเนินถึง พระองค์ได้รับการขนานพระนามให้เป็นอัศวินแห่งภาคีพระคูหาศักดิ์สิทธิ์โดยคณะฟรันซิสกัน ผู้พิทักษ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และในภายหลังพระองค์ก็ขนานนามให้แก่อีวาน อันซ์ ฟรันโคปัน พระสหายผู้ร่วมคณะจาริกแสวงบุญด้วย ในช่วงที่พระองค์เสด็จจาริกแสวงบุญ พระราชินีฟิลิปปาทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของทั้งสามอาณาจักรโดยบัญชาการจากโคเปนเฮเกน[13]
การปกครองของกษัตริย์อีริคเพียงพระองค์เดียวเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งกับเคานท์แห่งชอนบวร์คและฮ็อลชไตน์ พระองค์ทรงพยายามยึดคืนจัตแลนด์ใต้ (ดัชชีชเลสวิช) ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเคยเอาชนะได้มาแล้ว แต่กษัตริย์อีริคทรงเลือกใช้นโยบายการสงครามแทนการเจรจา ผลทีได้คือสงครามที่มีการทำลายล้างซึ่งไม่จบเพียงแค่พระองค์ไม่สามารถพิชิตจัตแลนด์ใต้ได้เท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่จัตแลนด์ใต้ในส่วนที่พระองค์ครอบครองอยู่แล้วด้วย ในช่วงสงคราม พระองค์ทรงแสดงพลังและความหนักแน่นอย่างมากแต่ทรงขาดความเชี่ยวชาญเป็นสำคัญ ในค.ศ. 1424 คำตัดสินชี้ขาดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โดยซีกิสมุนท์ กษัตริย์แห่งเยอรมนีที่ทรงยอมรับให้กษัตริย์อีริคเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมตามกฎหมายของจัตแลนด์ใต้ คำตัดสินนี้ถูกละเลยโดยพวกขุนนางฮ็อลชไตน์ สงครามที่ยาวนานสร้างความตึงเครียดแก่เศรษฐกิจเดนมาร์กและเช่นเดียวกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของแถบภาคเหนือ[14]
การกระทำที่มองการณ์ไกลของกษัตริย์อีริคคือ ความพยายามเสนอสิทธิค่าใช้จ่ายเซาด์ (เออเรซุนด์โทลเดน; Øresundtolden) ในค.ศ. 1429[15] ซึ่งมีการบังคับใช้จนถึงค.ศ. 1857 เป็นการให้เรือทุกลำที่ต้องการเข้าหรือออกจากทะเลบอลติกโดยผ่านเดอะเซาด์ ("เออเรซุนด์") ต้องชำระค่าธรรมเนียมทุกลำ และเพื่อช่วยบังคับใช้แนวทางนี้ กษัตริย์อีริคทรงสร้างปราสาทครอนบอร์ก ซึ่งเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ทรงพลังตั้งอยู่บนส่วนที่แคบที่สุดของเดอะเซาด์ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1400[16] ส่งผลให้มีการควบคุมการเดินเรือทั้งหมดผ่านเออเรซุนด์และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ราชอาณาจักรของพระองค์ให้มีความมั่งคั่ง[15] และทรงทำให้เมืองเฮลซิงเงอร์มีการขยายตัวอย่างมาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระองค์สนพระทัยในการค้าขายและอำนาจทางทะเลของเดนมาร์ก แต่ก็เป็นการท้าทายอำนาจอื่นทางแถบทะเลบอลติก โดยเฉพาะเมืองสันนิบาตฮันเซอที่พระองค์ทรงสู้รบด้วย ตั้งแต่ค.ศ. 1426 ถึง 1435 พระองค์ทรงทำสงครามเดนมาร์ก-ฮันเซอ (1426-1435) พวกฮันเซอและพวกฮ็อลชไตน์โจมตีเมืองหลวงในการระดมยิงโคเปนเฮเกน (1428) ซึ่งกษัตริย์อีริคได้เสด็จออกจากโคเปนเฮเกน ส่วนพระราชินีฟิลิปปา พระมเหสีทรงพยายามป้องกันเมืองหลวง[17]
ในช่วงทศวรรษที่ 1430 นโยบายของกษัตริย์ก็ล้มเหลว ในค.ศ. 1434 ชาวนาและคนงานเหมืองในสวีเดนได้เริ่มก่อจลาจลในระดับอาณาจักรและสังคม ซึ่งในไม่ช้ากลายเป็นเครื่องมือทางอำนาจของขุนนางสวีเดนทำให้กษัตริย์อ่อนแอลง กบฏเอ็งเงลเบรกท์ (ค.ศ. 1434-1436) นำโดยเอ็งเงลเบรกท์ เอ็งเงลเบรกท์สัน ขุนนางสวีเดน (ราวค.ศ. 1390-4 พฤษภาคม ค.ศ. 1436) ชาวสวีเดนได้รับผลกระทบจากการทำสงครามกับสันนิบาตฮันเซอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าสวีเดนไปยังชเลสวิช, ฮ็อลชไตน์, เมคเลินบวร์คและพอเมอเรเนีย การก่อกบฏบั่นทอนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของสหภาพคาลมาร์ นำมาสู่การขับไล่กองทัพเดนมาร์กออกจากสวีเดนชั่วคราว ในนอร์เวย์ เกิดการกบฏเช่นกันในค.ศ. 1436 นำโดยอามุนด์ ซีเกิร์ดสัน โบลท์ (ค.ศ. 1400-1465) ทำให้เกิดการปิดล้อมเมืองออสโลและป้อมปราการอาเกิชฮืส แต่ก็มีการเจรจาสงบศึก[18][19]
