ลุเกรติอา (ละติน: Lucretia; ออกเสียง: [lʊˈkretɪ.a]) เป็นบุคคลในตำนานในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐโรมัน สามีของลุเกรติอาคือลูกิอุส ตาร์ควินิอุส ก็อลลาตินุส (Lucius Tarquinius Collatinus) พ่อคือสปูริอุส ลูเกรติอุส ตริซิปิตินุส (Spurius Lucretius Tricipitinus) และพี่ชายปูบลิอุส ลูเกรติอุส ตริซิปิตินุส (Publius Lucretius Tricipitinus) ตามตำนานของโรมการข่มขืนของลุเกรติอาและการฆ่าตัวตายที่ตามมาเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งการล้มราชบัลลังก์ของโรมและการก่อตั้งโรมเป็นสาธารณรัฐ

“ลุเกรติอา” โดยอันเดรีย คาซาลิ
“ทาร์ควิเนียสและลุเกรติอา” โดยทิเชียน

ตามคำกล่าวของ ลิวี (Livy) นักประวัติศาสตร์โรมันแล้ว กษัตริย์แห่งโรมมีโอรสชื่อแซกตุส ตาร์ควินุส (Sextus Tarquinius) ผู้มีนิสัยดุร้าย ผู้เป็นผู้ข่มขืนสตรีในครอบครัวขุนนางชื่อนางลุเกรติอาในปี 509 ก่อนคริสต์ศักราช เซ็กซทัสขู่ลุเกรติอาว่าจะฆ่าถ้าไม่ยอมให้ข่มขืน และจะนำร่างที่เปลือยเปล่าของลุเกรติอาไปวางเคียงข้างกับทาส เพราะการเป็นนัยว่ามีความสัมพันธ์กับชนชั้นที่ต่ำกว่าถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอายเป็นอันมาก ลุเกรติอาจึงต้องจำยอม[1] หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลุเกรติอาก็เรียกพี่น้องมารวมกัน และเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นลุเกรติอาก็ฆ่าตัวตาย ครอบครัวของลุเกรติอามาพบร่างของลุเกรติอาปักด้วยมีดที่หน้าอก[2]

ลูกิอุส ยูลิอุส บรูตุส พี่ชายของลุเกรติอาจึงยุยงผู้คนในกรุงโรมให้ลุกขึ้นต่อต้านกษัตริย์โดยนำร่างของลุเกรติอาไปแสดงให้ผู้คนดู บรูทัสและสามีของลุเกรติอาเป็นผู้นำการแข็งข้อ จนในที่สุดก็ขับทาร์ควิเนียสออกจากกรุงโรมไปลี้ภัยอยู่ที่อีทรูเลีย (Etruria) ระบบกษัตริย์แห่งโรมได้ล่มสลายลง และนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐโรมัน ในที่สุดสามีและพี่ชายของลุเกรติอาก็ได้เป็นกงสุลคนแรกของโรม[3]

นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโปใช้ตำนานของลุเกรติอาในหนังสือ “เทวนคร” (City of God) ในการยกย่องสตรีคริสเตียนผู้ถูกข่มขืนระหว่างการปล้นสดมภ์กรุงโรมและเลือกที่จะเลี่ยงการฆ่าตัวตายเพราะความอับอาย

ลุเกรติอาในศิลปะ

แก้

การฆ่าตัวตายของลุเกรติอาเป็นหัวข้อที่นิยมกันมากในงานศิลปะทุกแขนง ในด้านจิตรกรรมก็เช่นกันในบรรดาจิตรกรที่รวมทั้งทิเชียน, แรมบรังด์, อัลเบรชท์ ดือเรอร์, ราฟาเอล, ซานโดร บอตติเชลลี, จอร์จ บรู (ผู้พ่อ) (Jörg Breu the Elder) , โยฮันเนส โมรีลส์ (Johannes Moreelse), ดาเมีย แคมเพนีย์ (Damià Campeny) และอื่นๆ

เรื่องของลุเกรติอาเป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องแฝงคำสอนที่เป็นที่นิยมกันในยุคกลาง เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ บันทึกในหนังสือ “ตำนานของสตรีที่ดี” (The Legend of Good Women), จอห์น เกาเออร์ (John Gower) ใน “Confessio Amantis” (เล่ม 7), และจอห์น ลิดเกท (John Lydgate) ใน “Fall of Princes” นอกจากนั้นก็ยังปรากฏในโคลง “การข่มขืนของลุเกรติอา” ในปี ค.ศ. 1594 โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ และยังได้รับการกล่าวถึงใน “Titus Andronicus” และ “As You Like It” ด้วย

ลุเกรติอาปรากฏในโคลง “Appius and Virginia” โดย จอห์น เว็บเสตอร์ (John Webster) และทอมัส เฮย์วูด (Thomas Heywood):

Two ladies fair, but most unfortunate
Have in their ruins rais'd declining Rome,
Lucretia and Verginia, both renowned
For chastity

ต่อมาก็มีบทละคร “การข่มขืนของลุเกรติอา” (The Rape of Lucrece) ในปี ค.ศ. 1607 โดยทอมัส เฮย์วูด ลุเกรติอาปรากฏในงานของดานเต อลิเกียริ ในตอนลิมโบที่มีไว้สำหรับขุนนางชาวโรมและผู้นอกศาสนาผู้มีจริยธรรมในแคนโตที่ 4 ใน “ไตรภูมิดานเต” ส่วนคริสตีน เดอ พิซานใช้ลุเกรติอาเช่นเดียวกับนักบุญออกัสตินในหนังสือ “City of Ladies” ที่ป้องกันศักดิ์ศรีของสตรี

ในนวนิยาย “พาเมลา” โดยซามูเอล ริชาร์ดสัน (Samuel Richardson) ในปี ค.ศ. 1740 มิสเตอร์บีกล่าวถึงลุเกรติอาว่าเป็นตัวอย่างที่พาเมลาไม่ควรกลัวว่าจะเสียชื่อเสียงถ้ามิสเตอร์บีจะข่มขืนพาเมลา แต่พาเมลาก็แก้ว่าให้อ่านให้ดี

ความสนใจในลุเกรติอามารื้อฟื้นอีกครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ใน “Le Viol de Lucrèce” ที่เป็นบทละครที่เขียนในปี ค.ศ. 1931 โดยอันเดร โอเบย์ (André Obey) และในอุปรากร “การข่มขืนของลุเกรติอา” โดยเบ็นจามิน บริต์เต็น (Benjamin Britten) ในปี ค.ศ. 1946

อ้างอิง

แก้
  1. "Lucretia raped!". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-17. สืบค้นเมื่อ 2009-03-03.
  2. "Lucretia's rape" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-10-27. สืบค้นเมื่อ 2009-10-27.
  3. "Lucretia 2 genealogy". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2002-02-02. สืบค้นเมื่อ 2002-02-02.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

  วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ลุเกรติอา