กษัตริย์อีริคทรงยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องทั้งจากพวกฮ็อลชไตน์และสันนิบาตฮันเซอ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1435 พระองค์ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาสันติภาพที่วอร์ดิงบอร์กกับสันนิบาตฮันเซอและฮ็อลชไตน์ ภายใต้ข้อกำหนดของสนธิสัญญา สันนิบาตฮันเซอได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสิทธิค่าใช้จ่ายเซาด์และดัชชีชเลสวิชถูกผนวกเข้ากับฮ็อลชไตน์
รัฐประหาร
แก้เมื่อขุนนางเดนมาร์กต่อต้านการปกครองของพระองค์ในเวลาต่อมา และปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันรับรอง บอกึสเลาว์ที่ 9 ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย ซึ่งเป็นตัวเลือกของกษัตริย์อีริคให้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เดนมาร์ก กษัตริย์อีริคเสด็จออกจากเดนมาร์กเพื่อตอบโต้การกระทำนั้นและเสด็จไปประทับถาวรที่ปราสาทวิสบอร์กในเกาะเกิตลันด์ ซึ่งทำให้เกิดการโค่นพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ด้วยการรัฐประหารจากสภาเดนมาร์กและสวีเดนในค.ศ. 1439[21] ใน ค.ศ. 1440 ผู้สืบบัลลังก์ต่อจากอดีตกษัตริย์อีริคคือ คริสโตเฟอร์แห่งบาวาเรีย พระนัดดาของพระองค์ซึ่งได้รับเลือกจากทั้งเดนมาร์กและสวีเดน ในตอนแรกสภาริคสรัดในนอร์เวย์ยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ และต้องการให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์นอร์เวย์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1439 กษัตริย์อีริคพระราชทานยศ ดร็อทเซเต แก่ซิเกิร์ด จอนส์สัน โดยให้เขาปกครองนอร์เวย์ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระองค์ แต่ด้วยกษัตริย์ทรงโดดเดี่ยวพระองค์เองอยู่ในเกิตลันด์ ขุนนางนอร์เวย์ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบให้ปลดกษัตริย์อีริคจากการรัฐประหารเช่นกันในค.ศ. 1440 และพระองค์ถูกปลดอย่างเป็นทางการในค.ศ. 1442 เมื่อซิเกิร์ด จอนส์สันก้าวลงจากตำแหน่ง ดร็อทเซเต และคริสโตเฟอร์ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์[22]
หลังการสวรรคตของกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ในค.ศ. 1448 กษัตริย์พระองค์ถัดไปเป็นพระญาติของอดีตกษัตริย์อีริค คือ คริสเตียนแห่งอ็อลเดินบวร์ค (โอรสในศัตรูของกษัตริย์อีริคช่วงต้นรัชกาล คือ ดีทริช เคานท์แห่งอ็อลเดินบวร์ค) ซึ่งได้สืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก ในขณะที่คาร์ล คนุตสัน บอนเด ได้สืบราชบัลลังก์สวีเดน การแข่งขันระหว่างกษัตริย์คริสเตียนและกษัตริย์คาร์ลเพื่อแย่งชิงบัลลังก์นอร์เวย์จึงเกิดขึ้น ในค.ศ. 1450 กษัตริย์คาร์ลทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์นอร์เวย์แก่กษัตริย์คริสเตียน[23][24]
ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย
แก้เป็นเวลากว่าสิบปีที่อดีตกษัตริย์อีริคประทับในเกาะเกิตลันด์และทรงสู้รบเพื่อต่อต้านสมาพันธ์การค้าในทะเลบอลติก ตั้งแต่ค.ศ. 1449 ถึง 1459 อดีตกษัตริย์อีริคสืบตำแหน่งต่อจากบอกึสเลาว์ที่ 9 ในฐานะดยุกแห่งพอเมอเรเนีย ปกครองพอเมอเรเนีย-รือเกินวัลเดอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชชีพอเมอเรเนีย-สโต๊ร์ป (ภาษาโปแลนด์: Księstwo Słupskie)[25] ในฐานะ "อีริคที่ 1" พระองค์สวรรคตในค.ศ. 1459 ณ ปราสาทดาร์โลโว ดัชชีพอเมอเรเนีย และได้รับการฝังพระศพที่โบสถ์นักบุญแมรี ดาร์โลโว, ใน พอเมอเรเนีย[26]
พระอิสริยยศ
แก้ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระเจ้าอีริคที่ 7 | |
---|---|
ตราประจำพระอิสริยยศ | |
การทูล | Hans Majestæt (ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท) |
การแทนตน | ข้าพระพุทธเจ้า |
การขานรับ | Deres Majestæt (พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ) |
กษัตริย์อีริคทรงมีพระอิสริยยศเต็มว่า "พระมหากษัตริย์เดนมาร์ก, พระมหากษัตริย์สวีเดนและพระมหากษัตริย์นอร์เวย์, ชาวเวนด์และชาวกอท, ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย"[27]
พงศาวลี
แก้ขยายความ
แก้- ↑ อ้างถึงอีริคแห่งพอเมอเรเนียในฐานะ "กษัตริย์อีริคที่ 13 แห่งสวีเดน"-เช่นเดียวกับอนุสาวรีย์ที่สร้างในศตวรรษที่ 18 ในเมืองลันด์สครูนาที่ระบุว่าเมืองนี้ก่อตั้งโดยกษัตริย์อีริคที่ 13 ในค.ศ. 1413 ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลังและนับย้อนจากพระเจ้าอีริคที่ 14 แห่งสวีเดน (1560-68) ซึ่งทรงนับเลขพระนามรัชกาลของพระองค์ตามประวัติศาสตร์จากพงศาวดารสวีเดน ซึ่งไม่มีการทราบว่ามีพระมหากษัตริย์สวีเดนพระนามว่า "อีริค" จำนวนกี่พระองค์ก่อนหน้า (อย่างน้อยปรากฎอยู่ 6 พระองค์)
- ↑ Erik af Pommern ในภาษาเดนมาร์ก
อ้างอิง
แก้- ↑ Dick Harrison in Kalmarunionen ISBN 978-91-7789-167-3 2020 p. 70
- ↑ Zdrenka, Joachim (1995). "Die Pilgerfahrten der pommerschen Herzöge ins Heilige Land in den Jahren 1392/1393 und 1406/1407". Baltische Studien. Marburg: Elwert. 81 (127): 10–11.
- ↑ The King Who Became a Pirate, Story by Anja Klemp Vilgaard · Illustrations by Darya Malikova · Edited by Shawna Kenney · 20 April 2020, narratively.com.
- ↑ "Erik av Pommern". Svenskt biografiskt lexikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Lenore Lindström. "Erik Av Pommern". landskronahistoria. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-24. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Hans Jacob Orning. "Kalmarunionen". University of Oslo. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Terje Bratberg. "Filippa Av England". Norsk biografisk leksikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ "Cathrine, Prinsesse, var en Datter af Hertug Vartislavs VII af Pommern". Dansk biografisk Lexikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Erik af Pommern ca. 1382–1459 (Danmarkshistorien)
- ↑ Higgins, Sofia Elizabeth (1885). Women of Europe in the fifteenth and sixteenth centuries. Hurst and Blackett. pp. 169–171.
- ↑ Lund, Hakon (1987). "Bind 1: Slotsholmen". ใน Bramsen, Bo (บ.ก.). København, før og nu - og aldrig (ภาษาเดนมาร์ก). Copenhagen: Palle Fogtdal. ISBN 87-7807720-6.
- ↑ Gyldendal og Politikens Danmarkshistorie, book 6, 1400–1500, by Troels Dahlerup
- ↑ Fratris Felicis Fabri Evagatorium in Terrae sanctae, Arabiae et Aegypti peregrinationem, Felix Fabri
- ↑ Mimmi Tegnér (2010). "Erik av Pommern 1382-1459". Kulturarv Malmö. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-17. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ 15.0 15.1 Bagge, Sverre (2014). Cross and Scepter: The Rise of the Scandinavian Kingdoms from the Vikings to the Reformation (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. p. 279. ISBN 978-1-4008-5010-5.
- ↑ Nielsen, Heidi Maria Møller (2008). "Krogen: The Medieval Predecessor of Kronborg" (PDF). Château Gaillard: Études de castellologie médiévale. 23: 322. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-11-26. สืบค้นเมื่อ 2022-03-01.
- ↑ Aksel E. Christensen. "Øresund og øresundstold, et historisk rids" (PDF). Handels- og Søfartsmuseets årbog 1957; s. 22-40. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-02-28. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ "Engelbrekt Engelbrektsson". Nordisk familjebok. 1881. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Magne Njåstad (9 June 2017). "Amund Sigurdsson Bolt". Norsk biografisk leksikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Biography 2021 by Herman Lindqvist (Libris listing) pp. 11-12
- ↑ "Bogislaw IX". ruegenwalde.com. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Erik Opsahl. "Sigurd Jonsson". Norsk biografisk leksikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ Flemberg, Marie-Louise (2014). Filippa: engelsk prinsessa och nordisk unionsdrottning (ภาษาสวีเดน). Stockholm: Santérus. pp. 341 & 434. ISBN 978-91-7359-072-3. SELIBR 14835548.
- ↑ Carl Frederik Bricka. "Christian (Christiern) I, 1426-81, Konge". Dansk biografisk Lexikon. สืบค้นเมื่อ 1 June 2018.
- ↑ The Encyclopedia Americana. Grolier Inc. 1999.
- ↑ Erik 7. af Pommern (Danmarks historie)
- ↑ Diplomatarium Norvegicum
แหล่งข้อมูล
แก้- Albrectsen, Esben (1997) Fællesskabet bliver til : 1380–1536 (Oslo : Universitetsforl.) ISBN 82-00-22790-1
- Christensen, Aksel E. (1908) Kalmarunionen og nordisk politik 1319–1439 (Oslo: Gyldendal) ISBN 87-00-51833-6
- Haug, Eldbjørg (2000), Margrete – den siste dronning i Sverreætten (Oslo: Cappelen) ISBN 82-02-17642-5
- Haug, Eldbjørg (2006) Provincia Nidrosiensis i dronning Margretes unions- og maktpolitikk (Trondheim : Institutt for historie og klassiske fag) ISBN 9788277650470
- Larsson, Lars-Olof (2003) Kalmarunionens tid (Stockholm: Prisma) ISBN 91-518-4217-3
- His listing in "Medieval lands" by Charles Cawley. The project "involves extracting and analysing detailed information from primary sources, including contemporary chronicles, cartularies, necrologies and testaments."
- The King Who Became a Pirate, Story by Anja Klemp Vilgaard · Illustrations by Darya Malikova · Edited by Shawna Kenney · 20 April 2020, narratively.com
ก่อนหน้า | พระเจ้าอีริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
มาร์เกรเธอที่ 1 | พระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ ร่วมกับ มาร์เกรเธอที่ 1 (1389-1412) (ค.ศ. 1389 - ค.ศ. 1442) |
คริสตอฟเฟอร์ที่ 3 | ||
มาร์เกรเธอที่ 1 | พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ร่วมกับ มาร์เกรเธอที่ 1 (1396-1412) (ค.ศ. 1396 - ค.ศ. 1439) |
คริสตอฟเฟอร์ที่ 3 | ||
มาร์เกรเธอที่ 1 | พระมหากษัตริย์แห่งสวีเดน ร่วมกับ มาร์เกรเธอที่ 1 (1396-1412) (ค.ศ. 1396 - ค.ศ. 1434) |
ว่าง | ||
ว่าง | พระมหากษัตริย์แห่งสวีเดน (ค.ศ. 1435 - ค.ศ. 1436) |
ว่าง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คาร์ล คนุตสัน บอนเดอ | ||
ว่าง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คาร์ล คนุตสัน บอนเดอ |
พระมหากษัตริย์แห่งสวีเดน (ค.ศ. 1436 - ค.ศ. 1439) |
ว่าง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คาร์ล คนุตสัน บอนเดอ ตำแหน่งถัดไป คริสตอฟเฟอร์ | ||
บอกึสเลาว์ที่ 9 | ดยุกแห่งพอเมอเรเนีย-สโต๊ร์ป (ค.ศ. 1446 - ค.ศ. 1459) |
อีริคที่ 2 |